Chereads / The Last Ogre [ยักษ์] / Chapter 3 - บทที่ 3 นักเวทย์แรงค์ F

Chapter 3 - บทที่ 3 นักเวทย์แรงค์ F

"ขนมอร่อยๆ จ้า แวะชิมแวะทานก่อนได้เลยจ้า"

"เสื้อผ้ามาใหม่สวย ๆ แวะเลือกดู เลือกชมได้เลยจ้า"

"เข้ามาดูหน่อยไหมพ่อหนุ่ม อาวุธชั้นดีตีจากเหล็กน้ำพี้ เชิญมาเลือกสรรดูได้เลย"

เสียงเรียกให้เข้าไปเลือกดูสินค้าของร้านรวงต่าง ๆ เซ็งแซ่จนสัตตะเองก็อดใจไม่ไหวที่จะขอเข้าไปร่วมด้วยช่วยมุงดูสินค้าในร้านนั้น ๆ ช่างสวยงามดื่นดาษตาเสียจนแทบลืมว่าเขามาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลใด

"อา…ในกำแพงนี่อย่างกะคนละโลกกับข้างนอกนั่นจริง ๆ ด้วย" สัตตะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันในความแตกต่างเหลื่อมล้ำ ทว่าหัวใจก็อดเต้นแรงกับเรื่องแปลกใหม่ที่ได้พบเจอไม่ได้

วันนี้เป็นวันแรกที่สัตตะต้องเข้ามารายงานตัวในฐานะผู้ได้รับพรภูมิเกิดใหม่ที่สำนักงานใหญ่ขององค์กรบริหารผู้มีพลัง ตามที่เจ้าหน้าที่ให้แผนที่เขาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ เพราะเขาปฏิเสธหัวชนฝาที่จะเข้ามาพร้อมคนเหล่านั้น จนได้รับอิสระในช่วงสั้น ๆ นี้มา

ฟ้าใกล้มืดเต็มที ท้องของสัตตะร้องโครกครากแต่เงินนอกกำแพงไม่สามารถใช้แลกอาหารในกำแพงเมืองได้ เป็นเรื่องจริงที่คนนอกกำแพงคือผู้ที่ถูกทอดทิ้ง แต่ทันทีที่มีใครสักคนในนั้นถูกปลุกพลังหรือกำเนิดมาพร้อมพรภูมิก็จะได้รับการยอมรับ พวกเทวากวาดต้อนผู้มีพลังเข้ากำแพงเมืองทั้งหมดอย่างเห็นแก่ตัว แต่ก็ให้ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับผู้ถูกปลุกพลัง

นั่นสินะ…เขาจะว่าอะไรได้เล่า ในเมื่อตอนนี้เขาก็เดินท่อม ๆ อยู่ในรั้วกำแพงเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครที่นอกกำแพงนั่นหรอกที่สามารถปฏิเสธความสุขสบายและความปลอดภัยในกำแพงเมืองได้

"ฟ้าจะมืดแล้ว ถ้าไม่รีบล่ะแย่แน่" คิดขึ้นได้สัตตะก็จ้ำไปยังหอคอยสูงเสียดฟ้าตรงหน้า นั่นคือตึกขององค์กรบริหารผู้มีพลังที่เป็นจุดหมายของเขา

อย่างน้อยที่นั่นคงมีอาหารค่ำรออยู่แหละนะ

จังหวะถึงหน้าประตูรั้วเข้าหอคอย สัตตะก็รีบยื่นป้ายประจำตัวของผู้มีพรภูมิที่เพิ่งได้รับมาไปให้ผู้รักษาความปลอดภัยหน้ารั้ว

เจ้าหน้าที่สแกนบัตรประจำตัวอย่างละเอียด คงเพราะสภาพของสัตตะตอนนี้มันมอมแมมจนมองไม่ออกว่าเป็นผู้ถูกปลุกพลัง แม้ตอนแรกจะมองอย่างดูแคลนแต่เมื่อเครื่องสแกนปรากฏสีเขียวคำว่า 'ยืนยัน' เป็นที่แน่ชัดว่าหนุ่มน้อยรูปร่างผอมบางทั้งยังมอมแมมราวกับพวกนอกกำแพงนี้เป็นผู้ได้รับพลังพรภูมิจริง เจ้าหน้าที่หน้าประตูจึงคล้ายให้ความเกรงใจอยู่บ้างแล้วเสนอตัวเดินนำทางไปยังที่พัก

"ตามมาทางนี้เลยครับ"

"ขอบคุณครับ" สัตตะกล่าวขอบคุณด้วยความอ่อนน้อม เขาเป็นแค่คนนอกกำแพงไม่ว่าอย่างไรก็ควรอ่อนน้อมต่อคนในกำแพงไว้ก่อน คำสั่งเสียของปู่ยังชัดเจนอยู่ว่าห้ามทำตัวเป็นที่จดจำเด็ดขาด และคงเพราะความอ่อนน้อมนี้เองฝ่ายนั้นจึงไม่พิจารณาอะไรเพิ่มเติมอีก เพียงพยักหน้ารับคำขอบคุณของเขาแล้วเดินนำหน้าสัตตะไป

"อ้าว มาแล้วเหรอกำลังรออยู่เลย"

เจ้าหน้าที่อีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นระดับหัวหน้าเป็นคนออกมารอรับ เมื่อคนที่พาเขามาจากหน้ารั้วส่งข้อมูลทางอินเตอร์คอมขึ้นไป

