Chereads / The Last Ogre [ยักษ์] / Chapter 7 - เศษเสี้ยว 01

Chapter 7 - เศษเสี้ยว 01

"ลูกรู้ตัวใช่ไหม ว่าทำอะไรลงไป? โชคดีนะที่เพื่อนพ่อเป็นคนดูแลเรื่องการสืบสวนนี้ถึงได้ช่วยกลบเกลื่อนเรื่องของลูกได้ทัน ไม่อย่างนั้นมันคงไม่สนุกที่ต้องขึ้นศาลสูงแน่"

น้ำเสียงทุ้มอ่อนอย่างผู้ทรงศีลเอ่ยถามไปยังบุตรชายของตน ที่เพิ่งสร้างเรื่องใหญ่มา แล้วในขณะนี้ก็นั่งปล่อยออร่าสีแดงก่ำอย่างไม่อาจทัดทานอยู่ตรงหน้าของเขา ราชครูเฒ่าได้แต่ยืนถอนหายใจอยู่ห่าง ๆ เพราะแม้ตนจะเป็นบิดา แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ได้รับพรภูมิเท่านั้น จึงไม่อาจเข้าใกล้ออร่าสีแดงเพลิงที่คล้ายจะระเบิดเต็มทีนั้นได้

"พ่อพูดเหมือนผมผิด ทั้งที่ผมก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วไง กักอยู่แต่ในเขตอาคมของตัวเองแท้ ๆ เจ้านั่นมันโผล่มาเอง จะมาโทษแต่ผมคนเดียวได้ที่ไหน!" สหัสตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอัดแน่นไปด้วยความกรุ่นกริ้ว ขณะใช้นิ้วบีบนวดหว่างคิ้วของตนเพื่อผ่อนคลายอาการเครียด

"น่าแปลกนัก ใครกันที่สามารถหลบเลี่ยงอาคมตรวจจับเข้าไปถึงยังห้องลับได้ ลูกพอจำหน้าคนผู้นั้นได้ไหม? " เห็นว่าลูกชายที่มีสายเลือดแห่งเทวากำลังเดือดพล่าน ราชครูก็ไม่คิดเติมน้ำมันเข้ากองไฟอีก จึงเลือกที่จะกลับมาวิเคราะห์ถึงความน่าจะเป็นของบุคคลลึกลับคนนั้น

"ไม่รู้สิ ผมเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาของฝ่ายนั้นเป็นยังไง จำได้แค่ผมยาวสีเงิน ลูกตาสีแดงเพลิง กับกลินตัวที่หอมหวานจนทำให้ควบคุมสติของตัวเองไม่ได้…และน่าจะเป็น…ผู้ชาย" ยิ่งคิด หัวของสหัสก็ยิ่งปวดจนเส้นเลือดกลางหน้าผากโปนปูดขึ้นมา

เมื่อได้ฟังแบบนั้นราชครูเฒ่าก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะต่อให้พยายามใคร่ครวญเท่าไหร่ก็ไม่อาจเชื่อมโยงกับอะไรได้ทั้งนั้น

"ตามลักษณะที่ลูกว่ามา ก็ถูกต้องตามตำราว่าเป็นดรายแอดส์นะ แต่ดรายแอดส์ไม่เคยมีปรากฏว่ามีเพศชายเลยนี่สิ"

"อาจเป็นปีศาจจำแลงมาก็ได้ มันมีมนตร์ดำ"

"หรืออาจเพราะเหตุผลนั้น เลือดของมันเลยเป็นผลดีกับลูกน่ะ"

"..." พอคิดถึงเรื่องเลือดขึ้นมาได้ สหัสก็นิ่งเงียบไป ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมรสชาติเลือดของไอ้ตัวประหลาดเมื่อคืนถึงได้พิเศษนัก

นอกจากมันจะไม่มีผลร้ายต่อเขาแล้ว มันยังเพิ่มพลัง…

"พ่อว่ามันถึงเวลาที่ลูกต้องมีคู่พันธะแล้วนะ ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายแรงกว่านี้จะเกิดขึ้น"

"..."

"หากคนที่ลูกรับเลือดเขามาเมื่อคืนไม่ใช่ดรายแอดส์หรืออสูรปีศาจที่บังเอิญมีพลังเวทย์ที่สูงล้ำล่ะก็…ทันทีที่เลือดต้องริมฝีปากของลูก คนคนนั้นก็จะตาย มันคือตราบาปที่ไม่อาจสลัดทิ้งได้นะ และมันคือโทษทางอาญาร้ายแรงที่มีเพียงโทษตายสถานเดียว พ่อไม่ต้องการให้เกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นกับลูก"

เห็นว่าบุตรชายเอาแต่เงียบเมื่อถูกเร่งเร้าให้หาคู่พันธะ ราชครูเฒ่าก็ได้แต่ออกปากเตือนย้ำซ้ำอีก

"สหัส ถ้าลูกไม่สะดวกหาด้วยตัวเอง พ่อพอจะช่วยได้นะ"

แต่คราวนี้สหัสเป็นฝ่ายเอ่ยปาก

"ไม่เป็นไรครับ ผมพอมีคนที่หมายตาไว้แล้ว"

+++++++++++++++++++++++++++

เช้าวันต่อมาอากาศวันนี้แจ่มใส ท้องฟ้าคล้ายจะปลอดโปร่งยิ่งกว่าหลาย ๆ วันที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนบรรยากาศในมหาวิทยาลัยจะไม่ได้สดใสเหมือนท้องฟ้าเอาเสียเลย

โดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาในคลาส A ที่เพิ่งได้รับข่าวกันมาตั้งแต่เมื่อคืน

"นี่สัตตะ ไหงนายถึงสภาพแย่อย่างนั้นล่ะ? "

ฑูรย์เดินเข้ามานั่งตรงหน้าของสัตตะที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะในสภาพสิ้นไร้เรี่ยวแรง

"..." ยิ่งเมื่อเพื่อนรักเงยหน้าขึ้นมาสบตา ฑูรย์ก็ได้แต่ตกใจ ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยความสงสาร

…นี่เพื่อนเขากลายร่างเป็นหมีแพนด้าไปแล้วหรือ?

