Chereads / The Last Ogre [ยักษ์] / Chapter 10 - เศษเสี้ยว 04

Chapter 10 - เศษเสี้ยว 04

"ถ้านายยอมช่วยฉัน ฉันจะคืนเพื่อนให้นาย เอาไหม?" สัตตะกล่าวยิ้ม ๆ

"ย…ยังไง?" แต่แค่คำพูดนั้นมันชวนสับสนเกินไปจนพวานไม่อาจทำความเข้าใจ ก็ในเมื่อเห็นอยู่ตรงหน้าว่าเพื่อน ๆ ของตนถูกอีกฝ่ายสังหารตายตกตามกันไปหมดแล้ว ยังมาบอกจะคืนให้? มันคืออะไร?

"ตอบมาก่อนว่า จะยอมช่วยไหม?" สัตตะถามย้ำ ไม่สนใจอธิบายอะไรให้พวานรู้ทั้งนั้น เขาไม่ใช่คนใจดี ชีวิตนอกกำแพงหล่อหลอมให้เป็นคนเช่นนี้ ดังนั้นถ้าใครจะตราหน้าว่าไร้อารยะเขาก็ย่อมยืดอกยอมรับ

ในถ้อยคำนั้นแม้ไม่เชิงข่มขุ่ แต่สำหรับคนที่เสียขวัญไปแล้วอย่างพวานมันย่อมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นมิตรเลยสักนิด

คำถามนี้มันบังคับเพียงคำตอบเดียวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

"ยะ…ยอม ยอมทุกอย่างเลย" พวานละล่ำละลักตอบ

ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง เพราะหากไอ้ปีศาจตรงหน้านี้พูดจริงเรื่องที่จะคืนเพื่อนให้ ก็ไม่แน่ว่าทั้งมายูและโกมาอาจฟื้นจากความตายมาได้ด้วย

เพราะในสายตาของพวานมองว่าสัตตะเป็นปีศาจอสูรไปเรียบร้อยแล้วจึงไม่แปลกใจเรื่องคืนชีพเพื่อนให้ตนเลยแม้แต่น้อย

สัตตะยิ้มให้กับคำตอบนั้น เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่งพร้อมพูด

"ปลด"

"!!!?" ราวกับสะดุ้งตื่นจากฝันทั้งที่ยังลืมตาอยู่ ความรู้สึกเปลี่ยนแค่เพียงกระพริบตาครั้งเดียว สติที่หล่นร่วง ขวัญที่หนีหาย หัวใจที่แหลกรานก่อนหน้านั้นจู่ ๆ ก็กลับมาอยู่ที่เดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือโกมา และมายูที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยร่างกายที่ปกติ!

"นายทำแบบนี้…ได้ยังไง?" มายูถามขึ้นหลังเพิ่งรู้สึกฟื้นจากความตาย ทั้งที่ความทรงจำยังแจ่มชัดถึงร่างกายที่ถูกแยกออกจากกัน ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกส่วนปลอดภัย หัวกับตัวก็ยังเชื่อมกันดีไม่มีรอยแผล ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงมากเท่าไหร่ก็ชวนให้ขนลุกมากเท่านั้น ในโลกใบนี้จะยังมีคนที่ทำแบบนี้ได้หรือ? ต่อให้เป็นฮีลเลอร์ระดับสูงแค่ไหนก็ไม่มีวันทำได้หรอก

"ฉันเป็นนักเวทย์ ก็ต้องเป็นอาคมลวงตาน่ะสิ" สัตตะตอบแบบไม่ยี่หระ ทั้งที่จริงแล้วอาคมลวงตานี้เป็นอาคมขั้นสูงที่ระดับนักเวทย์ทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ง่าย ๆ ยกเว้นปู่ของเขา และแน่นอนว่าทุกวทย์ศาสตร์ ทุกอาคมที่ปู่ใช้ได้ก็ย่อมถ่ายทอดมาที่เขาจนหมดไส้หมดพุง โดยเฉพาะอาคมลวงตาอันแสนมีประโยชน์สะดวกสบายนี้เขายิ่งใช้มันคล่องที่สุด

"ไม่มีทาง อาคมลวงตาแม้แต่นักเวทย์แรงก์ S บางคนยังใช่ไม่ได้เลย มันเป็นอาคมขั้นสูง…" มายูโต้เถียงเพราะไม่อาจทำใจเชื่อ เมื่อนึกถึงว่าสัตตะเป็นเพียงนักเวทย์แรงก์ F

แต่เดี๋ยวก่อน คนตรงหน้าใช่นักเวทย์แรงก์ F จริงหรือ?