"ตามมาเลย เดี๋ยวผมพาไปที่พักให้เอง วันนี้คงยังไม่มีอะไรเพราะมันเย็นมากแล้ว พรุ่งนี้จะมีคนพาคุณไปลงทะเบียนเข้าเรียนเสริม" เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจ้อย ๆ ราวกับต่อยหอยโดยไม่มองด้วยซ้ำว่าสัตตะสนใจฟังอยู่หรือเปล่า เหมือนพอจับเขายัดเข้ารถได้ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในจบแค่นั้น

สัตตะถูกนำขึ้นรถลีมูนซีนจากบริเวณหน้าหอคอยองค์กร เพื่อนำไปส่งที่จุดหมายและเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ทำหน้าที่เป็นวิทยากรควบผู้แทนผู้ปกครองกลาย ๆ ให้ด้วย เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏในฐานข้อมูลแจ้งชัดว่าสัตตะนั้นกำพร้า

"มหาวิทยาลัยของผู้มีพลังจะอยู่ด้านหลังหอคอยขององค์กร เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการฝึกรบแบบเสมือนจริง ส่วนหอพักของนักศึกษาก็จะแยกออกไปอยู่รอบ ๆ มหาวิทยาลัยทั้ง 4 ทิศนะ โดยหอพักจะแบ่งตามแรงก์ชัดเจน ตึกที่อยู่ทางเหนือเรียกว่าหออุดรจะเป็นหอพักของแรงก์ S และ A"

เจ้าหน้าที่อธิบายพลางชี้ไปทางตึกสีขาวที่ตั้งอยู่ลิบ ๆ ดูยิ่งใหญ่ไฮโซแม้จะเห็นแค่ไกล ๆ สัตตะคิดในใจว่ามันก็คงสมกับแรงก์แหละนะ

พอขับไปได้อีกหน่อยเจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้ดูตึกฝั่งตะวันออกที่เป็นหอพักของแรงก์ B-C เรียกว่าหอบูรพา ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นหอพักของแรงก์ D-E เรียกว่าหอประจิม ทุกหอพักที่รถขับผ่านทั้ง 3 อาคารจะเป็นตึกสูงสวยงามที่อยู่ไม่ได้ห่างจากตัวมหาวิทยาลัยมาก แต่พอผ่านตึกประจิมมา รถก็แล่นเรื่อยผ่านป่าย่อม ๆ จนเกือบจะถึงกำแพงรั้วของหอคอยอีกฝั่งก็ยังไม่เห็นตึกสูงอีกเลย สัตตะเริ่มรู้สึกสงสัยแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม กระทั่ง…

"ถึงแล้วล่ะ"

เมื่อรถลีมูซีนเลี้ยวจากถนนเข้าไปยังสวนที่มีต้นไม้สูงใหญ่ สัตตะก็ได้มองเห็นอาคารปูนขนาด 5 ชั้นเก่า ๆ สภาพค่อนข้างโกโรโกโส ดูแล้วไม่น่าจะเกิน 100 ห้องเสียด้วยซ้ำ สัตตะขมวดคิ้วทันที นี่คงไม่ได้หมายความว่าต้องนอนรวมหลาย ๆ คนต่อห้องหรอกนะ?

"อย่ากังวลไปเลย เพราะผู้ถูกปลุกพรภูมิแรงก์ F มีน้อยน่ะ เลยต้องอยู่หอที่ค่อนข้างเล็ก ทั้งตึกนี่มีอยู่ 120 ห้อง แต่นักศึกษาที่อยู่จริงทั้ง 4 ชั้นปี ขนาดรวมนายไปด้วยยังไม่ถึง 90 คนเลย"

เจ้าหน้าที่คนนั้นอธิบายราวกับอ่านใจกันได้ แต่เท่านี้สัตตะก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อยแล้ว

'สภาพอนาถสมแรงก์จริง ๆ วุ้ย'

พอลงจากรถมาเจ้าหน้าที่คนนั้นก็พาเขาไปลงทะเบียนเข้าหอพัก ห้องที่เขาได้อยู่คือ 524 ชั้นบนสุดห้องริมสุด เพราะเป็นห้องที่เจ้าหน้าที่หากุญแจเจอก่อนเขาจึงได้ห้องนั้น โดยมีคำพ่วงท้ายว่า 'ถ้าไม่พอใจขอเปลี่ยนห้องได้ ห้องว่างอีกเยอะ แต่ไม่เปลี่ยนจะดีกว่านะ' สัตตะเพียงพยักหน้ารับกับคำพูดของผู้ดูแลหอพักที่ดูไม่แคร์โลกสักเท่าไหร่

"งั้นผมส่งเธอแค่นี้นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอน 8 โมงเช้าเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยจะพาเธอไปสมัครเรียนเสริมก่อนเปิดเทอม ส่วนเงินค่าขนมรายเดือนเดี๋ยวเจ้าหน้าที่คนนั้นเขาจะจัดการให้เอง เอาล่ะผมขอตัวไปก่อน โชคดีนะ"

เจ้าหน้าที่คนนั้นที่เอาแต่พูด พูด พูด มาตลอดทางในที่สุดก็เอ่ยคำร่ำลาด้วยใบหน้าโล่งใจราวกับว่าหมดภาระหน้าที่เสียที แล้วขึ้นรถจากไปทิ้งสัตตะเอาไว้หน้าหอพักโทรม ๆ ของนักศึกษาแรงก์ F