ทำไมขอบตาถึงดำเบอร์นั้น? ผมเพ้ายุ่งเหยิง หน้าตาซูบซีด แม้แต่ดวงตาใต้พงผมรกรุงรังนั่นก็แดงก่ำไปหมด

"นอนไม่พอน่ะ" สัตตะตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนหันซ้ายหันขวาแล้วถามเพื่อนกลับบ้าง "แล้วนี่วุ่นวายอะไรกัน เห็นพวกนักรบกับพวกอาจารย์ดูแตกตื่นกันไปหมด"

"อ้าวนี่นายยังไม่รู้เหรอ? เมื่อคืนมีอสูรบุกเข้ามาในมหาลัยน่ะ"

"หะ? อสูรบุก? " คำตอบของฑูรย์ราวกับค้อนทุบเข้าที่หัวของสัตตะอย่างแรง

เพราะบาดเจ็บหนักจึงทำให้ทันทีที่กลับเข้าสู่รังอันปลอดภัย สัตตะก็ถึงกับสลบเหมือดไปด้วยความอ่อนล้า จึงไม่รู้เลยว่ามันเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาเผลอใช้มนตร์มารของปู่หนีออกจากสถานการณ์คับขันนั้น

'อย่าบอกนะว่าสาเหตุของความวุ่นวายเป็นเพราะเรา? '

"ใช่ เห็นว่าน่าจะระดับสูงด้วยนะเพราะอาคมตรวจจับ สามารถตรวจจับการใช้มนตร์มารขั้นสูงได้น่ะ"

'เชี่ย…ชัดเลย'

'กูชัด ๆ เลย!'

"ต…ตอนไหนเหรอ? ไม่เห็นรู้เรื่อง" สัตตะพยายามกลบเกลื่อนความหวั่นวิตกที่กำลังทำให้เขาเหงื่อแตกเป็นน้ำตกไปทั้งตัว

ซึ่งดูเหมือนว่ามันพอจะได้ผลกับฑูรย์อยู่บ้าง ฝ่ายนั้นจึงตอบคำถามของสัตตะต่อโดยไม่ตั้งข้อสงสัยใด ๆ

"ช่วงสามทุ่มมั้ง เกิดแถวหอสมุดน่ะ หอนายอยู่ไกล ไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก นี่…เขาว่ากันว่าพลังเวทย์ที่ตรวจจับได้น่ะเป็นพลังเวทย์ระดับที่อสูรทั่วไปไม่มีทางใช้ได้ด้วยนะ พวกผู้ใหญ่เลยแตกตื่นรีบสืบหาเบาะแสกันใหญ่ เพราะหากเจอว่าตอตัวบักเอ่กอยู่ในรั้วกำแพงนี้จริง…มันก็อันตรายเข้าขั้นมหันตภัยเลยล่ะ"

ยิ่งได้ยินแบบนั้น สัตตะก็ได้แต่ลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอแบบฝืด ๆ

'เวรเอ้ย…จะโดนจับได้เปล่าวะ? '

จากนั้นฑูรย์ก็เล่าเรื่องราวที่มีการตั้งหน่วยสืบสวน ทั้งที่มีแต่คนเก่งระดับประเทศแต่กลับยังไม่มีวี่แววว่าจะจับอสูรตนนั้นได้เลย แม้แต่ร่องรอยว่าหนีไปได้ยังไง ที่ไหนก็หาไม่เจอ อัตลักษณ์ของพลังมารปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียวแล้วจางหายไป ทำให้ไม่อาจสืบหาได้มากกว่านั้น ทุกฝ่ายจึงต่างลงความเห็นกันว่าจะต้องเป็นภัยร้ายตัวเป้งอย่างแน่นอน ฯลฯ

สัตตะได้แต่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะขณะฟังเรื่องราวของ 'ตน' ผ่านปากของเพื่อนด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

'ถ้าถูกจับได้จะทำยังไงดีวะ? '

ครู่ต่อมาขณะที่เผ่าพันธุ์ยังคงตื่นเต้นกับการลองวิเคราะห์ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องของอสูรชั้นสูงตนนั้น เสียงจ้อกแจ้กเจี๊ยวจ้าวในห้องก็พลันสงบลง นั่นทำให้สัตตะเดาได้เลยว่าแก๊งเทวากับเหล่าผู้ติดตามมาถึงห้องกันแล้ว

และสัตตะสัมผัสได้ทันทีเลยว่า 'สหัส' ก็มาด้วยเช่นกัน!

