"เย้ย! เป็นไรไป?"
ทันทีที่วาร์ปมาถึงจุดนัดพบสัตตะก็ล้มกลิ้งลงตรงหน้าของทูรย์ ทำเอาคนรออย่างทูรย์ถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ พลางปรี่เข้าไปรีบประคองเพื่อนให้ลุกยืน
"สะดุดล้มน่ะ" สัตตะเพียงแก้ตัวไปส่ง ๆ หางตาเห็นถึงกลุ่มคนอีก 3 คนที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่
ออร่าที่พวกนั้นส่งมาทำเอาสัตตะถอนหายใจออกมา
'หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ!'
"เฮ้ย รีบเข้าเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาเอานะ" เป็นมายูผู้เจ้าเล่ห์สุดในทีมเป็นคนตะโกนเรียก ขณะโกมากับพวานกำลังไขกุญแจเปิดประตู
แอ๊ด…
ประตูโบราณบานเขื่องลวดลายวิจิตรตระการถูกเปิดออก เสียงโหยหวนของบานพับเก่าแก่ชวนขนลุก สายลมเบาบางพัดผ่านออกมาพร้อมกลุ่มหมอกควันจาง ๆ แน่นอนว่าทุกคนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกจนอดกลืนน้ำลายลงคอกันอึก อึก ไม่ได้
"ว่ากันว่า…" ฑูรย์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบด้วยน้ำเสียงสั่นน้อย ๆ "เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้ว ลั่นดาลจะถูกลงสลัก และจะไม่เปิดเด็ดขาดจนกว่าจะถึงเวลาอันควร หรือก็คือภูตที่เป็นผู้ถือครองกุญแจในที่นี้จะถูกจับออกมาทั้งหมด"
"..." ทุกคนเงียบกริบทันทีที่ได้ยินเรื่องราวที่นาคาหนุ่มเล่า
"แล้วถ้าล่าภูตได้ไม่ครบตามเวลาล่ะ? พวกอาจารย์บอกเอาไว้ว่ามีเวลาแค่ถึง 6 โมงเย็นเองไม่ใช่เหรอ?" เป็นโกมาที่ค้านขึ้น เพราะฟังดูแล้วไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก
"ก็เป็นไปได้ว่า เมื่อถึงเวลาพวกอาจารย์ที่มีกุญแจอยู่จะไขเข้าไปช่วยพวกเรา" มายูออกความเห็นบ้าง และก็เป็นความเห็นที่ช่วยอุ้มชูให้หัวใจของทุกคนเบาขึ้นได้
"รีบ ๆ เข้าไปกันเสียทีเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่เลย ไอ้แค่ล่าภูตแสงของหอคอยชั้นหนึ่งมันจะไปน่ากลัวอะไรวะ" สุดท้ายพวานที่ถือเป็นหัวหน้าของกลุ่มในยามนี้
สิ้นคำนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันเดินตามพวานเข้าไปในดินแดนที่ไม่อาจหยั่งรู้
ประตูบานเขื่องปิดลงตามหลังพวกเขาแล้วตั้งตระหง่านอย่างสงบนิ่งอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
"ทุกกลุ่มเข้าไปหมดแล้วครับ"
เสียงทุ้มพร่าเอ่ยรายงานต่อผู้เป็นหัวหน้า
"ขอบคุณที่เป็นธุระนะ" โท พยักหน้ารับ สายตาจดจ้องไปที่จอมอนิเตอร์ที่เรียงรายหลายสิบตัวตรงหน้า บนหน้าจอเหล่านั้นกำลังถ่ายทอดภาพของเหล่าลูกศิษย์ที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งการต่อสู้ขั้นแรกเริ่ม
ภาพเหล่านั้นถูกส่งออกมาจากกล้องวงจรปิดที่เริ่มติดไว้ตั้งแต่ในบานประตู กล้องวงจรปิดที่ถูกซ่อนเอาไว้โดยไม่ให้ใครรู้เนื่องจากต้องการให้เด็กทุกคนได้เผยธาตุแท้ของตนออกมา เพื่อที่เหล่าอาจารย์ที่ปรึกษาจะได้รู้ว่าควรรับมือกับนิสัยลับ ๆ พวกนี้ของพวกลูกศิษย์อย่างไร
อาจเป็นโชคของสหัสและสัตตะที่กล้องวงจรปิดนี้ถูกติดไว้ด้านในของประตู นั่นจึงทำให้พวกของโทไม่เห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา เมื่อครู่
แต่ถึงอย่างนั้นในวันนี้คนที่โทจับตาดูเป็นพิเศษก็หนีไม่พ้นสัตตะอยู่ดี
'มาดูกันว่านายจะซ่อนความสามารถอะไรไว้อีกบ้าง'
กลุ่มของสัตตะทั้ง 5 คนค่อย ๆ เดินเข้าสู่ห้วงมิติที่ค่อนข้างชวนให้อึดอัด ทันทีที่ข้ามธรณีประตูมาบรรยากาศที่เคยอุ่นสบายด้านนอกก็กลับเป็นเย็นยะเยือก ภายในมีเพียงแสงสลัว บนพื้นเป็นทางดินลูกรังที่ด้านข้างเป็นป่าหญ้ารกทึบ แม้ด้านนอกจะเป็นทุ่งหญ้าสีทองท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใสเพียงใด แต่ด้านในท้องฟ้ากลับเป็นสีดำของรัตติกาล