สัตตะก็ได้แต่ถอนหายใจ 'โกรธปู่อีกรอบทันไหมวะ? ทำไมไม่ทำให้อยู่สักแรงก์ E หรือ D ว้า เฮ้อ'

ก็ได้แต่คิดบ่นในใจเพราะเขาเองก็รู้ดีว่าที่ปู่ให้เขาอยู่ตรงนี้เพราะจะไม่มีใครเลยที่ให้ความสนใจผู้ที่มีความสามารถแค่แรงก์ F แค่เฉพาะวันนี้มันก็ชัดเจนแล้ว เพราะตั้งแต่เข้ามาเหยียบในกำแพงเมืองยันตอนนี้ ไม่มีใครใคร่รู้เรื่องราวของเขาสักคน นอกจากทำธุระร่วมกันแล้วจากไป แผนแรงก์ F ของปู่นี่มันเรียกได้ว่าได้ผลอย่างสมบูรณ์

'มนต์ดำนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เอ็งห้ามใช้มันเด็ดขาดเลยนะ'

'ท่องไว้ว่าตัวเองแรงก์ F อย่าใช้พลังเกินหน้าเกินตาออกมาเชียว พยายามหลบอยู่หลังคนอื่นเข้าไว้'

'จงสร้างประโยชน์ที่ไม่ชักนำโทษสู่ตัว อย่าได้ซ้ำรอยปู่'

คำสั่งเสียของปู่ยังคงชัดเจนอยู่ในหัว สัตตะกำมือของตนแน่น 'วางใจเถอะปู่ ผมจะกากจนหมาเมินอย่างที่ปู่สอนมาแน่นอน'

โชคยังดีที่แม้ตัวอาคารจะเก่าคร่ำคร่าแต่ก็ยังมีลิฟต์ตัวเล็ก ๆ ให้ได้ใช้ไม่ต้องลำบากเดินขึ้นเดินลงถึงชั้น 5 ข้อมูลจากผู้ดูแลคือตอนนี้ทั้งตึกมีแค่เขาคนเดียวเพราะเหลืออีก 1 สัปดาห์กว่าจะเปิดเรียนเทอมแรก จึงยังไม่มีปี 1 มาที่หอพัก ส่วนปีอื่น ๆ ก็ยังไม่มีใครกลับมา ในเมื่อทั้งตึกนี้มีเขาแค่คนเดียว สัตตะก็คลายอาการเกร็งลงไปได้หน่อย

เมื่อเดินมาถึงห้องพักก็ได้เห็นว่าห้องริมสุดของตนนั้นกว้างขวางและสะอาดสะอ้านเกินกว่าที่คาดหวัง เอาเถอะสำหรับชาวนอกกำแพงที่เคยอยู่แต่ในที่แร้นแค้นอย่างเขาแล้วที่นี่ก็ถือว่าหรูหราจนอยากเอาออกไปอวดข้างนอกกำแพงเลยแหละ

ห้องขนาด 30 ตารางเมตร มีห้องน้ำในตัว มีโต๊ะกินข้าว ตู้เย็น ทีวี คอมพิวเตอร์ โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้าและเตียงนอนขนาดควีนไซซ์ แม้จะดูเก่าอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าอยู่สบายและครบครัน สัตตะหย่อนตัวลงบนเตียงที่ยังไม่ได้ปูผ้าปูที่นอนแล้วคิดถึงว่าจะสามารถเบิกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนกับผ้าห่มได้หรือเปล่า หรือต้องซื้อใหม่เอาเอง ถ้างั้นเงินค่าขนมที่จะได้วันพรุ่งนี้มันจะพอซื้อของพวกนั้นไหมนะ?

ก๊อก ก๊อก

นั่งคิดไม่ทันได้ข้อสรุป ประตูห้องก็ถูกเคาะพร้อมเสียงจากเจ้าหน้าที่ดูแลหอพัก

"เอาชุดเครื่องนอนกับผ้าห่มมาให้"

'พอดีเลย!!' สัตตะแทบกระโดดด้วยความดีใจทันทีที่ได้ยิน เขารีบวิ่งไปเปิดประตูเพื่อรับของอย่างอารมณ์ดี แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อม

"ขอบคุณครับ"

"ช่วงนี้ทนเหงาหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวอีกวันสองวันก็คงมีคนทยอยกลับมาแล้วล่ะ" ผู้ดูแลหอพูดกับเขาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบ

"ครับ"

"มีโรงอาหารที่ชั้น 1 นะ มันเป็นสวัสดิการของมหาลัยอยู่แล้ว ทุกอย่างที่เป็นร้านอาหารน่ะฟรี แต่ถ้าเป็นของในตู้หยอดเหรียญต้องเสียเงินซื้อนะเพราะเป็นของเอกชนเอามาฝากวางขาย เวลาปิดเปิดโรงอาหารคือ 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ในห้องนี้ตรงระเบียงมีเครื่องซักผ้าอยู่แล้ว แต่ถ้าขี้เกียจจะไปใช้ซักอบรีดที่ชั้น 1 ก็ได้ ร้านมันอยู่ใกล้โรงอาหารนั่นแหละ อีกอย่างคือหอนี้ไกลจากมหาลัยพอสมควร เรามีบริการให้เช่ารถจักรยานกับมอเตอร์ไซค์นะ ราคาไปดูเอาเอง แปะอยู่บนบอร์ดตรงหน้าลิฟต์น่ะ"