พวาน มายูและโกมาต่างก็คิดแบบเดียวกัน อย่างน้อยประสบการณ์ที่ได้รับเมื่อครู่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้

พอเห็นว่าเดอะแก็งตรงหน้าเงียบปากกันแล้ว สัตตะก็ทวงสัญญากับพวานขึ้นมา หว่านพืชย่อมหวังผลฉันใด สัตตะก็ย่อมทำทุกอย่างเพื่อทางรอดของตัวเองในรั้วกำแพงฉันนั้น

"พวาน ฉันคืนเพื่อนให้นายแล้ว ถึงตานายช่วยฉันบ้างแล้วล่ะ"

"..." พวานไม่กล้าตอบรับในครั้งแรก เพราะความกลัวยังคงเกาะแน่นอยู่เต็มอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าผิดคำต่อปีศาจร้าย "ด..ได้ นายอยากให้ฉันทำอะไร?"

"ช่วยมาเป็นลูกพี่ให้หน่อยสิ"

"ได้…เอ๊ะ? หา!?"

ทั้งที่ใจคิดไปไกลว่าคงถูกบังคับให้ทำข้อตกลงชนิดขายวิญญาณให้ซาตาน แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงคำขอแปลกประหลาด เล่นเอาทั้งพวานทั้งโกมาและมายูพากันงงเป็นไก่ตาแตก

'ให้เป็นลูกพี่?'

'ลูกพี่ให้กับคนที่เก่งกว่าราวกับยักษ์มารเนี่ยนะ?'

"ดูเหมือนพวกนายจะมีเส้นมีสายและเป็นที่เกรงใจของพวกในกำแพงนี้ไม่น้อย ได้ข่าวว่าพ่อแม่ของพวกนายก็เป็นคนใหญ่คนโตในรัฐกลาง เพราะงั้นรับฉันเป็นเบ๊สักคนสิ อยู่กับพวกนายแล้ว คนอ่อนแอแรงก์ F อย่างฉันจะได้ไม่โดนเพื่อนร่วมชั้นรังแกมากนัก"

สัตตะพล่ามไปเรื่อยขณะที่สามคนที่เหลือได้แต่นั่งอ้าปากหวอ ใครคือคนอ่อนแอที่ถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแกกัน?

"ฉันอาจจะดูเก่งไปหน่อยสำหรับแรงก์ F แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นเพราะชีวิตนอกกำแพงที่ต้องปากกัดตีนถีบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้อุตส่าห์ได้เข้ามาอยู่ในที่สบาย ๆ นี้แล้ว นายก็ช่วยสงเคราะห์ให้ฉันใช้ชีวิตอย่างสงบหน่อยเถอะ ฉันอยากได้เท่านี้เอง" สัตตะอธิบายอย่างเปิดอก เพราะถึงยังไงเหตุผลที่เข้ามาอยู่ในรั้วกำแพงนี้ก็เพราะปู่อยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปลอดภัยจริงๆ

"..."

เพราะพูดพล่ามเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นจึงทำให้พวกพวานไม่กล้าตกปากรับคำเสียที เห็นแบบนั้นสัตตะก็ยื่นข้อเสนอใหม่ออกไป

"เอางี้ไหม? ฉันไม่เป็นเบ๊เปล่า ๆ หรอกนะ ฉันจะเป็นองครักษ์ให้พวกนายด้วย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกนายเมื่อไหร่ฉันจะไปช่วยทันที แบบนี้พวกนายน่าจะยอมรับฉันได้แล้วใช่ไหม?"