ยิ่งเดินลึกเข้าไปต้นไม้สูงใหญ่ก็ยิ่งหนาตาขึ้น ดวงไฟจิ๋วดวงน้อยคล้ายแสงของหิ่งห้อย โบยบินเลียดไปกับต้นหญ้ามองเห็นเป็นดอกไม้สีม่วงที่ซ่อนตัวกลืนไปกับใบสีเขียวและความมืดสลัว
"วังเวงมากเลยอ่ะ" ฑูรย์เข้ามาเกาะแขนของสัตตะไว้ด้วยความขนพองสยองเกล้ากับบรรยากาศของพื้นที่ที่พวกตนมาเยือน
สัตตะชำเลืองมองเพื่อน นาคาเซ้นส์ไวตามเผ่าพันธุ์อย่างที่คิด เพราะแท้จริงแล้วบรรยากาศหนาวเยือกนี้คือไออสูร ที่น่าจะแผ่ออกจากบอสคุมประตูของที่นี่ จากที่สัมผัสได้บอสตัวนี้ถูกคุมขังและอยู่ในภาวะจำศีลอยู่ คนทั่วไปหรือแม้แต่พวกผู้มีพรภูมิน้อยคนนักที่จะสามารถรับรู้ถึงมันได้
ว่าแต่ทำไมถึงเงียบเชียบขนาดนี้กันล่ะ? สัมผัสถึงพลังของภูตสักตัวยังไม่ได้เลย
สัตตะครุ่นคิดขณะเดินตามกลุ่มผู้นำอย่างพวาน โกมา และมายูไปเรื่อย ๆ
"น่าจะที่นี่แหละ" ในที่สุดเสียงหนึ่งจากกลุ่มผู้นำก็ดังขึ้น เมื่อสัตตะมองตามไปก็เห็นว่าเป็นทางเข้าไปในถ้ำที่มืดมิดเสียยิ่งกว่าด้านนอกอยู่ "ฉันเคยได้ยินจากรุ่นพี่ว่าหากเดินตามทางจากประตูมาแล้วไม่พบเจอสิ่งใด ให้ตามหาถ้ำใหญ่ เพราะเหล่าภูตจะแฝงตัวอาศัยอยู่ในนั้น"
คนที่ให้ความรู้อย่างเป็นประโยชน์คือมายู หัวกะทิของกลุ่ม
"โห ไม่ยักรู้เลย" ฑูรย์แอบพูดกับตัวเอง ในน้ำเสียงแฝงเร้นด้วยความเจ็บใจน้อย ๆ ที่ตนทำการบ้านเรื่องนี้มาไม่พอ
ในขณะที่ฑูรย์กำลังเจ็บใจตัวเอง สัตตะก็กำลังขบริมฝีแน่น เพราะเขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าพวกสามคนข้างหน้านี้กำลังมีแผนการร้าย
ถ้ำข้างหน้านี้ไม่ใช่ที่อยู่ของภูต แต่เป็นที่อยู่ของบอสดูแลพื้นที่ต่างหาก!
ความแข็งแกร่งของบอสอสูรในหอคอยชั้น 1 ปกติแล้วพวกมีพรภูมิตั้งแต่แรงก์ B ขึ้นไปสามารถกำจัดได้แบบไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่สำหรับแรงก์ F นั้นมันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง!
'ไอ้พวกเวรนี้จงใจเล่นงานกูแน่ ๆ'
สัตตะขบกรามแน่นด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ไม่คิดจะเผยให้คนอื่นรู้ว่าตนรู้ตัวแล้ว
'จะเล่นด้วยแล้วกัน ไอ้พวกลูกหมาเวร!'
"บรื๋อ บรรยากาศมันจะน่าขนลุกเกินไปแล้ว!" ฑูรย์บ่นกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินกอดตัวเองด้วยความหวาดหวั่น ความมืดทำให้นาคหนุ่มเดินห่างออกจากสัตตะไปเรื่อย ๆ
ทั้งห้าคนเดินเข้าถ้ำตามกันไป มายูใช้ลูกแก้วเวทย์ไฟที่พกมาส่องเป็นแสงนำทางในความมืดมิด เมื่อเดินถึงโถงเวิ้งว้างต่างคนต่างก็เดินกระจัดกระจายกันเพื่อหาทางไปต่อ
เมื่อเข้าลึกไปอีกหน่อย ตรงเบื้องหน้าก็ปรากฏทางเข้าเป็นช่องลึกที่สัตตะสัมผัสได้เป็นอย่างดีว่าที่ปลายอุโมงค์นั้นมีอะไรบางอย่างหลับใหลอยู่ เขาถือได้ว่ายืนอยู่กึ่งกลางของโถงพอดี แม้สายตาจะมองตรงไปข้างหน้า แต่สัตตะสัมผัสได้เป็นอย่างดีถึงตำแหน่งของ 4 คนที่เหลือ
นักฆ่าที่ชื่อโกมายืนคุมเชิงอยู่ตรงด้านหลังที่เป็นทางเข้าเพียงทางเดียว นักรบหัวหน้าทีมอย่างพวานยืนอยู่ด้านหลังไปหน่อย ไม่ไกลจากฑูรย์ที่ยืนหันรีหันขวางเท่าไหร่นัก มีเพียงนักแม่นปืนที่ชื่อมายูเท่านั้นที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา คนคนนั้นยังคงถือลูกแก้วเวทย์ไฟไว้ในมือพร้อมใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มที่มองยังไงก็เจ้าเล่ห์มากกว่าอ่อนโยน
"นี่…ไม่เห็นวี่แววของพวกภูตเลยอ่ะ เราไปหาที่อื่นกัน…อึก!"