"...ครับ"

"โอเค มีอะไรก็กด 0 จากโทรศัพท์ในห้องนะ ถึงที่นี่มันจะซอมซ่อไปหน่อย แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ดูแล 24 ชั่วโมง"

"…ครับ"

"โอเคก็ดี มีอะไรก็เรียกแล้วกัน"

"...ครับ"

พูดจบก็เดินจากไป เจ้าหน้าที่คนนี้ก็มาเพื่อทำหน้าที่ไม่ต่างจากคนที่แล้ว โดยการยืนอธิบายการใช้ชีวิตในหอพักเบื้องต้นให้เขาได้ฟังด้วยสีหน้าและน้ำเสียงโมโนโทนไม่ต่างจากหุ่นเอไอ และสัตตะก็ทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างไม่มีข้อแม้ แล้วคิดขึ้นได้ว่าอาหารฟรี! เขาต้องรีบลงไปหาอะไรใส่ท้องก่อนจะหมดเวลาเสียก่อน

ค่ำคืนแรกในกำแพงเมืองของสัตตะถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี แม้จะข่มตานอนลำบากไปนิดเพราะมัวแต่คิดถึงความหลัง แต่ในที่สุดเขาก็นอนหลับสำเร็จและมาตื่นอีกครั้งตอน 6 โมงเช้า

ถ้าจำไม่ผิดเดี๋ยวตอน 8 โมงจะมีคนมารับเขาไปสมัครเรียนเสริม จนถึงตอนนี้เขายังไม่มีชุดยูนิฟอร์ม แถมชุดที่สุภาพสุดที่มีก็ชุดนักเรียนตอนมัธยมปลายนอกกำแพงอีกต่างหาก แต่สุดท้ายสัตตะก็เลือกใส่กางเกงยีนกับเสื้อยืดและใส่เสื้อวอร์มทีดำทับเท่านั้น

'อยากให้แต่งตัวสุภาพก็เอาชุดมาให้แล้วกัน'

หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสัตตะก็เข้าไปกินข้าวที่โรงอาหารจนอิ่มหนำ มองเวลาเห็นว่าอีก 30 นาทีก็จะ 8 โมงแล้วเขาจึงเดินออกมานั่งรอที่หน้าหอพัก เพราะเขาเป็นพวกนอกกำแพง ของจำพวกมือถืออะไรพวกนั้นจึงไม่ได้มีใช้เพราะมันเป็นของพลเมืองในกำแพงเมืองที่แพงเกินไปแถมเงินของพวกเขาก็ไม่อาจใช้ซื้อของพวกนี้ได้ เมื่อไม่มีเครื่องมือสื่อสารสัตตะจึงทำได้แค่นั่งรอไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นรถคันหนึ่งขับอ้อมสวนป่าเข้ามา

"มาได้เสียทีนะ" สัตตะพึมพำพลางลุกขึ้นยืนเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นตัวเขาชัด ๆ

เขายืนมองอยู่ตรงที่เดิมนิ่ง ๆ กระทั่งรถยนต์สีดำคันนั้นเข้ามาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าพร้อมกับชายคนหนึ่งที่ดูอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่ในชุดสูทสีดำลงมาจากทางประตูหลัง

ลงมายืนตรงหน้าสัตตะได้ก็ส่งยิ้มแฉ่งเป็นประกาย แถมร่างกายสูงใหญ่กับผมสีแดงชาดแบบนั้นก็ทำให้รู้สึกกดดันไม่น้อย

"ขอโทษที่ให้รอนะ"

คือคำที่ฝ่ายนั้นทักขึ้นเป็นประโยคแรก คงแค่พูดไปตามมารยาทสินะ เพราะสีหน้าไม่เห็นจะดูรู้สึกผิดเลยสักนิด แต่ถึงอย่างไรสัตตะก็ผงกหัวรับไว้โดยไม่พูดอะไรเลยอยู่ดี

"ขึ้นมาสิ ฉันจะพาไปที่มหาลัย"

ชายคนนั้นผายมือไปที่ประตูที่ยังเปิดอยู่ สัตตะจึงมุดเข้าไปในรถอย่างว่าง่าย ก่อนที่ชายคนนั้นจะมุดตามเข้ามาด้วย ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งแต่พอรถเลี้ยวออกมาจากหน้าอาคารเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เริ่มชวนสัตตะคุย

"เธอมาจากนอกกำแพงสินะ ข้อมูลแจ้งว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงมากับปู่ที่เพิ่งเสียไปตอนที่นายถูกปลุกพลังใช่ไหม?"

เจ้าหน้าที่คนนั้นตั้งคำถาม ขณะที่สัตตะค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่นัก ในเมื่อมีข้อมูลในมือทำไมถึงยังต้องถามเรื่องแบบนั้นกัน? จงใจให้รู้สึกแย่หรือไง?