แค่คิดถึงใบหน้าของอีกฝ่าย ภาพการถูกดูดเลือดอย่างสยองขวัญที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืนทำเอาสัตตะขนลุกไปทั้งตัวอย่างทนไม่ไหว ใบหน้าที่ซุกอยู่กับโต๊ะตอนนี้มุดลงไปจนเกือบจะลงไปข้างใต้เพราะไม่ต้องการให้ไอ้เทวาอำมหิตนั่นเห็นใบหน้าของเขาแล้วเกิดจำได้ขึ้นมาว่าได้ทำอะไรเอาไว

ร้ายกว่านั้นคือจำได้ว่าเขาคือคนที่ใช้มนตร์มาร!

สัตตะกำคอเสื้อวอร์มสีดำคอตั้งที่เขาตั้งใจใส่มาเพื่อปกปิดรอยแผลที่ลำคอเอาไว้ เก็บซ่อนร่องรอยของดรายแอดส์เอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย พลางกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อก ๆ ด้วยหัวใจที่บีบรัดและระส่ำระสาย

แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั่งลงตรงที่นั่งประจำโดยไม่ได้ให้ความสนใจมายังตน สัตตะถึงได้ยอมโผล่หัวขึ้นจากใต้โต๊ะแล้วลอบมองไปยังเทวาที่กำลังแผ่ออร่าน่ากลัวอยู่ตรงนั้น

…จำไม่ได้สินะ

…รอดแล้ว

…สินะ

หลังจากลุ้นจนตัวโก่งแล้วโก่งอีกอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์โทก็เข้ามาทำการสอนในวันใหม่ สถานการณ์ในห้องดุเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกับสัตตะ แม้ว่ามันจะสวนทางกับสถานการณ์อันตรายในความรู้สึกของทุกคนในรั้วกำแพงนี้ก็ตาม

…อย่ากลัวไปเลยนะทุกคน อสูรตัวนั้นมันไม่ได้โหดเหี้ยมหรอก มันเป็นเด็กดีมากเลยล่ะ

"เอาล่ะ ถึงแม้ตอนนี้เหตุการณ์มันจะยังดูไม่น่าไว้ใจ แต่เชื่อเถอะว่าพวกผมจะปกป้องพวกคุณให้ปลอดภัยเอง"

อาจารย์โทพยายามปลอบประโลม

"และเพราะสถานการณ์ที่ล่อแหลมในช่วงนี้ มันจึงทำให้ทางมหาวิทยาลัยเล็งเห็นว่าการเรียนการสอนในตอนนี้ควรยกระดับการฝึกฝนพวกคุณให้พร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝันมากขึ้น ดังนั้นเราจะปัดเรื่องทฤษฎีในตำราทิ้งไปแล้วเริ่มฝึกภาคปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้เลย"

จบคำประกาศนั้นเสียงกระซิบกระซาบระหว่างนักศึกษาก็ดังขึ้น สิ่งที่สัตตะทำได้ตอนนั้นคือลืมเรื่องที่เกิดขึ้นซะ แล้วทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

ที่สำคัญคือ…อยู่ให้ห่างจากไอ้เทวาเวรนั่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้!!

หลังจากอาจารย์โทอธิบายเรื่องที่พวกเขาต้องทำในคาบแรกนี้เสร็จ ก็เดินนำนักศึกษาคลาส A ไปยังลานฝึก และลานฝึกของมหาวิทยาลัยของเหล่าผู้มีพรภูมิก็ย่อมไม่ธรรมดา

"อย่าบอกนะว่า…เราจะได้เข้าหอคอยตั้งแต่ตอนนี้เลย? " เป็นฑูรย์ที่เดินตัวติดอยู่กับสัตตะมาตลอดกระซิบกระซาบขึ้น

"เข้าหอคอย? "

"อื้อ ที่จริงตรงลานฝึกในหอคอยจะอนุญาตให้นักศึกษาตั้งแต่ปี 2 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะเข้าได้ นึกว่าต้องรออีกนานเสียอีก ผมคงต้องขอบคุณอสูรตนนั้นเสียหน่อยแล้ว"

แม้ทูรย์จะดูตื่นเต้นมากกับการได้มาที่หอคอยแห่งการฝึกฝนนี้ คงเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ดูจะตื่นเต้นไปกับเรื่องนี้ไม่ต่างกัน

คงจะมีเพียงสัตตะเท่านั้นที่มีลางสังหรณ์ว่าการมาสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับเขานัก โดยเฉพาะ…

'กลิ่นอายนี่มันอะไรวะ? ' ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้รับกลิ่นอายประหลาด สัตตะทำจมูกฟุดฟิดรู้สึกอยากจะจามออกมาสักครั้งเพื่อกำจัดกลิ่นอายนี้ออกไปจากโพรงจมูก

นักศึกษาคลาส A ทั้งหมดทยอยเดินตามอาจารย์ที่ปรึกษาของตนมาเป็นทิว เมื่อผ่านม่านบาเรียเข้าไปจนถึงลานกว้างที่ตรงหน้าคือทางเข้าหอคอยสูงเสียดฟ้า สัตตะก็รู้สึกได้ว่าในที่ที่พวกเขายืนอยู่นี้คือเขตอาคมโบราณ 'เขตวงเวทย์แห่งอนันต์' อันเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถวัดได้ว่ากว้างใหญ่แค่ไหน เป็นอาคมมิติเวลาและพื้นที่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ปู่ของเขาเคยเล่าให้ฟัง

"เอาล่ะ ผมรู้ว่าหลายคนคงตื่นเต้นที่ได้มาที่นี่ และผมอยากบอกให้พวกคุณยิ่งรู้สึกดีว่าสิทธิพิเศษสำหรับเด็กปี 1 นี้มันเป็นของคลาส A อย่างพวกคุณเท่านั้น"