พลั่ก!
เสียงฑูรย์ที่กำลังเจื้อยแจ้วหายไป พร้อมเสียงของบางอย่างร่วงลงพื้น พอหันไปดูก็เห็นว่าอีกฝ่ายถูกพวานสับต้นคอทีเดียวก็ลงไปนอนคอพับตาเหลือกเรียบร้อย
"เบามือหน่อยสิวะพวาน กูไม่อยากมีปัญหากับไอ้ธชาญาติมันนะเว้ย" โกมาแสร้งทำเป็นบ่น ทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"นี่เบาสุดแล้ว เจ้าหนูนี่มันอ่อนแอเองต่างหาก" พวานตอบขณะช้อนตัวของทูรย์ขึ้น ลากไปหลบไว้ที่ด้านข้าง
ชัดเจนว่าพวกมันสามคนไม่อยากมีปัญหากับนาคาที่มีศักดิ์สูงกว่าจึงได้ใช้วิธีนี้เพื่อให้ทูรย์ที่สนิทกับเขาไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย
"เจอแบบนี้แล้วยังนิ่งอยู่ได้ ไม่เบานี่หว่า" มายูเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง พร้อมจ่อโลหะบางอย่างตรงท้ายทอย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคือปืนคู่ อาวุธประจำกายที่เพิ่งได้รับมาหมาด ๆ ของเจ้าตัว
"..."
"หรือว่ากลัวจนพูดไม่ออกไปแล้วหรือเปล่า หึหึ" เห็นว่าสัตตะยังนิ่ง โกมาก็ช่วยเสริมคำเพื่อน
"อย่ามัวลีลาอยู่เลยพวกมึง รีบ ๆ จัดการซะ เสียเวลากูจริง" คราวนี้เป็นพวานเอ่ยขึ้นบ้าง สัตตะลอบมองใบหน้าที่ถือว่าดูดีของฝ่ายนั้นแล้วนึกเสียดายนิสัยที่ไม่เข้ากับหน้าตาขึ้นมา
เสียงมายูบ่นร่ำอยู่ด้านหลังว่าขอเล่นสนุกต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มทำสิ่งที่น่าจะผิดกฎร้ายแรงขึ้นมา
'ปัง ปัง!'
เสียงปืนดังขึ้นสองครั้ง ประตูที่ปิดประตูอุโมงค์อยู่ก็ถูกเปิดออก
แค่เพียงแย้มพรายออกมาเพียงนิด ลมหายใจและกระไอเปื้อนมลทินของอสูรก็แผ่กำจายออกมา
"พวกนายคิดจะทำอะไร?" สัตตะถามขึ้น ในน้ำเสียงไม่มีวี่แววความกังวลใด
ใบหน้าชาชืดของสัตตะที่แม้เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากำลังเผชิญเรื่องโหดร้ายนั้นทำให้มายูที่ฉลาดสุดในกลุ่มค่อนข้างติดใจสงสัย
แต่เมื่อบางสิ่งย่างกรายออกจากประตูด้านหลัง ความสนุกก็แล่นเข้ามาแทนที่
"บทเรียนวันนี้แค่ล่าภูต ไม่ต้องสู้กับบอสนี่?" สัตตะแสร้งถาม ขณะค่อย ๆ ปล่อยควันจาง ๆ ออกจากมือ
โดยควันนั้นคือเวทย์หมอกพราง มันค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้าไปที่กล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่ในถ้ำ ยังดีว่าทักษะการตรวจจับที่ติดตัวมาจากนอกกำแพงของเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง แค่เหยียบเข้ามาในบานประตูมิติที่เพิ่งถูกข่มขู่ไปว่าไม่มีกล้องวงจรปิดให้สามารถเรียกหาความช่วยเหลือได้ เขาก็รู้ได้ทันทีแล้วว่าโดนหลอก
"ทำไม? บอสระดับแค่นี้ไม่คณามือคลาส A หรอกนะ นายเองอุตส่าห์ได้อยู่คลาส A ทั้งทีก็ไม่น่าจะกลัวเจ้าตัวนี้อยู่แล้ว" มายูตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ขณะแสดงสีหน้าตื่นเต้นที่กำลังจะได้เห็นเรื่องสนุก
"ใช่ ในเมื่อแกกล้าเสนอหน้ามาอยู่คลาส A ได้ ก็จัดการบอสตัวนี้ให้ดูเป็นขวัญตาหน่อย ถ้ามีฝีมือจริงก็ทำให้พวกเรายอมรับให้ได้สิ ฮ่า ฮ่า" โกมาเสริม
ส่วนพวานที่ยืนพิงผนังดูอยู่อีกด้านทำเพียงถ่มน้ำลายลงพื้น ในเชิงหยามหยันว่าสัตตะไม่มีทางผ่านวิบากกรรมครั้งนี้ได้
สัตตะถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ระดับของบอสในถ้ำนี้แม้จะหนักมือไปหน่อย แต่ก็เป็นระดับที่แรงก์ C ปรมาณ 2-4 คนขึ้นไปรับมือได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ทัังหมดในนี้ก็แค่ป่าหี่หลอกให้พวกนิสัยเสียเผยหางสกปรก หลอกให้พวกอ่อนแอได้แสดงศักยภาพในการเอาชีวิตรอด โดยมีการจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น…
ถ้าอยากสั่งสอนเด็ก ก็ต้องปิดตาผู้ปกครองเสียก่อน!