"ก็ตามข้อมูลครับ"

สัตตะตอบแบบขอไปที อารมณ์ไม่พอใจที่แสดงออกชัดทำให้คนถามถึงกับหัวเราะออกมา

"อย่าดุขนาดนั้นสิ ฉันก็แค่ทำตามหน้าที่ในการสอบทานข้อมูลกับตัวจริงก็แค่นั้น ยังไงซะตอนเข้าไปลงทะเบียนนายก็ต้องโดนตรวจร่างกายกับวัดแรงก์ใหม่อยู่ดี"

เจ้าหน้าที่คนนั้นไหวไหล่พลางอธิบายเสียงแจ๋ว แต่กลับยิ่งทำให้สัตตะรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้ แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยังคงพูดเรื่อยเจื้อยไม่หยุด

"ฉันชื่อโทนะ จะมาเป็นพี่เลี้ยงให้พวกนายใน 1 ปีต่อจากนี้หรือเรียกง่าย ๆ ก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาของปี 1 นั่นแหละ คงไม่ผิดใช่ไหมถ้าฉันจะทำความรู้จักกับลูกศิษย์ตัวเองน่ะ"

คำตอบนั้นของอีกฝ่ายเล่นเอาสัตตะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 'อาจารย์ที่ปรึกษา' ก็หมายความว่าเขาไม่อาจเสียมารยาทมากไปกับคนคนนี้สินะ

"โดยเฉพาะนายที่เป็นพวกเกิดใหม่ ฉันยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะนายไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับการควบคุมพลังมาก่อน แม้จะเป็นแค่แรงก์ F ก็เถอะ"

อาจารย์โทยังคงอธิบาย ในขณะที่สัตตะอยากลงจากรถคันนี้เร็ว ๆ

แล้วก็เหมือนสวรรค์จะเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อรถแล่นมาถึงหน้าสำนักงานใหญ่ของกองกิจการนักศึกษาเสียที และในที่สุดอาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้ก็เงียบปากลงได้

สัตตะถูกพาเข้าไปด้านในที่เหมือนสำนักงาน CIA ที่ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำสุภาพ เขาเดินผ่านห้องแล้วห้องเล่าตลอดจนขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 50 ที่ดูคล้ายกองวิทยาการทั้งชั้น โดยอาจารย์ที่ปรึกษาคนนั้นแจ้งแค่ว่าพามาตรวจร่างกายก่อนเข้าเรียน

แค่เห็นเครื่องมือในการตรวจสัตตะก็เริ่มหวั่น ๆ แม้ปู่จะทำการอำพรางพลังที่แท้จริงของเขาไว้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าวางใจเลยว่าไอ้เครื่องมือล้ำสมัยพวกนี้มันจะไม่สามารถตรวจเจอความผิดปกติ

ในเมื่ออิดออดไม่ได้เพราะจะยิ่งมีพิรุธ สัตตะจึงเข้าเครื่องตรวจอย่างจำใจ

การตรวจนั้นถือว่าราบรื่นดีถ้าไม่นับเรื่องกระแสไฟที่จู่ ๆ ก็เกิดช็อตจนดับไป 2 รอบ และเครื่องอ่านค่าพลังที่ Error ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนต้องซ่อมอยู่สองสามรอบมันจึงกลับมาทำงานได้อย่างเป็นปกติ

แล้วผลการวัดแรงก์ของสัตตะก็ออกมาตามที่คาด นอกจากเรื่องที่ว่าส่วนสูงกับน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานทั่วไปนิดหน่อยแล้ว พลังที่ถูกปลุกก็อยู่ในแรงก์ F อย่างที่เคยตรวจไว้ครั้งก่อน สัญลักษณ์เองก็ถูกต้องครบถ้วน

โชคดีที่ในตอนนั้นไม่มีใครให้ความสนใจในตัวสัตตะเท่าไหร่ หลังได้รับผลการตรวจก็เท่ากับว่าสัตตะได้รับอนุมัติให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว ลายนิ้วมือและม่านตาถูกสแกนเข้าระบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยแทนการลงทะเบียนเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นก็รับยูนิฟอร์มประจำตัวมา 5 ชุด ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงธรรมดา แต่มันถูกเคลือบไว้ด้วยพลังเวทย์ในการป้องกันขั้นสูง

หลังจัดการทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องเบี้ยเลี้ยงและเงินรายเดือนแล้วสัตตะก็ถูกพาลงมาที่ชั้น 10 ที่เป็นห้องเรียนปรับพื้นฐาน เขาเดินตามอาจารย์โทเข้าไปที่ห้องหนึ่งแล้วก็พบว่าในห้องนั้นมีคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

ไม่ต้องเดาก็รู้ ผู้สัญลักษณ์ปรากฏช้าอีกคนที่อยู่แรงก์ A สินะ

สัตตะลอบเบะปาก เพราะก่อนเปิดเทอมใหม่เขาต้องเข้าเรียนปรับพื้นฐานกับอีกคนที่เพิ่งถูกปลุกพลังมาเหมือนกัน แม้จะคนละแรงก์แต่ก็เป็นมือใหม่ทั้งคู่ จึงถูกให้มาฝึกพร้อมกัน จากที่ลองมองผ่าน ๆ คนคนนี้น่าจะมาจากเผ่านาคาที่ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่เกือบเทียบเท่าเทวา ช่างเป็นตัวเปรียบเทียบที่ทำเอาเขาดูกระจอกจนน่าถ่มถุยขึ้นมาอีกจมหู

แต่พอได้เห็นดวงตาทอประกายวิบวับที่มองมาสัตตะก็ชะงักไปเล็กน้อย เจ้าแรงก์ A คนนี้แม้เป็นเผ่านาคาแต่ดูเหมือนขนาดตัวจะไม่ได้ต่างกับเขามากนัก ผิวขาว เรือนผมสีดำตัดเป็นทรงรองทรงสั้นธรรมดา แม้จะใส่แว่นหนาแต่ดวงตากลมโตสีนิลสวยก็เห็นได้ชัดผ่านเลนส์แว่น ริมฝีที่เอาแต่ยิ้มให้มาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ดูเป็นมิตรเสียจนคงไม่มีใครกล้าหมั่นไส้ได้ลงแม้แต่สัตตะเอง