ไม่พูดเปล่า สัตตะแสร้งยิ้มจนตาหยี ด้วยใบหน้าที่ดูเด็กกว่าอายุทำให้ดุไม่มีพิษมีภัยก็จริง แต่สำหรับพวกพวานที่เพิ่งผ่านความสยดสยองมา รอยยิ้มนี้ดูยังไงก็ไม่เป็นมิตร

แต่กับข้อเสนอนั้น…

"มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่จะให้พวกเรา…เป็นลูกพี่คนเก่งกว่าแบบนาย" โกมาถามขึ้นบ้าง ขณะใช้สองมือลูบตามแขนขาที่ยังอยู่ครบของตน

"ก็อย่างที่บอก ฉันแค่อยากใช้ชีวิตสบาย ๆ อยู่ที่นี่ไปจนแก่ ดังนั้นการมีพวกนายเป็นที่พึ่งก็ยิ่งทำให้ชีวิตฉันสบายขึ้น ขอแค่อย่างเดียว…"

"..."

"อย่าบอกเรื่องพลังของฉันกับใครเด็ดขาด ฉันสัญญาว่าจะเป็นลิ่วล้อที่ดีตราบเท่าที่พวกนายให้สัญญาว่าจะเก็บความลับเรื่องนี้ไว้"

สัตตะเลี่ยงที่จะไม่บอกบทลงโทษ เพราะคิดว่าทั้งสามคนน่าจะพอรู้

การทำข้อตกลงคล้ายจะดำเนินไปได้ด้วยดี โกมาและมายูเงียบไปแล้วแต่สายตากลับมองไปยังพวานเพื่อให้เป็นตัวแทนในการให้คำตอบ เห็นแบบนั้นสัตตะก็มองไปยังพวานที่ยังเอาแต่ก้มหน้าเช่นกัน ลดแลกแจกแถมขนาดนี้แล้ว เจอทั้งไม้แข็งไม้นวมขนาดนี้แล้วถ้ายังไม่ยอมตอบรับก็คงต้องบังคับกันหน่อยแล้ว

สัตตะเม้มปาก 'ปล่อยของให้ดูขนาดนี้ ข้าไม่ยอมปล่อยมือพวกเอ็งแน่!'

"ฉันยอมรับข้อเสนอ แต่มีข้อแม้" แล้วสุดท้ายพวานก็ตอบรับออกมา แต่ก็ยังพ่วงด้วยเงื่อนไขบางอย่าง

"ข้อแม้อะไร?"

"ช่วย…" เสียงแหบแห้งเอ่ยคำแรกก็หายไป พวานกระแอมครั้งหนึ่งแล้วจึงเงยขึ้นสบตากับสัตตะอย่างตรงไปตรงมา "ช่วยเป็นอาจารย์ด้านการต่อสู้ให้พวกเราที!"

"ฮะ?" สัตตะถึงกับตกใจ ยิ่งเห็นมายูกับโกมาพยักหน้ารัวไปกับคำขอของพวานด้วยแล้วเขาก็ยิ่งตกใจ

เดี๋ยวนะ ให้เป็นอาจารย์คืออะไรวะ?

พวานร้องขอด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจัง "ช่วยสอนให้เราเก่งเหมือนอย่างนายที!"

"สอนให้เก่งขึ้นเพื่อให้พวกนายไปรังแกคนอื่นได้มากขึ้นน่ะเหรอ?"

"ไม่ใช่! เราจะปกป้อง ถ้าเราเก่งขึ้นเราสาบานว่าจะปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า พวกเรารู้แล้วว่าเคยทำไม่ดี รู้แล้วว่าผิดพลาด เพราะงั้นได้โปรดให้โอกาสกับเราสักครั้ง ช่วยสอน ช่วยสอนให้เราเป็นคนที่กล้าหาญ…"

"แต่ฉันเป็นพวกบ้านป่าเมืองเถื่อนที่มาจากนอกกำแพง จะเอาปัญญาที่ไหนไปสอนพวกนายได้วะ? ถ้าอยากให้ฉันสอนจริงก็คงต้องพาไปสอนกันจริงจังที่นอกกำแพงโน่น นักศึกษาปี 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกกำแพงอยู่แล้วเพราะงั้นตัดใจเสียเถอะ" สัตตะหาเรื่องปฏิเสธความยุ่งยาก เขาอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบเสงี่ยมตามคำสั่งเสียของปู่ ไม่ได้อยากหาเหาใส่หัวเลยสักนิด

"ได้!" พวานรีบรับปากทันที "เรื่องออกไปนอกกำแพงไม่ใช่ปัญหาเลย ฉันใช้ใบอนุญาตของพ่อได้ และพี่ชายของมายูเป็นผู้การที่คุมการเข้าออก เราขอการ์ดผ่านได้!"