อาจารย์โทเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับผู้ที่ยืนอยู่ก่อนจำนวน 4 คน ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้คุ้มกันของพื้นที่แห่งนี้ เพราะแต่ละคนเป็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ทั้งยังมีออร่าแห่งพลังเวทย์ล้นหลาม นักเวทย์สายบู๊ที่หาได้ยากบนแผ่นดิน แต่กลับมารวมอยู่ที่นี่ถึง 4 คน

สัตตะพยายามวิเคราะห์ความซับซ้อนของสถานที่ไปเรื่อย ๆ ขณะฟังอาจารย์โทอธิบายถึงกิจกรรมที่กำลังจะเริ่ม

"ในฐานะที่พวกคุณคือเหล่ายอดหัวกะทิแห่งผู้มีพรภูมิ ทางมหาวิทยาลัยจึงอนุญาตให้พวกคุณได้เลือกอาวุธประจำตัวก่อนเวลาอันควร เพื่อการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และภารกิจแรกของพวกคุณวันนี้คือการเข้าไปในหอคอยแล้วตามหาภูตพิทักษ์แห่งแสงประจำตัวของตัวเองออกมาให้ได้"

เสียงฮือฮาจากรอบด้านดังขึ้นทันทีที่เมื่อได้ยินประกาศ จากการเงี่ยหูฟังทำให้สัตตะเข้าใจว่า การเลือกอาวุธประจำตัวและพิชิตหอคอยชั้น 1 เพื่อรับภูตพิทักษ์แห่งแสงนั้นโดยปกติจะเริ่มทำได้ก็ต่อเมื่อเข้าภาคปฏิบัติตอนปี 2 แต่ดูเหมือนเหตุการณ์ที่สัตตะเผลอสร้างขึ้นเมื่อคืนจะทำให้พวกเด็กพิเศษคลาส A ได้รับอาวุธและภูตเร็วกว่าระดับชั้นเดียวกันด้วยเหตุผลว่าทั้งหมดเป็นยอดหัวกะทิที่เป็นความหวังของประเทศ

…ไม่ใช่หรอก เพราะครอบครัวของคนพวกนี้มีอิทธิพลต่อประเทศมากต่างหาก

สัตตะยืนวิเคราะห์กับตัวเองเงียบ ๆ แท้จริงเขาเองมีอาวุธที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่ ปู่เคยเล่าให้ฟังว่าเขาเสกมันออกมาได้ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 5 ขวบเลยด้วยซ้ำ คงเพราะเขาเป็นดรายแอดส์ที่มีจิตของยักษ์มันจึงทำให้พรภูมิของเขาแกร่งกล้าไม่เหมือนใคร

แต่แย่หน่อยที่อาวุธของเขานั้นมีตราแห่งมนตร์มารสีดำกำจายรายรอบ ปู่จึงจำเป็นต้องร่ายคาถาสะกดร่างจริงอันสง่างามของมันเอาไว้ในรูปลักษณ์ของคทาไม้หน้าตาประหลาดอันหนึ่ง

แถมยังประหลาดเหมาะเหม็งกับนักเวทย์แรงก์ F อย่างเขาเสียจนขำไม่ออก

แค่คิดถึงสภาพของมัน สัตตะก็ได้แต่ถอนหายใจละเหี่ย

"นายไหวหรือเปล่าสัตตะ? ไม่เป็นไรนะนายอยู่กับผม เดี๋ยวผมจะปกป้องนายเอง"

"หืม? "

เพราะมัวแต่เหม่อลอยทำให้สัตตะไม่ทันได้ฟังว่าอาจารย์โทได้สาธยายกติกาจนเสร็จสิ้นแล้ว

ขั้นแรกคือการเลือกอาวุธประจำตัวจากลูกแก้วแห่งศาสตรา ลูกแก้วเวทย์สีนิลขนาดใหญ่ราว 5 คนโอบที่เปล่งออร่าน่าเกรงขามออกมาตลอดเวลาสมฉายาห้วงสมุทรแห่งศาสตราวุธ เพราะในลูกแก้วมิตินั้นอัดแน่นด้วยอาวุธที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด การเอาอาวุธออกจากลูกแก้วทำได้เพียงง่าย ๆ แค่แตะมือลงไปที่ลูกแก้วนั้น ตั้งสมาธิแล้วจินตนาการรูปร่างของอาวุธที่อยากได้ จากนั้นลูกแก้วก็จะบันดาลอาวุธที่เหมาะสมกับพลังแห่งพรภูมิตามชาติกำเนิดมาให้ ยิ่งพลังแห่งพรภูมิแรงก์สูงมากเท่าไหร่อาวุธที่ออกมาก็จะสวยงามอลังการและทรงพลานุภาพมากขึ้นเท่านั้น

แทบไม่ต้องสงสัยว่าไอ้เด็กคลาส A พวกนี้จะต้องไอ้อาวุธขั้นสุดยอดกันแทบทุกคนแหง ๆ (เว้นเขาไว้คนหนึ่ง)

แล้วหลังจากที่ได้รับอาวุธกันจนครบถ้วนแล้ว ด่านต่อไปคือการจับกลุ่ม 5 คนเข้าทำภารกิจล่าภูตแสงในหอคอยชั้นแรก พอพูดถึงเรื่องภูตแสงมันก็พอกระตุ้นให้สัตตะสนใจขึ้นมาหน่อย เพราะเขาเองก็ยังไม่มีภูตพิทักษ์ และไอ้ภูตตัวนี้ไม่จำกัดว่าจะต้องแรงก์สูงถึงจะได้ภูตระดับสูง ได้ยินจากปู่มาว่าการล่าภุติอาศัยเพียงดวงล้วน ๆ และในอดีตก็เคยมีอยู่หลายครั้งที่คนแรงก์ D-F ได้รับภูตระดับสูงมาด้วย

พอคิดได้สัตตะก็ยิ่งฮึกเหิม อย่างไรซะอาวุธก็ไม่สามารถโชว์ใครได้แล้ว ก็ขอภูตเจ๋ง ๆ สักตัวก็แล้วกัน!