ส่วนตัวสัตตะเองนั้นเขาเป็นคนเงียบ ๆ เมื่อก่อนที่ยังซ่อนตัวอยู่นอกกำแพงก็ใช้ชีวิตธรรมดา การเป็นยักษ์อวตารแถมมีพลังมนตร์ดำทำให้คบหาชาวบ้านลำบากอยู่แล้ว จึงได้แต่เก็บตัวเงียบเชียบมาตลอด ครั้นพอเข้ามาในนี้แล้วเป็นแค่ผู้ถูกปลุกพลังหน้าใหม่แรงค์ F ยิ่งดูจืดจางไร้ตัวตนเข้าไปใหญ่

แม้จะเข้าทางพอดี แต่ว่าการถูกโดดเดี่ยวช่วงนี้คงไม่สนุกนัก งั้นถ้าได้คบหากับพวกแรงก์สูงสักคนไว้เป็นไม้กันหมามันก็อาจดีกว่าหัวเดียวกระเทียมลีบแหละนะ

คิดขึ้นได้สัตตะก็ยิ้มจนตาหยีกลับไปหาเจ้าบื้อคนนั้น เอาเถอะ ถึงจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่การมีเพื่อนแรงค์ A ก็มีประโยชน์เวลาต้องฝึกสู้อสูรกันแบบปาร์ตี้แหละนะ

"เอาล่ะ เมื่อเด็กใหม่สองคนพร้อมแล้วผมก็ขอเปิดคลาสเรียนมือใหม่อย่างเป็นทางการเลยแล้วกันนะ ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชื่อโท ไหนนายสองคนลองแนะนำตัวเองกันหน่อยสิ"

ไม่พูดพร่ำทำเพลง อาจารย์ที่ปรึกษาที่พูดเป็นต่อยหอยตั้งแต่ไปรับตัวสัตตะมาจากหอพักก็เริ่มต้นด้วยการให้สองคนแนะนำตัวซึ่งกันและกัน

"เอ่อ ผมชื่อฑูรย์ครับ มาจากเผ่านาคา ปกติเผ่าของผมจะมีพลังดั้งเดิมที่ปรากฏกันตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แต่พลังของผมดันเพิ่งมาเกิดเอาตอนนี้ก็ตกใจอยู่พอสมควรครับ"

คงเพราะสัตตะเอาแต่เงียบหลังคำสั่งของอาจารย์โท ดังนั้นฑูรย์จึงเป็นฝ่ายเริ่มแนะนำตัวก่อนด้วยน้ำเสียงเริงร่า

"แต่แรงก์พลังก็ไม่ได้น้อยหน้าคนในเผ่าหรอกนะ ฝึกฝนให้ดีเถอะ เอาล่ะนายต่อเลย"

อาจารย์โทตอบรับพร้อมให้กำลังใจ ก่อนหันไปทางสัตตะเพื่อให้เป็นคนแนะนำตัวต่อ

"สัตตะครับ มาจากนอกกำแพง จู่ ๆ ก็ถูกปลุกพลังเมื่อเดือนที่แล้ว พลังมาช้าซ้ำยังได้แค่แรงก์ F แถมครอบครัวคนเดียวที่มีก็ดันตาย ตอนนี้เหลือตัวคนเดียว"

สัตตะแนะนำตัวด้วยสีหน้าชาชืด น้ำเสียงคล้ายเจ็บใจแต่ก็ไม่ได้ยี่หระอะไรกับเรื่องที่ต้องเผชิญ

"ลำบากมาพอดูเลยนะ แรงก์ F แล้วไง เดี๋ยวผมจะสอนให้ใช้พลังได้อย่างเชี่ยวชาญเอง ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ"

อาจารย์ที่ปรึกษาก็ปลอบใจไปตามประสา แม้สัตตะจะไม่อยากรับเลยก็เถอะ

จากนั้นอาจารย์โทก็สอนพื้นฐานเกี่ยวกับพลังแห่งพรภูมิที่ถูกแบ่งออกเป็นสายต่าง ๆ อย่างละเอียด โดยมีทั้งหมดอยู่ 5 สายพลังด้วยกัน คือนักรบ นักเวทย์ นักฆ่า นักแม่นปืนและนักบวช

นักรบ คือสายพลังอย่างแท้จริง ผู้ปลุกพลังเป็นนักรบจะเป็นพวกตัวใหญ่กำยำ สายถึกตายยาก ทุบหนัก ใช้อาวุธหนักได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ดาบ ขวาน หอก ง้าว โล่ สายนักรบนี้มีเยอะสุดในบรรดาผู้ได้รับพรภูมิ เพราะเป็นสายนักสู้ที่แท้จริง

นักเวทย์ คือสายดาเมจทั้งระยะไกลและใกล้ อาวุธคือคทาเวทย์ หรือ ตำราร่ายมนตร์ ส่วนใหญ่จะสามารถใช้คาถากันภัยกับคาถาอัญเชิญได้ ระดับและจำนวนมนต์ที่ร่ายได้จะมากขึ้นตามระดับแรงก์