เสี้ยววินาทีที่ควันเวทย์ของเขาปิดเลนส์กล้องพร้อมตัดสัญญาณเสียงได้สำเร็จ จะงอยเขี้ยวโง้งก็มุ่งเข้าจู่โจมจากด้านหลังของสัตตะ รังสีมุ่งร้ายที่แผ่ล้นออกมาทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าตัวที่อยู่ด้านหลังนี้เป็นอสูรที่ไม่มีปัญญาและต้องการ 'ฆ่า' ผู้รุกรานถิ่นฐานเท่านั้น
สิ่งที่สัตตะมองเห็นเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะถูกเงื้อมเงาของอสูรปกคุลมร่าง คือใบหน้าหยามยิ้มของเหล่าผู้มุ่งร้าย ไม่มีใครคิดช่วยแม้รู้ว่าเขาเป็นแค่นักเวทย์แรงก์ต่ำ เพราะตั้งใจให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ตั้งใจให้เขากริ่งกลัวจนไม่อาจอยู่ต่อไปได้
ตั้งใจให้คนตาถั่วที่เลือกเขามาไว้ในที่แห่งนี้ได้เห็นว่าตัดสินใจผิด
แค่ไอ้กระจอกแรงก์ F เจ็บหนักหรือตายไปแค่คนเดียว โดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นเป็นแค่เด็กกำพร้ามาจากนอกกำแพงด้วยแล้ว มันยิ่งไม่มีค่าให้สาวความใด ๆ เรื่องนี้จะแค่สะเทือนใจคนขวัญอ่อนไม่กี่วันก็จะจางหายไปจากความทรงจำ
…โลกก็เป็นเช่นนี้
ฉึ่บ!
เสียงคล้ายสายลมกรีดใบไผ่ เบาหวิวผิวแผ่ว
เพียงเสียงเดียวนั้นทั้งร่างของอสูรที่ตัวใหญ่มหึมาก็แหละละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โลหิตพิษสีเขียวกับชิ้นเนื้อที่กระจัดกระจายถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟสีดำไร้ที่มา เพียงพริบตาเงื้อมเงาอำมหิตก็สลายไปในความว่างเปล่า ต่อหน้าต่อตาของผู้ร่วมเหตุการณ์ทั้งสามที่ยังคงยิ้มค้างบนใบหน้า
ตรงจุดที่อสูรเคยอยู่มีร่างผอมบางของสัตตะยืนสง่าไร้รอยขีดข่วนใด ๆ
"ก…เกิดอะไรขึ้น? บอสตัวนั้นมัน…" มายูถึงกับโอหังไม่ออก
"เป็นไปไม่ได้น่า ไอ้หมอนั่น…ถึงบอสตัวนั้นจะแค่แรงก์ C ที่ฆ่าไม่ยาก แต่ต่อให้เป็นแรงก์ A ก็ยังไม่สามารถสลายร่างมันได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้ได้เลยนะ!" โกมาเองก็อึ้งงันไปกับภาพตรงหน้า ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขารู้ดีว่าต่อให้เป็นแรงก์ A อย่างเขาแค่จะปาดคอไอ้ตัวนั้นให้ตายในที่เดียวยังเป็นไปไม่ได้เลย แต่คนตรงหน้า…ไอ้หมอนั่นมันก็แค่นักเวทย์ แรงก์ F ไม่ใช่หรือไง? หรือว่ามันมีอาคมลับที่สามารถสังหารอสูรระดับนี้ได้ในพริบตา ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็บ้าเกินไปแล้ว
ไม่สิ…ตอนนี้แหละที่บ้า!
ในขณะที่มายูกับโกมากำลังกริ่งเกรงความสามารถที่ซุกซ่อนของสัตตะ หัวหน้าทีมอย่างพวานกลับคิดเป็นอีกอย่าง
"แม่ง…ว่าแล้วว่าทำไมมันแปลกๆ ไอ้พวกอาจารย์หลอกว่าที่นี่อันตรายที่จริงฝังกลไกไว้ในกำไลเวทย์นี่สินะ ถ้าถูกอสูรโจมตีมันก็จะทำงาน ไอ้บอสชั้นแรกนั่นมันกากอยู่แล้ว แค่กำไลเวทย์นี่ก็ทำลายมันได้อย่างง่ายดาย" พวานเอ่ยเสียงดังฟังชัดด้วยสีหน้าเหยียดหยัน เขาไม่เชื่อสักนิดว่าเจ้าคนนอกกำแพงจะเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าพวกมีศักดิ์ในกำแพงเมือง!