"เป็นอะไรไป? "

ระหว่างที่รออาจารย์กับเจ้าหน้าที่เตรียมลูกแก้วแห่งศาสตราอยู่ ธชาก็อาศัยจังหวะนั้นเดินเข้าไปทักเพื่อนที่เอาแต่ทำหน้าไม่รับแขกตั้งแต่เช้า เพราะสหัสในสภาพแผ่ออร่าแบบนี้มันทำให้คนรวบตัวระส่ำระสายกันพอสมควร โดยเฉพาะเหล่าแฟนคลับ

มันจึงเป็นงานสำคัญที่มีเพียงธชาเท่านั้นที่สามารถจัดการเพื่อนรักของตัวเองได้

"เปล่า" แต่สหัสปฏิเสธที่จะอธิบาย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างธชาเขาก็ไม่สามารถให้ล่วงรู้ได้

"อย่าโกหกน่ะ นายแผ่ออร่าจนพวกมีราห์ยังไม่กล้าเข้าใกล้ขนาดนี้ ยังจะบอกไม่มีอะไรอีก"

"..." พอถูกเตือนสติเข้า สหัสก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตั้งแต่วินาทีที่คนคนนั้นหายไปต่อหน้า เขาก็จ่อมจมอยู่กับห้วงเวลานั้นมาตลอด ดรายแอดส์ผู้ชายเจ้าของผิวที่ขาวราวหิมะต้องแสงจันทร์ ดวงตาสีแดงเพลิงราวกับจะแผดเผากันไปจนถึงแก่นของวิญญาณ กลิ่นกายที่หอมเย็นสะกดใจราวดอกไม้ป่า และรสชาติของเลือดที่…ชวนให้ลุ่มหลงจนหยุดไม่ได้

ที่สำคัญกว่านั้น…ไอ้ความรู้สึกโหยหานี่มันคืออะไรกัน?

ในอกมันวูบโหวงแปลก ๆ ราวกับว่าเขาเพิ่งคว้าชิ้นส่วนที่ขาดหายไปนานเอาไว้ได้ แต่มันกลับหลุดหายไปในชั่วพริบตาอีกครั้ง

'พ่อว่ามันถึงเวลาที่ลูกต้องมีคู่พันธะแล้วนะ ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายแรงกว่านี้จะเกิดขึ้น'

ในขณะที่ยังคิดไม่ตก เสียงของพ่อก็แล่นเข้ามาในสมองขัดกับสิ่งที่กำลังใช้ความคิดไล่ล่าอยู่

แต่มันก็เหมาะเจาะที่จะหยุดความฟุ้งซ่านนั้นไว้ก่อนพอดี

…หาคู่พันธะเสียที อย่างนั้นเหรอ?

"เฮ้ สหัส? นายอย่าเอาแต่เงียบสิวะ" ธชาเขย่าไหล่เพื่อนรักด้วยความหงุดหงิดที่ปล่อยให้เขาถามซ้ำแล้วซ้ำอีกกลับไม่ยอมตอบคำถาม ทั้งที่เขาแสดงความเป็นห่วงขนาดนี้แล้ว

"เออ" สหัสปัดมือเพื่อนที่เอาแต่เขย่าไหล่จนเริ่มรำคาญ ในที่สุดเขาจึงยอมปริปากออกมา "ฉันแค่กำลังคิดเรื่องคู่พันธะน่ะ"

"โอ้ว" ธชาตาโตทันทีที่ได้ยินเรื่องที่เพื่อนพูด เพราะปกติแล้วสหัสจะไม่ยอมพูดเรื่องคู่พันธะอย่างเด็ดขาดแท้ ๆ นั่นหมายความว่า… "นายเจอคนที่ต้องการแล้วงั้นเหรอ? ใครจะได้เป็นใครผู้โชคดีคนนั้นวะ? "

เพราะเพื่อนเอ็กเผ่าพันธุ์ด์จนเริ่มเสียงดัง สหัสจึงหันไปมองแรงใส่ธชาครั้งหนึ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมา

เทวาหนุ่มยิ้มมุมปากน้อย ๆ เพราะอยากจะแกล้งเพื่อนให้อกแตกตายดูบ้าง

"เดี๋ยวนายก็รู้เอง"

พูดจบก็เลิกสนใจธชาที่กำลังจะสติแตกเพราะถูกแกล้งให้ต้องรอคำตอบจนต่อมสอดรู้สอดเห็นอักเสบ

แล้วในระหว่างที่กำลังถูกวุ่นวายโดยธชาอยู่นั้น สายตาของสหัสก็เริ่มกวาดไปด้านหลัง มองไปยังคนที่เอาแต่ยืนหลบอยู่หลังคนอื่น ๆ ข้างกันกับฑูรย์ว่าที่คู่พันธะของธชาเพื่อนตน