นักฆ่า พวกลอบสังหาร ตัวเบา ว่องไว สายตาเฉียบคม มีสกิลอำพรางตัวตนอย่างแยบยลเพราะเป็นสายโจมตีประชิด ถนัดมีดสั้น อาวุธลับ และพิษ ส่วนใหญ่สายพลังนี้จะทำงานประเภทสายลับกับวางกับดัก

นักแม่นปืน พวกโจมตีระยะไกล ใช้ทั้งธนู หน้าไม้ และปืน แม้ร่างกายจะไม่ได้ถึกมากแต่ทุกคนมีสกิลอ่านจุดตายของศัตรูได้ และถ้ามีแรงก์สูงพอก็สามารถยิงข้ามมิติในระยะไกลที่มีเครื่องกีดขวางได้

นักบวช หรือฮีลเลอร์ เป็นสายซัพพอร์ตที่มีจำนวนน้อยมากในหมู่ผู้มีพลัง เป็นสายพลังที่เกี่ยวกับการฟื้นฟู ช่วยทำให้นักรบที่อยู่ในระยะวงเวทย์ไม่ตาย สามารถฟื้นฟูความบาดเจ็บร้ายแรงได้ ยิ่งแรงก์สูงประสิทธิภาพการรอดชีวิตของคนในปาร์ตี้ก็จะสูงไปด้วย ข้อเสียคือฮีลเลอร์ไม่มีสกิลโจมตี จึงป้องกันตัวเองแทบไม่ได้

ทุกคนที่ได้รับพรภูมิจะถูกกำหนดสายพลังมาตั้งแต่เกิด โดยจำแนกตามสัญลักษณ์ที่ปรากฏ ซึ่งสายของฑูรย์นาคาแรงก์ A นั้น เป็นสายฮีลเลอร์ที่หาได้ยากมาก ส่วนสัตตะเจ้าคนจากนอกกำแพงแรงก์ F เป็นสายนักเวทย์ ซึ่งจากนี้ไปอีกทั้งสัปดาห์ หน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษากับนักเรียนคือการหาว่าผู้เกิดใหม่อย่างพวกเขามีสกิลติดตัวอะไรกันบ้าง

ขณะที่อาจารย์โทกำลังอธิบาย ดูเหมือนฑูรย์จะดีใจจนเนื้อแทบเต้น ทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมดสำหรับเขา ผิดกับสัตตะที่แท้จริงเขารู้เกี่ยวกับพลังและสกิลของตัวเองอย่างถี่ถ้วนดีมากแถมยังใช้เป็นกิจวัตรมาตั้งแต่เด็ก การเรียนปรับพื้นฐานในครั้งนี้จึงให้สัตตะเบื่อจนแอบหาวอยู่หลายครั้ง

"ให้ความสนใจหน่อยก็ดีนะสัตตะ แม้แรงก์ F จะคาดหวังสกิลขั้นสูงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีนะ และต่อให้แรงก์ F ไม่จำเป็นต้องเข้าต่อสู้โดยตรงกับอสูร แต่พวกนายต้องสังกัดหน่วยอพยพพลเมืองฉุกเฉิน ดังนั้นจึงต้องมีทักษะเอาไว้ด้วยเหมือนกัน"

พอสัตตะเริ่มหาวครั้งที่ห้า อาจารย์โทที่หันมาเห็นเข้าพอดีจึงออกปากเตือน

"ครับ ครับ" สัตตะตอบเสียงเบาพลางทำท่าตั้งใจฟังทั้งที่ไม่ได้เข้าหู

สำหรับสัตตะแล้วการอยู่ที่ในกำแพงนี้มันน่าเบื่อหน่ายไปเสียหมด

'อาจารย์…ผมน่ะแท้จริงเป็นยักษ์อวตารที่โคตรแข็งแกร่ง สามารถต่อสู้ได้ไม่ต่างจากนักรบ ถึงจะเป็นนักเวทย์แต่อาวุธของผมคือเคียวยาวไม่ใช่คทา และผมก็สามารถใช้เวทย์ได้แบบไม่จำกัดด้วย ผมร่ายมนตร์ได้มากมายเท่าที่อยากทำ มนตร์ที่ใช้บ่อยสุดตอนนี้คือจำแลงกายกับเคลื่อนไหวผ่านเงา อีกอย่างนะ ผมน่ะต่อสู้กับอสูรนอกกำแพงนั่นมาตั้งแต่จำความได้ เผลอ ๆ ผมอาจเก่งกว่าอาจารย์ที่เอาแต่เสวยสุขในกำแพงเมืองนี้เสียอีก แต่ที่ผมต้องทนเป็นไอ้กากแรงก์ F นี่ก็เพราะผมรู้ดีว่าถ้าอาจารย์รู้ว่าผมทำอะไรได้บ้างจะต้องจับผมไปสอบสวน และถ้าทุกคนที่นี่รู้ว่าแท้จริงผมคือใคร ก็คงไม่แคล้วจับผมไปบูชายัญให้เหล่าเทวานั่นแน่'

สัตตะคิดในใจ และนี่คืออีกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งใจว่าจะไม่ไว้ใจใครที่ในกำแพงนี้เลยแม้แต่คนเดียว!