"...จ…จริงเหรอ?" โกมาคล้อยตามนิด ๆ พลางจับดูกำไลที่ข้อมือของตนเอง เริ่มรู้สึกหวงแหนเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าอาจปกป้องตนเองได้
แต่มายูกลับไม่คิดแบบนั้น เขาสัมผัสได้ว่ากำไลอันนี้ไม่ได้มีพลังวิเศษที่มากมายระดับที่จะเป่าบอสแรงก์ C เป็นฝุ่นได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่กล้าออกความเห็นเพราะไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนอย่างพวาน
"ถ้าสงสัย เดี๋ยวกูพิสูจน์ให้ดู!" พวานคำราม กระโจนเข้าโจมตีสัตตะทันที
"ชิ" สัตตะเดาะลิ้นอย่างเบื่อหน่าย รับมือฝ่ายนั้นไปพลางคิดว่าควรจัดการอย่างไรต่อ นึกว่าจัดการบอสให้เห็นคาตาขนาดนี้แล้วพวกมันจะกลัวเสียอีก ไอ้หน้าโง่พวานดันคิดเรื่องโง่แปลก ๆ ขึ้นมาเสียได้ เขาไม่สามารถใช้มนต์มารที่นี่ และไม่อาจทำร้ายพวกมันจนเจ็บสาหัส แล้วควรทำยังไงกับไอ้เวรแรงก์ A กระจอกตรงหน้านี่ดีล่ะ?
ผลั่ก!
แต่ไม่ทันตัดสินใจว่าควรทำยังไง เท้าของเขาก็ถีบเข้าหน้าของพวานเข้าเต็มรักจนฝ่ายนั้นกระเด็นล้มหกล้มกลิ้งไปไกลเสียแล้ว
"พวาน!" มายูกับโกมารีบเข้าไปดูเพื่อนทันที
แล้วในตอนนั้นเองสัตตะก็กระจ่างขึ้นมา
…อา เห็นขยันกร่างใส่ ที่แท้ทักษะการต่อสู้กระจอกจนน่าถ่มถุยเลยวุ้ย นี่ยังไม่ได้ทำอะไรก็ชิงล้มกลิ้งไม่เป็นท่าไปเสียแล้วเหรอ?
ฉับพลัน สัตตะที่คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็เหยียดยิ้มออกมาบาง ๆ พลางบริกรรมคาถาขึ้นมาบทหนึ่ง
'มายา'
"จัดการมัน!" พวานออกคำสั่งกับเพื่อน ด้วยริมฝีปากที่ยังคงเต็มไปด้วยเลือด
โกมาผู้รักเพื่อนลุกขึ้นประจันหน้ากับสัตตะ เขาเชื่อพวานเรื่องที่บอสถูกกำจัดเพราะกำไล แต่เขาก็เชื่อแล้วว่าสัตตะไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย ๆ ฝีไม้ลายมือและทักษะในการต่อสู้ของเจ้านักเวทย์แรงก์ F ตรงหน้านี้ระดับไม่ต่างกับพวกครูฝึกเลย เดาได้ไม่ยากว่ามันคงเป็นทักษะที่ติดตัวมาจากนอกกำแพงดินแดนเดนตายนั่น และมันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าแรงก์กระจอกนี่ได้อยู่คลาส A เป็นแน่แท้
แต่เขาเองในฐานะนักฆ่ามีดสั้นคู่ ความว่องไวในการสังหารก็เป็นทักษะที่ติดตัวมาเหมือนกัน!
"ย๊ากกก!!" โกมากระโจนเข้าหาสัตตะพร้อมเสกมีดคู่ใส่มือตน ไม่มีจิตสังหารถึงตาย แต่ก็ตั้งใจให้บาดเจ็บหนัก ถึงอย่างไรในกลุ่มพวกเขาก็มีฮีลเลอร์แรงก์ A อยู่ ต่อให้สัตตะจะบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน ขอแค่ยังมีลมหายใจ เจ้านาคาก็ต้องหาทางช่วยเพื่อนได้แน่ เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องออมมือ!
ตริตรองเพียงเท่านั้นก็เหวี่ยงมีดไปตรงหน้าอย่างชำนิชำนาญ ความเร็วขนาดนี้ต่อให้แรงก์ A ก็ใช่ว่าจะหลบทัน
ทว่าพริบตานั้นเหยื่อตรงหน้ากลับหายวับไป
"!!!??"
สัญชาตญาณกู่ร้องว่าอันตราย แต่ก็ไม่ทันกับที่ความรู้สึกหนึ่งแล่นปราดขึ้นมา สายตาถูกสะกดไว้กับที่ก่อนที่เสียงของหนัก ๆ ร่วงลงพื้นจะกระจ่างชัดเต็มสองหู
"อะ อะ…อ๊า…"
แม้แต่จะร้องก็ร้องไม่ออก เมื่อดวงตาแดงก่ำมองเห็นแขนและขาของตนถูกตัดขาดกระจายไปคนละทิศละทาง ตัวเขาตอนนี้เหลือเพียงร่างที่ไร้แขนขาแล้วเท่านั้น!
ความตกใจถึงขีดสุดทำให้โกมาตาเหลือกและขาดใจไปเดี๋ยวนั้น
"โกมา!!!" มายูตะโกนลั่น ผละตัวออกจากพวานที่นิ่งอึ้งไปแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็คือนักแม่นปืนแรงก์ B ปืนศักดิ์สิทธิ์ในมือนี้ก็คืออาวุธระดับยูนีค เขาไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ไอ้ชั่วตรงหน้าแน่
"ตายซะเถอะ ไอ้สารเลว!"
ปัง ปัง ปัง!!