ปัญหาถูกเคลียร์จบในม้วนเดียวตามสไตล์คนที่มีครอบครัวเป็นคนใหญ่คนโต เล่นเอาสัตตะเถียงไม่ออก

'สิทธิ์การออกนอกเมืองโดยไม่ถูกตรวจจับ…งั้นเหรอ'

"หมายความว่านายช่วยให้ฉันเข้าออกนอกกำแพงได้อย่างอิสระได้งั้นเหรอ?"

"ใช่ ถ้านายต้องการแบบนั้นก็สามารถทำได้" พวานระล่ำระลักรับปาก

และคำว่าการออกนอกกำแพงได้อย่างอิสระทำเอาสัตตะปฏิเสธไม่ออกอีกต่อไป เขากังวลเรื่องนี้อยู่หลายวัน ที่แท้มันก็ง่ายแค่นี้เองน่ะเหรอ ให้ตายเถอะไอ้พวกเวรนี่มีประโยชน์ชะมัด

สัตตะเงียบไปครู่ พลางนึกถึงส่วนได้ส่วนเสีย ดูเหมือนการตกลงยอมเป็นอาจารย์ให้พวกพวานจะมีประโยชน์มากกว่าโทษ

แม้จะน่ารำคาญไปบ้างก็เถอะ

"ตกลง" สุดท้าย สัตตะก็ตกปากรับคำ "ฉันจะเป็นอาจารย์ให้พวกนาย แลกกับการให้พวกนายคอยเป็นฉากบังหน้าในกำแพงนี้"

ราวกับได้พบเจอเรื่องที่ตามหามานาน พวกพวานดีใจกันจนน้ำตาปริ่ม สัตตะจึงใช้จังหวะนี้ในการขอรางวัลสำหรับตน รางวัลที่พวกพวานไม่มีทางรู้

"งั้นพรุ่งนี้นายเอากุญแจผ่านกำแพงให้ให้หน่อยสิ จะสอนพวกนายได้ฉันต้องออกไปเตรียมที่ทางข้างนอกนั่นก่อน" ก็แค่ข้ออ้างแหละนะ อันที่จริงก็แค่อยากออกไปทำธุระส่วนตัวมากกว่า

"แน่นอน เดี๋ยวออกไปฉันรีบจัดการให้เลย" พวกพวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ จนแทบจะแตกต่างเป็นคนละคนกับที่กลัวจนฉี่ราดก่อนหน้านั้น

"ดี เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ ลูกพี่" สัตตะแย้มยิ้ม ยกนิ้วโป้งขึ้นในเชิงว่ายอดเยี่ยม

การตกลงร่วมกันถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี และคล้ายกับว่าความโชคดีจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อจู่ ๆ สัญญาณของภูตแสงก็ปรากฏขึ้นอีกด้านของถ้ำ พร้อมกับที่ฑูรย์ฟื้นขึ้นในที่สุด

พวกเขาช่วยกันจับภูตแสงจนสำเร็จในเวลาไม่นาน แล้วจากนั้นพวกอาจารย์ก็เข้ามาเพราะกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในถ้ำเกิดทำงานไม่ปกติ จึงรีบเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัย แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัยและทำภาระกิจสำเร็จพอดีจึงพาตัวออกไปด้านนอก

ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แม้แต่ตัวสัตตะก็คิดว่าเรียบร้อย จะมีก็เพียงคนเดียวที่เริ่มจับความผิดปกติได้