การร่ำเรียนในวันนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทฤษฎีและการทดลองปล่อยพลังแบบง่าย ๆ นักเรียนใหม่อย่างนาคาแรงก์ A นั้นไม่แปลกหรอกที่จะเรียนรู้ได้เร็วและทำทุกอย่างได้คล่องแคล่ว แต่ที่น่าแปลกสำหรับอาจารย์โทคือเจ้าเด็กแรงก์ F ก็สามารถใช้พลังได้อย่างคล่องแคล่ว ที่ถึงจะแสร้งทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อาจารย์โทรู้ดีว่าเด็กคนนี้มีทักษะ

'ไม่ใช่แค่เด็กที่เพิ่งมีสัญลักษณ์สินะ ใช้เวทย์คล่องกว่าพวกที่เรียนมาตั้งแต่เด็กเสียอีก' อาจารย์โทวิเคราะห์ในใจแต่ไม่ได้เผยออกมา เพราะผลการตรวจเมื่อครู่ออกมาชัดเจนว่าเด็กคนนี้แรงก์ F และสัญลักษณ์เป็นของจริง เพียงแต่มันก็ไม่สามารถระบุเวลาได้อยู่ดีว่าสัญลักษณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นไปได้ที่มีพลังมานานแล้วแต่ตรวจจับไม่เจอด้วยเหตุผลว่าพลังแรงก์ F นั้นอ่อนจนตรวจจับลำบาก อีกทั้งยังอยู่นอกกำแพง…เด็กคนนี้ถ้าไม่บังเอิญว่าตอนที่ปู่ตายจะมีคนไปพบเห็นและตรวจพบพลังเข้า วันนี้ก็คงยังอยู่นอกกำแพงเป็นแน่

'จะมีทักษะอย่างอื่นซ่อนเอาไว้อีกขนาดไหนกันนะ?' โทเพียงนึกยิ้มกับตัวเอง เขากำลังรู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับการค้นพบบางอย่างในตัวของนักเรียนคนใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงเด็กแรงก์สูงที่แตะต้องไม่ได้พวกนั้น

จู่ ๆ โทก็นึกอยากผลักดันสัตตะให้เก่งเหนือใครขึ้นมาทั้งที่พลังแค่แรงก์ F แต่นั่นมันก็เป็นความคิดที่เขายังไม่ต้องการจะบอกให้สัตตะได้รู้

เที่ยงตรงอาจารย์ที่ปรึกษาก็พานักเรียนใหม่เดินไปที่โรงอาหารกลาง สวัสดิการของนักศึกษาผู้ได้รับพรภูมิคือกินฟรีอยู่ฟรี ดังนั้นทุกอย่างในโรงอาหารมหาวิทยาลัยจึงสามารถกินฟรีได้ทุกร้าน นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งอาจารย์โทและฑูรย์เห็นว่าแม้สัตตะจะตัวเล็กแต่ในกระเพาะกลับมีหลุมดำขนาดใหญ่ แม้ใบหน้าชาชืดนั่นจะไม่ได้แสดงออกว่ากำลังเอร็ดอร่อย แต่สายตาจริงจังกับสองมือที่คว้าอาหารเข้าปากเป็นระวิงก็เป็นหลักฐานอย่างดี แบบนั้นยิ่งทำให้อาจารย์โทถูกใจลูกศิษย์แรงก์ F คนนี้มากขึ้นไปอีก

การเรียนการสอนก็ดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย พอเลิกเรียนแล้วต่างคนก็แยกย้าย เมื่อหมดหน้าที่แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างโทก็ขอตัวไปก่อนเพราะต้องเอาข้อมูลการเรียนการสอนที่ได้วันนี้ไปประมวลผลในการเตรียมความรู้ที่ต้องเพิ่มเติมให้เด็กทั้งคู่ในวันถัดไป ฝ่ายฑูรย์มีคนมารอรับที่ด้านหน้าอาคารอยู่ ดูก็รู้ว่านาคาคนนี้อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยแค่ไหน ก็คงมีแค่สัตตะนี่แหละที่ถือของพะรุงพะรังเดินย่ำต๊อกกลับหอตัวเอง

"เอ่อ ให้ผมไปส่งที่พักไหมครับ?"

ฑูรย์รีบดักเอาไว้ก่อน แล้วเสนอตัวไปส่งให้

"…เอาสิ"

และสัตตะก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะตั้งใจอยู่แล้วว่าจะคบหากับพวกมีระดับไว้สักคนเพื่อจะได้มีคนคุ้มกะลาหัว ว่าแล้วก็ส่งยิ้มหวานไปให้อีกฝ่าย

"ขอบใจนะ"

"อื้อ อย่าเกรงใจเลย"

ฑูรย์ส่งยิ้มกลับอย่างมีความสุข เพราะไม่ได้มีพลังตั้งแต่เกิดเขาจึงถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด นอกจากคนในบ้านแล้วเขาก็ไม่เคยมีเพื่อนคนอื่นอีก การที่จู่ ๆ พลังก็ปรากฏขึ้นนั้น มันจึงเหมือนเป็นการปลดปล่อยตัวของเขาออกจากหอคอยงาช้าง และจะได้มีเพื่อนอย่างที่ตั้งใจเสียที

รอยยิ้มไร้เดียงสาตรงหน้าทำเอาสัตตะรู้สึกยอกในใจเล็ก ๆ ตั้งแต่จำความได้ข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับคนในกำแพงคือ พวกหัวสูงนิสัยชั่วร้าย ไม่แน่ว่ารอยยิ้มนี้ก็อาจหลอกลวงและเป็นภัย ถึงยังไงสัตตะก็จะต้องระวังไว้ก่อน

'ห้ามหลงกลเด็ดขาดนะเว้ยไอ้สัตตะ ฮึบไว้ ฮึบไว้!'