เสียงปืนรัวขึ้น 3 นัด โดยปกติ อาวุธของมายูนี้เมื่อกระสุนเวทย์ได้ถูกกำหนดให้พุ่งไปยังจุดตายของเหยื่อไว้แล้ว ต่อให้หลบหลีกมันก็จะตามไปจนทัน มายูลั่นออกไป 3 นัด คือ หน้าผาก ปาก (ตำแหน่งที่ตรงกับก้านสมอง) และหัวใจ ทั้งหมดคือจุดตาย ภาพที่เขาตั้งใจว่าจะได้เห็นคือร่างของสัตตะที่ล้มลงสิ้นใจไปตรงหน้า
ทว่า…
"กะเล่นถึงตายเลยนี่หว่า"
เสียงกระซิบเยียบเย็นที่ข้างหูกลับทำให้สันหลังของเขาเย็นเยือกยิ่งกว่า
ตุบ!
เสียงของบางแย่างตกสู่พื้น รู้สึกเหมือนถูกตบที่ท้ายทอยแรง ๆ ดวงตาของมายูยังคงเบิกโพลง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผนังถ้ำ ก่นอที่สีรษะเขาจะกลิ้งไปครึ่งรอบจนได้เห็นว่าพวานกำลังมองมาด้วยดวงหน้าที่ซีดจนไร้สีเลือด ข้างกันนั้นคือขาของคนสองคน…
เมื่อวาดสายตาขึ้นไปมองก็เห็นว่าเป็นสัตตะ
…กับร่างของเขาที่
…ไม่มีหัว!...
จุดจบของเพื่อนทั้งสองคนทำให้พวานไม่อาจทำอะไรได้อีกแม่แต่การขยับตัว แขนขาชาดิก ทั่วทั้งตัวสั่นระริก แม้แต่เสียงร้องก็ไม่มี
ไม่สิ…
แม้กระทั่งลมหายใจ ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจแล้วว่าตนยังหายใจอยู่หรือไม่?
พวานนั่งตัวสั่นอยู่กับพื้น รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่เปียกซึมตรงหว่างขา
…เขาฉี่ราด
…เขากลัวจนฉี่ราด
คนตรงหน้าเป็นอสูรในร่างมนุษย์ ไม่มีทางที่แรงก์ F จะสามารถสังหารแรงก์ B ในพริบตาแบบนี้ได้
ในหัวของพวานยุ่งเหยิงไปหมดกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ตรงหน้า ดวงตาแดงก่ำฉ่ำไปด้วยน้ำตาเบิกโพลงไม่กะพริบ จ้องมองไปยังเพื่อนของตนที่สูญสิ้นลมหายใจไปแล้ว ก่อนที่จะเห็นว่าสัตตะกำลังก้าวเท้าเข้ามาหาตนเรื่อย ๆ
มันคือใคร?
มันคือตัวอะไรกันแน่?
ตายแน่…
เขาต้องตายแน่ ๆ
ทำยังไงดี
จะทำยังไงดี??
เมื่อพญายมราชมายืนอยู่ตรงหน้า หัวสมองของพวานก็ขาวโพลน
"ว่าไง? จะเอาไงต่อ?"
สัตตะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ราวกับไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ต่อให้ถามออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้คำตอบอะไรเพราะพวานก็คล้ายจะบ้าใบ้ไปแล้ว
"จำเรื่องที่ในประตูมิติไม่มีกล้องวงจรปิดได้ใช่ไหม? ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนี้ก็จะไม่มีใครรู้เห็น" สัตตะแกล้งพูดขึ้น
"..."
"ฉันจะพาฑูรย์หนีออกไป แล้วบอกกับอาจารย์ว่าพวกนายโดนบอสฆ่าตายเพราะไม่ทันระวัง หรือไม่ก็บอกไปว่าไม่รู้ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เราแยกย้ายกันหาภูต รู้อีกทีก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ถึงยังไงฉันมันก็แค่แรงก์ F มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดว่าฉันสามารถทำทั้งหมดนี่ด้วยตัวคนเดียว"
"..." พวานกลัวจนแทบไม่กล้าหายใจ คำว่า 'พวกนายโดนบอสฆ่าตาย' ของสัตตะมันหมายความว่าอีกฝ่ายตั้งใจสังหารตนด้วย! ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความกลัวมองไปยังศพของเพื่อนทั้งสองของตน
มายู…
โกมา…
ร่างของเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยทำให้สติสุดท้ายที่เหลืออยู่ของพวานตื่นขึ้น ความกลัวตายจับขั้วหัวใจเมื่อครู่หายวับราวปลิดทิ้งไป ร่างกายที่สั่นระริกกลับนิ่งงันมั่นคง ยามเมื่อวาระสุดท้ายมาเยือน น่าแปลกที่ไม่รู้สึกกลัวอะไร เขาจึงถามสัตตะออกไป
"แกเป็นตัวอะไรกันแน่?"
สัตตะยิ้ม "ก็แค่นักเวทย์แรงก์ F จากนอกกำแพง"
"ไม่จริง แกคืออสูร…แกคืออสูรในร่างมนุษย์! แค่แรงก์ F แค่พวกนอกกำแพงเดนตาย ไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ ไม่มีทาง…" พวานคัดค้านด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและแตกพร่า
แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวจบก็ถูกสัตตะบีบปลายคางเอาไว้ไม่ให้พูดต่อ
ใบหน้าจำแลงแสนธรรมดาของสัตตะนั้น ตอนนี้กลับดุดันเสียจนพวานยังไม่กล้ามองตรง ๆ
"เรื่องแรงก์ F ไม่เถียงนะ แต่ถ้ามึงจะดูถูกคนจากนอกกำแพงว่าอ่อนด้อยล่ะก็ ช่วยแหกตาดูกูอีกทีให้ชัด ๆ !"