'เจ้านอกกำแพงแรงก์ F'

"เอาล่ะ ลูกแก้วแห่งศาสตราเตรียมพร้อมแล้ว เรียงลำดับตามเลขที่มาได้เลย"

เมื่อถึงเวลาอาจารย์โทก็จัดการเรียกเหล่าลูกศิษย์ให้เข้ารับการคัดเลือกอาวุธ

แต่ละคนใช้เวลามากน้อยไม่เท่ากันแล้วแต่พลังแห่งพรภูมิที่ติดตัวอยู่ แต่ด้วยเป็นระดับหัวกะทิต่อให้พลังน้อยเท่าไหร่ การภาวนาก็ไม่ได้นานเกิน 10 นาที

เสียงฮือฮาด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้นดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อทุกคนได้เห็นอาวุธของเพื่อนร่วมชั้นแต่ละคน เพราะมันช่างเหมาะสมกับแรงก์ของพวกตนเหลือเกิน ทั้งงดงามและทรงพลัง

แต่อาวุธเหล่านั้นคงเทียบไม่ได้เลยกับของเทวาแรงก์ S อย่างสหัสและธชา

แสงเรืองรองจนแสบตาแผดกล้าออกจากลูกแก้ว เพียงแค่นาทีแรกที่ธชาใช้มือแตะลงไป ไม่นานหลังจากนั้นมีดสั้นคู่งามคู่หนึ่งก็ปรากฏออกมา

"สมกับเป็นเผ่าพันธุ์แห่งนาคา ดาบคู่นั้นเป็นอาวุธที่ทำมาจากเขี้ยวคู่หน้าของบาซินทอร์ อดีตพญางูยักษ์แห่งป่าที่ได้มอบเขี้ยวคู่หน้าของตนไว้เพื่อปกป้องราชอาณาจักรเพียงคู่เดียวเท่านั้น เยี่ยมมากจริง ๆ ธชา"

พอได้เห็นอาวุธชั้นเลิศที่ธชาได้รับมา อาจารย์โทก็ปรบมือยินดีกับศิษย์ เพราะอาวุธระดับตำนานแบบนั้นใช่ว่าจะปรากฏให้เห็นกันได้ง่าย ๆ ยิ่งเห็นยิ่งมีความหวัง โดยเฉพาะกับอีกคน อาจารย์โทหันไปมองทางสหัส เทวาแรงก์ S ที่มีออร่าแห่งพรภูมิเจิดจ้าที่สุด

"อ๊า ตื่นเต้นจังเลย ผมจะได้ของดี ๆ บ้างหรือเปล่านะ"

พอเห็นว่าธชาญาติตนได้ของที่เลอค่าแบบนั้น ฑูรย์ก็ยิ่งตกประหม่า เขาจึงหันไปเขย่าแขนเพื่อนคนเดียวอย่างสัตตะเพื่อขอกำลังใจ

"เออ ไม่ต้องกลัว คนโชคดีอย่างนายต้องได้ของที่สุดยอดมากอยู่แล้ว" พอเห็นว่าทูรย์เอาแต่ตื่นเต้นจนเกือบจะกลายเป็นตื่นตระหนก สัตตะก็ปลอบใจออกไปอย่างนึกเอ็นดู ก่อนเอามือไปแตะที่ไหล่เพื่อนครั้งหนึ่ง "ไปทำให้เต็มที่เถอะ"

"อื้อ ขอบใจนะ" แค่ได้ยินแบบนั้นฑูรย์ก็ดูจะมีพลังใจขึ้นมา

แล้วทันทีที่ถูกเรียกชื่อนาคาหนุ่มเนิร์ดก็เดินออกไปอย่างมั่นใจ

เมื่อได้ไปยืนหน้าลูกแก้วแห่งศาสตรา เขาก็ท่องคาถาสงบใจเพื่อบังคับให้หัวใจของตนไม่เต้นแรงเกินไปจนเป็นลมไปเสียก่อนที่จะได้รับอาวุธประจำตัว

นาคาหนุ่มค่อย ๆ แตะมือลงไปบนลูกแก้ว และเพียงไม่นานแสงสีทองก็พวยพุ่งออกมาแล้วจึงปรากฏร่างเป็นคทาสีทองด้ามสูงท่วมศีรษะ ปลายคทาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสลักลวดลายงดงาม โดยตรงกลางจันทร์เสี้ยวนั้นมีลูกแก้วแห่งศักดิ์สิทธิ์นาคาสีทองประกายประดับอยู่

มันดูสวยงามทรงพลังเสียจนสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนร่วมชั้นได้อีกรอบ แม้แต่เจ้าของอย่างฑูรย์เองก็ได้แต่ยืนน้ำตาแตกไปกับสิ่งที่ตนได้รับ

"บราโว่" อาจารย์โทปรบมือเสียงดัง ด้วยความภูมิใจในเด็กที่เขาฟูมฟักมา "นั่นคือคทาแห่งอินทร ถือได้ว่าเป็นคทาของหนึ่งในผู้สร้าง มันจะเป็นเครื่องการันตีว่าในอนาคตอันใกล้นี้คุณจะได้ขึ้นเป็นฮีลเลอร์ระดับสูงตามรอยผู้ที่เคยเป็นเจ้าของมันในครั้งบรรพกาลอย่างแน่นอน"