หลังจากวันนั้น โดยไม่ทันรู้ตัว สัตตะก็ถูกอาจารย์โทคอยจับตาอย่างใกล้ชิด

ซึ่งกว่าที่สัตตะจะรู้ตัวเรื่องราวก็ผ่านไปอีกพักใหญ่

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การทดสอบผ่านพ้นไปด้วยดี ทุกคนจึงได้แยกย้ายกลับ เพราะกลุ่มของสัตตะถูกอาจารย์พาออกจากประตูมาก่อนเวลา และฑูรย์มีอาการบาดเจ็บจากการถูกโกมาซัดสลบจึงทำให้อาจารย์โทอนุญาตให้กลุ่มพวกเขาสามารถกลับก่อนกลุ่มอื่นได้ สัตตะจึงรอกจากการเผชิญหน้ากับสหัสในช่วงเย็น ซึ่งถือว่าเป็นโชคเข้าข้างสุด ๆ

แต่สัตตะไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องของเสียงเรียกที่ประตูบูรพา ดังนั้นดึกสงัดคืนนั้นเขาจึงรีบลักลอบเข้าไปยังหอคอยชั้น 1 คนเดียว เพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูบูรพา ทางไปหอคอยนั้นมีการเฝ้ายามเป็นจุด แต่ไม่ถึงกับเข้มงวดมาก เพราะด้านในหอคอยนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรงมากพออยู่แล้ว โดยปกติต้องใช้บัตรผ่านพิเศษสแกนเข้าไป งานนี้ต้องขอบคุณพวานที่เป็นลูกชายของรัฐมนตรีใหญ่ของรัฐกลางจึงมีบัตรผ่าน VIP ให้สัตตะยืมใช้ตามอัธยาศัย

แต่ถึงอย่างนั้นสัตตะก็ยังคงต้องอาศัยวิชาพรางกายเพื่อเข้าไปด้านในอยู่ดี เพราะกล้องวงจรปิดติดไว้ยุบยับ และเขาก็ไม่อยากทิ้งร่องรอยอะไรไว้ทั้งนั้น เมื่อเข้ามาดานในหอคอยได้สัตตะก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที แม้ภายในหอคอยนั้นจะมืดสนิทเพราะเป็นช่วงดึกสงัดไปแล้ว ทว่าภายในกลับยังมีสภาพเหมือนยามบ่ายไม่ต่างจากครั้งแรกที่เข้ามา เวทย์มิติเวลาสินะ ทำงาน 360 องศาตลอด 24 ชั่วโมง

"นายยังอยู่ในนั้นใช่ไหม?"

ประตูบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งหญ้าสีทอง สัตตะยืนตั้งสมาธิอยู่ที่ตรงนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยเรียกเบา ๆ ทว่ากลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

"เฮ้ นายยังอยู่หรือเปล่า?"

ลองเพิ่มเสียงเรียกดูอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบสงัด

"แปลกแฮะ"

เมื่อติดต่อกับคนภายในประตูไม่สำเร็จเขาก็เริ่มกลับมาคิดถึงเหตุการณ์ในตอนกลางวัน แล้วไพล่นึกไปถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สัตตะจึงใช้มีดเจาะเข้าที่ปลายนิ้วเบา ๆ แค่พอให้มีหยดเลือดออกมา

เพียงหนึ่งหยดของโลหิตที่หลั่งรินออกจากปลายนิ้ว สายลมก็พัดมาจากทุกทิศทุกทาง แล้ววูบต่อมาหลังจากสายลมพัดผ่านไป

…นายท่าน…

…นายท่านของข้าบาท…

"ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว เปิดประตูสิ"

ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้รู้สึกกลัวว่าจะอันตราย ซ้ำยังรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับว่าเจ้าของเสียงนี้คือคนที่เขาเคยรู้จักเมื่อชาติภพหนึ่ง

เพียงอึดใจเสียงลั่นดาลดังขึ้นจากด้านใน ก่อนประตูบานใหญ่จะค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ หมอกควันล่องลอยพร้อมบรรยากาศเยียบเย็น แต่สัตตะกลับไม่กลัวที่จะเดินเข้าไปด้านใน