"..." แม้น้ำเสียงนั้นจะยังราบเรียบฟังดูไร้อารมณ์แอบแฝง แต่แรงกดดันที่แฝงอยู่ในนั้นกลับมหาศาล แน่นอนว่าแค่นั้นก็มากพอให้พวานพูดอะไรไม่ออกอีก
"ในขณะที่พวกมึงเสวยสุขกันในกำแพงเมือง พวกกูที่ข้างนอกนั่นต้องเจอกับอะไรบ้าง คิดว่าอสูรข้างนอกนั่นมันจะกระจอกเท่ากับไอ้ตัวที่ทำเลียนแบบขึ้นมาแบบไอ้ตัวนี้เหรอ?"
"นานครั้งอสูรพวกนั้นถึงจะหลุดเข้ามาในกำแพงเมืองนี้สักตัว แต่แค่ตัวเดียวพวกมึงก็จะรวมพลคนที่เก่งที่สุดไปรุมฆ่าไอ้ตัวกระจอกนั่น ในขณะพวกกูที่นอกกำแพงต้องรับมือพวกที่ระดับสูงกว่าไอ้บอสเวรตัวนี้เป็นฝูงทุกวัน รู้แบบนี้มึงยังกล้าดูถูกพวกกูอยู่อีกไหมล่ะ?"
"พวกเดนตายที่พวกคนในเมืองอย่างมึงทอดทิ้งไว้ที่นอกกำแพงนั่นอย่างอยุติธรรม มึงคิดว่าพวกกูอยู่รอดกันมาได้ยังไงเหรอ? รอดเพราะแค่พวกนักรบพรภูมิแรงก์ต่ำสวะพวกนั้นคอยปกป้องหรือไง? เหอะ ได้พวกที่อวดอ้างว่าเป็นการ์เดี้ยนพวกนั้น แค่เห็นอสูรแรงก์ B เกิน 2 ตัวขึ้นไปก็ขี้หดตดหายหมดแล้ว สุดท้ายพวกกูก็ต้องปกป้องกันเองอยู่ดี"
"ส่วนพวกมึงที่ทำตัวสูงส่งกันเหลือเกินน่ะ คิดว่าแค่ผ่านด่านหอคอยกับอสูรกระจอกไม่กี่ตัวก็เก่งกาจแล้วงั้นเหรอ ถุย! แหกตาดูสิ ขนาดแรงก์สูงนักหนาอย่างพวกมึง ยังถูกแรงก์ F อย่างกูทำให้ตายโหงที่นี่ได้ในพริบตา แล้วยังคิดว่าพวกมึงเจ๋งอีกเหรอวะ? หึหึ"
"ช…ช่วยด้วย" เสียงแหบพร่าของพวานดังออกมาแผ่วเบา เมื่อถูกสัตตะข่มจนขวัญหนีดีฝ่อ เขากลัวตายจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่อาจคิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดออกไป
…นี่เขาเล่นผิดคนหรือ?
…เขาตัดสินใจผิดไปแล้วจริง ๆ
สัตตะได้ยินเสียงคราวญครางขอความช่วยเหลือก็ย่อกายลงนั่งตรงหน้าของเหยื่อที่หน้าซีดตัวสั่นไปหมด ยังคงใช้มือบีบปลายคางของพวานไว้แล้วยกยิ้ม
"จะขอให้ใครมาช่วยงั้นเหรอ? ร้องขอชีวิตกับแรงก์ F แบบนี้ไม่รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีไปหน่อยหรือไง?"