ยิ่งได้ยินคำชมแบบนั้น น้ำตาของฑูรย์ก็แทบไหลพราก ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาไม่หักหลังเขาจริง ๆ ด้วย อยากกลับไปกอดตัวเองในวันที่พรภูมิยังไม่ปรากฏแน่น ๆ เหลือเกิน อยากกอดแล้วอยากบอกว่าไม่ต้องกลัวอะไร ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว เพราะในอนาคตนายเองก็จะได้เป็นคนที่ถูกแรงก์ S ชื่นชมว่าจะได้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเช่นกัน

นายไม่ใช่นาคาที่ไร้ค่าของวงศ์ตระกูลอีกแล้ว

ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว…

การคัดเลือกอาวุธค่อย ๆ ทยอยเสร็จสิ้นไปทีละคน แม้จะไม่ได้มีอาวุธระดับอัลติเมทออกมาอีกหลังจากนั้นแต่ก็มีหลายคนที่สามารถดึงระดับจนถึงขั้นอิมแพคออกมาได้อยู่บ้าง จนมาถึงสองคนสุดท้ายตามลำดับเลขที่ที่เหลืออยู่นั่นคือสหัสและสัตตะ ใคร ๆ ต่างก็คาดหวังในอาวุธของสหัสเช่นเดียวกับที่ไม่คาดหวังในอาวุธของสัตตะ ยกเว้นเพียงคนเดียวที่กำลังจับตามองในอาวุธที่สัตตะจะได้รับในวันนี้

คนคนนั้นคืออาจารย์โท

"ถ้าไอ้อาวุธเจ๋งกว่าฉัน มีเคืองนะเว้ย" ธชาหยอก ขณะตบหลังเพื่อนไปหนึ่งครั้ง เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่สหัสจะได้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดา

"หุบปากน่ะ" สหัสแยกเขี้ยวใส่ธชาด้วยความสนิท ก่อนเดินตรงเข้าไปหาลูกแก้วแห่งศาสตราท่ามกลางสายตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวังของเพื่อนร่วมชั้น

เพียงแค่แตะมือลงไปแสงสีเงินเจิดจ้าก็สว่างวาบออกมา เป็นแสงที่ทรงพลังรุนแรงทำให้ตาพร่าจนไม่มีใครในที่แห่งนั้นสามารถลืมตามองได้ ก่อนที่วูบต่อมาแสงนั้นจะมารวมตัวขมวดเป็นเกลียวใหญ่บนมือของสหัส แล้วค่อย ๆ เผยร่างปรากฏเป็นธนูคันงาม

"นั่นมัน…" อาจารย์โทถึงกับอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า เพราะสิ่งที่สหัสได้รับนั้นคล้ายว่าจะเป็นอาวุธที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ออร่าและพลังเป็นระดับอัลติเมธไม่ผิดแน่

สหัสคว้าคันศร เหวี่ยงจับสองสามครั้งให้เข้าที่ ก่อนจะใช้สองมือจับแยกออกเป็นสองส่วน คันธนูเมื่อครู่ก็ปรากฏแสงแปลงร่างเป็นมีดสั้นคู่ที่มีออร่าสีเงินยวงเป็นประกาย ครั้นพอสหัสจับมันประกอบเข้าหากันแล้วสะบัดหนึ่งครั้ง แสงสีเงินก็สว่างขึ้นอีกแล้วมีดสั้นก็รวมร่างกลายเป็นดาบยาว ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกผู้คนตรงนั้น

"อะไรกัน? มันเปลี่ยนรูปร่างได้สารพัดนึกเลยงั้นเหรอ? " โท ถึงกับอุทานออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ่งกว่าคำว่ายินดี ขณะปรบมือให้ลูกศิษย์ที่ตนภูมิใจไปพลาง

เพราะโทไม่รู้จักอาวุธชิ้นนั้นจึงไม่มีคอมเม้นต์ให้สหัส เพียงแต่ปฏิกิริยาของเขาก็ชัดเจนแล้วว่ามันคืออาวุธที่สุดยอดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

"อาวุธแบบนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยครับ อัศจรรย์มาก" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นกับโทด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงพรึงเพริดไม่ต่างกัน

"นั่นสิ" โทตอบรับด้วยเสียงที่เบาจนคล้ายเพ้อกับตัวเอง

"อาวุธอัลติเมทออกมาถึง 3 ชิ้น เป็นรุ่นแห่งความหวังเลยนะครับเนี่ย" เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน

โทเองพยักหน้ารับ "ใช่ครับ คงเรียกได้ว่ารุ่นแห่งความหวังจริง ๆ และการที่จู่ ๆ อาวุธที่ยิ่งใหญ่ปรากฏออกมาพร้อมกันถึง 3 ชิ้น นั่นก็เพราะมันรู้ตัวว่าถึงเวลาที่มันจะต้องออกมาเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่มีพลังไม่ต่างจากมัน"

"...อ…อาจารย์โท นี่คุณหมายความว่า…? " แต่คำพูดเพียงประโยคเดียวของโท ก็ทำให้เจ้าหน้าที่สองคนที่กำลังตื่นเต้นเกิดอาการสันหลังเย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลัน

"มันก็แค่การคาดเดาของผม แต่เตรียมตัวไว้หน่อยก็ไม่เสียหายนะครับ" โทเอ่ยเรื่องชวนสยองทิ้งท้ายเพียงแค่นั้น หันไปยิ้มให้เจ้าหน้าที่ทั้งสอง ก่อนจะหันไปโฟกัสกับนักศึกษาคนสุดท้าย คนที่เขาตั้งความหวังมากที่สุด

"ตานายแล้วสัตตะ ผมตื่นเต้นจังเลย!"