หมอกหนาเข้าห่อหุ้มตัวของสัตตะทันทีที่ย่างเท้าเข้ามา บรรยากาศในประตูบูรพาแตกต่างจากประตูอาคเนย์ของฝั่งเขาอยู่มาก ไม่รู้ว่าเป็นบรรยากาศจริงหรือเป็นเพราะการกระทำของเจ้าของเสียงเรียกกันแน่

"ฉันมาแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยสิ"

เมื่อเข้าไปถึงจุดหนึ่งสัตตะก็เอ่ยเรียกผู้ที่เชื้อเชิญ เพียงครู่แสงสีทองจาง ๆ ก็เริ่มปรากฏใบรูปแบบของลูกไฟดวงเล็ก ๆ จากทุกทิศทุกทางล่องลอยมารวมกันอยู่ตรงเบื้องหน้าของสัตตะก่อนค่อย ๆ กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ผู้หนึ่ง

ไม่ใช่…นั่นไม่ใช่มนุษย์

สัญชาติญาณของสัตตะสัมผัสได้ ร่างตรงหน้านี้คือเผ่าพันธุ์เดียวกับเขา

เผ่าพันธุ์ของวิญญาณดั้งเดิมก่อนที่จะมาอยู่ในร่างของไดร์แอด

เผ่าพันธุ์แห่งยักษ์

…ข้าบาทสิงขราขอรายงานตัวต่อนายเหนือ ข้าบาทรอมาเนิ่นนานเหลือเกินกว่าจะได้เจอนายท่าน ดีใจเหลือเกินที่ในที่สุดก็ได้เจอเสียที…

"ข้าบาท? นายเคยเป็นลูกน้องฉันสินะ ตามหาฉันเพราะอะไร?"

…ในชาติก่อนข้าบาทเป็นองครักษ์ของนายท่าน ข้ามาเพื่อกลับมาอยู่ข้างกายนายท่าน…

จากนั้นก็อธิบายต่อว่าที่อยู่ตรงนี้คือเศษเสี้ยวของวิญญาณที่เหลืออยู่ เพราะแท้จริงเขาไม่ควรเหลือตัวตนอยู่บนภพนี้แล้ว อาวรณ์และความภักดีทำให้เหลือทิ้งเศษเสี้ยวนี้เอาไว้ และกล่าวขอโทษต่อเจ้านายที่ไม่อาจปกป้องได้ตั้งแต่ชาติภพก่อน

เศษเสี้ยวที่เหลือนี้ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากการได้กลับมาอยู่ข้างกายรับใช้

สัตตะยอมรับในคำขอนั้น จึงจัดการหลอมเศษเสี้ยวของสิงขราเข้ากับจิตภูตที่เขาจับได้เมื่อตอนกลางวันที่สามารถเป็นร่างภาชนะได้อย่างดี

เมื่อหลอมจิตเรียบร้อยแล้ว เจ้าภูตจิตที่เป็นเพียงนกน้อยของสัตตะก็กลายร่างเป็นนกแก้วที่มีสีขาวนวลเรืองรอง

ปกติภูตแสงจะทำหน้าที่ปกป้องอาคมมืดและอสูรระดับต่ำ เป็นเพียงพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถสื่อสารหรือมีชุดความคิดของตัวเอง แต่เมื่อสัตตะนำเสี้ยวจิตของสิงขราหลอมเข้ากับจิตภูตแล้ว เจ้าภูตแสงนี้ก็อัพขั้นเป็นภูตที่มีจิตที่สามารถสื่อสารได้

จากนั้นเจ้านกแก้วก็สนทนาเจื้อยแจ้ว

"ข้าน้อยดีใจเหลือเกินขอรับ ที่ได้กลับมาอยู่ข้างกายนายท่านอีกครั้ง"

"อื้อ จากนี้ไปก็คอยอยู่ติดตามฉันตามที่นายต้องการแล้วกัน"

"…แต่ข้าก็รู้สึกผิดกับท่านเหลือเกิน"

"รู้สึกผิด? เรื่องอะไร?"