"...ช่วยด้วย…พ่อ…แม่…" ดวงตาเหม่อลอยของพวานฉ่ำไปด้วยน้ำตา เสียงเรียกหาบุพการีที่เป็นดั่งที่พึ่งสุดท้าย พูดพร่ำขอให้ช่วยอย่างไม่อายยิ่งเมื่อความตายอยู่ตรงหน้าก็ได้แต่เอ่ยถ้อยคำที่อยากพูดมาตลอดแต่คิดว่าคงไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว เอ่ยออกมาทั้งหมดจากหัวใจพร้อมหยาดน้ำตาพรั่งพรู
"...พ่อ…แม่…ผมขอโทษ…" ทั้งที่พ่อกับแม่ตั้งความหวังกับตนไว้มาก ทั้งที่พ่อเป็นถึงรัฐมนตรีใหญ่ แม่เป็นถึงคุณหญิงมีหน้ามีตา ลูกชายที่พวกเขาภาคภูมิใจหนักหนาอย่างเขาที่เป็นผู้มีพรภูมิถึงแรงก์ A แต่แท้จริงกลับกระจอกงอกง่อย ฝีมือตรงข้ามกับแรงก์โดยสิ้นเชิง ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเพื่อนรักอย่างโกมาและมายูคอยเป็นบอดี้การ์ดให้ ก็ไม่รู้ว่าจะยังชูคอในหมู่ผู้มีพรภูมิได้อย่างไร
ขนาดตอนนี้ยังถูกเจ้าแรงก์ F ที่มาจากนอกกำแพงฆ่าได้ในพริบตา…
"ขอโทษ…ทุกคน…ขอโทษ…"
พอสัตตะได้ยินแบบนั้น หัวใจที่แหลมคมก็ค่อย ๆ อ่อนยวบลง มือที่บีบคางพวานอยู่จึงคลายออก แล้วตบไหล่ฝ่ายนั้นเบา ๆ
"เด็กดี กูยอมปล่อยมึงแล้วกัน"
พูดแค่นั้นก็ลุกเดินออกจากตรงหน้าเหยื่อแล้วเดินไปดูเพื่อนที่ยังคงสลบเหมือดไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็ดีแล้วที่ไม่รู้เพราะสัตตะเองก็ไม่ได้อยากให้ฑูรย์ต้องเห็นถึงความโหดเหี้ยมของตนเอง
เสียงสะอึกสะอื้นแตกพร่าดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันไปก็เห็นพวานกำลังคลานเข้าไปลากตัวของโกมาและมายูมากองรวมกัน พยายามจัดเรียงร่างกายของเพื่อนที่กระจัดกระจายให้เข้าที่ ปากพร่ำบอกทั้งน้ำหูน้ำตาว่า 'ไม่ต้องกลัวนะเพื่อน กูจะพาพวกมึงออกไปด้วยแน่ กูจะพาพวกมึงกลับบ้านนะ'
สัตตะแอบตื่นใจในสิ่งที่เห็นไม่น้อย เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพวาน เขานึกว่าฝ่ายนั้นจะเป็นพวกหัวโจกตัวกากที่พร้อมทิ้งเพื่อนได้ทุกเมื่อเสียอีก ครั้นพอเห็นแบบนั้นก็เริ่มคิดว่าอีกฝ่ายเข้าท่าขึ้นมา ถ้ายังพอมีนิสัยดี ๆ อยู่บ้างก็น่าจะคุ้มค่าให้ใช้เป็นเกราะ
"เฮ้ พวาน"
แค่สัตตะเรียกชื่อ พวานก็สะดุ้งเยือกไปทั้งตัว ชายหนุ่มหันกลับมารับคำด้วยน้ำเสียงสั่นระริก ก่อนจะตกใจจนตาโตกับเรื่องไม่คิดฝันที่สัตตะเอ่ยออกมา
"ถ้านายยอมช่วยฉัน ฉันจะคืนเพื่อนให้นาย เอาไหม?"
++++++++++++++++++
"รีบเข้าไปดูเร็ว จู่ๆ สัญญาณในถ้ำของบอสประตูอาคเนย์ก็ขาดหายไป ภาพจากกล้องวงจรปิดก็กลายเป็นสีดำ เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น"
โทออกคำสั่งอย่างร้อนรน ขณะพาคณะอาจารย์กลุ่มหนึ่งดิ่งตรงมาที่ประตูอาคเนย์ที่พวกสัตตะอยู่ แม้พวกเขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าแค่บอสระดับแรงก์ C ตัวนั้นคงไม่สามารถทำอันตรายกับพวกพวาน โกมาและมายูที่แรงก์สูงได้ แต่สำหรับเด็กใหม่อย่างฑูรย์ และเด็กแรงก์ F อย่างสัตตะมันอาจทำให้เกิดเรื่องที่ร้ายแรงกว่า
ยิ่งเมื่อโทรู้จักกับกลุ่มพวานเป็นอย่างดีว่ามีนิสัยพาล ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าอยู่ด้วยแล้ว เหตุการณ์นี้ย่อมคิดดีไม่ได้จริง ๆ
หลังจากนั้นราว 15 นาทีพวกเขาก็สามารถเข้าไปยังถ้ำบอสได้
แต่เมื่อเข้าไปถึงด้านในกลับต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น
"อ้าว อาจารย์"
ฑูรย์เป็นคนแรกที่เห็นว่าคณะอาจารย์เดินเข้ามาในถ้ำบอส
"...พวกเธอ?"
อาจารย์ผู้ดูแลในกลุ่มท่านหนึ่งอุทานขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องร้ายที่จินตนาการไว้กลายเป็นภาพของกลุ่มเด็ก 5 คนนั่งล้อมวงโชว์ภูตของตัวเองกันอยู่
โดยภูตแสงที่ทุกคนจับได้นั้นมีร่างแปลงเป็นสัตว์ต่าง ๆ และมีแสงสีนวลตา ถูกต้องตามข้อกำหนดทุกอย่าง
"กล้องวงจรปิดพังครับ สัญญาณจึงถูกตัด"
"ภายในห้องนี้ดูแล้วไม่มีอะไรผิดแปลกครับ ประตูห้องบอสก็ยังคงอยู่ดี ตรวจสอบแล้วบอสข้างในยังอยู่ในขั้นจำศีลเหมือนเดิมครับ"
เหล่าคณาจารย์ที่เดินตรวจสอบโดยรอบกลับมาให้ข้อมูลแก่หัวหน้าทีมอย่างโท
ทุกอย่างดูปกติ แต่โทรู้ดีว่าก่อนหน้าที่พวกตนจะมาถึงมันได้มีเรื่องใหญ่โตบางอย่างเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
…โดยเฉพาะกลิ่นของมนตร์มารจาง ๆ นี้