"เลิกคาดหวังได้เลย อย่าลืมสิว่าฉันแรงก์ F"

แม้ว่าฑูรย์จะเชียร์อัพแค่ไหน แต่สัตตะก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าอาวุธที่เขาจะได้หน้าตาเป็นแบบไหน เขาได้แต่คาดหวังว่ากลไกของลูกแก้วแห่งศาสตรานี้จะยังคงเหมือนกับที่ปู่ของเขาเล่าให้ฟังว่าต่อให้จะไม่ใช่อาวุธที่ลูกแก้วคัดสรรมาให้ แต่หากเป็นอาวุธที่คู่ควรมันก็จะยอมรับด้วยปฏิกิริยาเดียวกัน

สิ่งที่สัตตะกังวลคงมีเพียงเรื่องเดียว คือกลัวว่าเจ้าลูกแก้วนี่จะเปิดเผยร่างจริงของอาวุธของเขาเข้า

…ทำไมกูถึงเจอแต่เรื่องเสี่ยงนักภัยวะ?

…แล้วทำไมหันมาสนใจกูกันเป็นตาเดียวเลยเนี่ย?

แค่อาการเครียดเดิมก็ว่าแย่แล้ว พอยิ่งสัมผัสได้ว่ากำลังถูกจับตามองสัตตะก็ยิ่งรู้สึกขนลุกไปทั้งแผ่นหลัง แต่ในเมื่อแสดงพิรุธอะไรออกไปมากไม่ได้ สัตตะก็ทำได้แค่กัดฟันเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลูกแก้ว แล้วยื่นมือเข้าไปแตะเบา ๆ พลางบริกรรมคาถาเพื่อสื่อสารกับเจ้าลูกแก้วนั่น

ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งลูกแก้วจึงเริ่มมีปฏิกิริยา สัตตะที่กลั้นหายใจมาตลอดก็ถึงกับถอนหายใจโล่งอก ก่อนที่หัวใจเขาจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อจู่ ๆ สี่ที่พุ่งออกจากลูกแก้วดันเป็นควันสีดำไม่ใช่แสงเหมือนคนอื่น ๆ

'ฉิบหาย!' สัตตะสบถลั่นในใจ เขารีบคว้าอาวุธของตนตรงหน้าไว้แล้วรีบร่ายเวทย์สะกดก่อนที่ไอ้เจ้าลูกแก้วเฮงซวยนี่จะเผยร่างจริงของมันออกมา

แต่ต่อให้สัตตะพยายามมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่เพียงให้ควันหายไป แต่ไร้แสงใด ๆ ออกมาอย่างสิ้นเชิง แล้วอาวุธที่ปรากฏอยู่ในมือของเขาตอนนี้ก็คือคทาไม้เก่า ๆ สภาพดูไม่ได้เช่นเดิมแล้ว

'สำเร็จ' ความโล่งใจนี้ทำเอาเขาแทบลงไปนอนกอง สภาพร่อแร่จากเมื่อคืนยังไม่ทันฟื้น แล้วยังต้องมาฝืนใช้พลังที่ไม่จำเป็นตรงนี้อีก ขืนต้องใช้พลังเวทย์อีกครั้งในวันนี้ล่ะก็เขาได้ลาโลกตามปู่ไปเดี๋ยวนี้เลยแน่ ๆ

"ตายจริง คทาน่าเกลียดนั่นอะไรน่ะ? คิก คิก"

"ก็นึกว่าจะได้อะไร ที่แท้ก็ของกาก ๆ "

"สมกับเป็นแรงก์ F แบบไม่ต้องสงสัยเลย หึหึ"

พอทุกคนเห็นอาวุธที่สัตตะได้รับก็พากันหัวเราะครืนกันไปทั้งห้อง แหงล่ะ ก็สภาพภายนอกของอาวุธชิ้นนี้มันกากเสียยิ่งกว่าของพวกแรงก์ F ด้วยกันเสียอีก

ฑูรย์ไม่พอใจนักที่เพื่อนรักถูกเหยียดหยาม

แต่สัตตะกลับพึงพอใจในปฏิกิริยานี้ของพวกมันที่สุด

'เหอะ! ไอ้พวกหน้าโง่เอ้ย'

'ช่างแม่ง รอดไปได้อีกวันแล้วกู'

ในระหว่างที่ทุกคนไม่สนใจ

ในขณะที่สัตตะโล่งใจ

มันยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่สังเกตได้ว่าอาวุธของเจ้าแรงก์ F คนนี้ผิดปกติ

"อาวุธนั่น…? " ธชากระซิบกับเพื่อนรัก

"อือ นั่นไม่ใช่อาวุธที่มาจากการมอบให้ของลูกแก้วศาสตรา" สหัสตอบเสียงเย็นเยียบ แม้คนอื่นจะดูไม่ออก แต่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน คทาไม้ธรรมดาที่ไหนจะมีออร่าสีดำกับจักราลึกลับเคลือบเอาไว้เสียแน่นหนาแบบนั้นได้กัน

เช่นเดียวกับโท ที่ยืนเฝ้ามองเงียบ ๆ พร้อมรอยยิ้มพึงพอใจอย่างที่สุด

'กะไว้แล้ว ว่านายต้องไม่ใช่แรงก์ F ธรรมดา'