"ข้ารู้สึกผิดที่ในวันนั้นไม่อาจช่วยท่าน เพราะข้ากลัวว่าถ้าเทวาคนนั้นรู้ถึงการมีอยู่ของข้า ข้าจะถูกกำจัดเสียก่อนจะได้พบหน้าท่าน"

"อ๋อ ไม่เป็นไร นายตัวเท่านี้ช่วยฉันไม่ได้หรอก"

สัตตะเพียงหัวเราะออกมา ทั้งที่จริงเมื่อกล่าวถึงสหัสแล้วในหัวใจของเขาก็เกิดความกลัวขึ้นมาน้อย ๆ สองสามวันมานี้เขาสูญเสียพลังไปมากจนไม่แน่ใจเลยว่าหากต้องปะทะกับสหัสอีกครั้งจะยังเอาตัวรอดได้หรือไม่

"นายท่านดูอ่อนล้านะขอรับ" สิงขราเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังที่อ่อนลงมากของเจ้านาย

"วันก่อนประมาทไปหน่อย เลยโดนไอ้เทวานั่นกินเลือดไปจนเกือบหมดตัว แถมยังต้องใช้พลังช่วงนี้เยอะอีก พลังเลยเหือดถังไปหน่อยน่ะ"

"!!? กินเลือด!? นายท่านปล่อยไว้แบบนี้มันอันตรายมากเลยนะขอรับ ท่านต้องรีบอาบแสงพระจันทร์แดงเพื่อคืนพลังโดยเร็วนะขอรับ"

"อือ รู้แล้ว แต่พระจันทร์แดงมันอยู่นอกกำแพงฉันกำลังจะหาทางออกไปอยู่"

"แต่รอบพระจันทร์แดงของเดือนนี้คือคืนวันพรุ่งแล้วนะขอรับ ได้ยินว่าคนในรั้วกำแพงเมืองนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถออกไปที่นอกกำแพงเด็ดขาด…"

"เออน่า ฉันเตรียมตัวไว้แล้ว และมีวิธีออกไปนอกกำแพงแล้วด้วย"

สำหรับเผ่ายักษ์กับผู้ศึกษามนตร์มารหากพลังเวทย์ถดถอยจะต้องอาบแสงพระจันทร์แดงเพื่อเพิ่มพลังวัตรและปรับจักราภายใน ทว่าพระจันทร์แดงนั้นโดยปกติจะเกิดแค่ในที่ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของยักษา ดังนั้นจึงไม่มีให้เห็นในเขตเมื่องที่อุดมไปด้วยพลังแห่งพรภูมิ

นั่นเป็นเหตุผลที่สัตตะจะต้องหาทางออกไปนอกกำแพงให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้

"ไปกันเถอะ รีบออกจากที่นี่ก่อนจะถูกจับได้ดีกว่า

"ขอรับ"

เมื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว สัตตะก็รีบเก็บสิงขราเข้าสู่กระเป๋ามิติ แล้วรีบชิ่งออกจากหอคอยชั้น 1 ทันที

โดยที่ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าสิ่งที่พวกตนได้ทำในประตูบูรพานั้นถูกใครคนหนึ่งจับตาเอาไว้แล้ว

ลับแผ่นหลังสัตตะที่วิ่งห้อออกจากประตูหอคอยไป คนที่ซ่อนอยู่ในเงามืดมาตลอดก็ก้าวออกมา

เพราะสัตตะกรีดเลือดออกมาครั้งหนึ่งจึงทำให้กลิ่นกายกำจายทั่ว สหัสจึงสามารถติดตามมาจนพบว่าสัตตะกำลังลักลอบทำอะไรบางอย่างและได้รู้ว่าแท้จริงจิตวิญญาณที่แอบซ่อนในร่างของคนธรรมดามาตลอดนี้คือยักษาที่คิดกันไปว่าสาปสูญไปจนสิ้นแล้ว

การปรากฏตัวของยักษ์ย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์กับตาได้สหัสก็จะยังไม่ทำอะไรสัตตะทั้งสิ้น

เว้นก็แต่…

กลิ่นเลือดของอีกฝ่ายที่ทำให้คอแห้งผากนี้

คงต้องลงมือทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว