"โห...ในกำแพงเมืองโคตรทันสมัย ต่างจากข้างนอกลิบลับเลยว่ะ!!"
เสียงแหบห้าวตามแบบของชายที่เพิ่งโตเต็มหนุ่มอุทานขึ้นเมื่อเดินผ่านประตูเมืองใหญ่เข้าสู่ความตระการตาตรงหน้า ลมหนาวพัดผ่านร่างบอบบางของชายหนุ่มผู้เพิ่งอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จนรู้สึกหนาวสะท้าน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หัวใจที่พองฟูในอกเพราะความศิวิไลซ์ตรงหน้าหดยุบลงไปได้
"คนในเมืองนี่หรูหราดีจังเลยเนอะ" ชายหนุ่มตื่นตาตื่นใจไปเสียหมดกับสิ่งที่ได้พบเห็น ทว่าริมฝีปากแม้เอ่ยชมไม่ขาดแต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
เพราะแท้จริงแล้ว เขาเกลียดคนในกำแพงเมืองนี้ที่สุด!
"ปู่ ในที่สุดผมก็ได้เข้ามาในกำแพงเมืองสมใจปู่แล้วนะ ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ" ชายหนุ่มเอ่ยถึงคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วพลันนึกไปถึงคำสั่งเสียที่ปู่ทิ้งไว้ให้
คำสั่งเสียที่เขาไม่เคยคิดใส่ใจเมื่อหลายเดือนก่อน...
'อายุปู่สั้นลงทุกวัน อายุเอ็งก็จะ 18 ปีแล้ว ปู่คงไม่อาจอยู่แลเอ็งได้ตลอด...และมันคงถึงเวลาของปู่เช่นกัน'
นักเวทย์ชราเอ่ยพลางเคาะหัวหลานรักด้วยความเคยชิน แต่หลานชายได้แต่นั่งนิ่วหน้า
'ปู่จะรีบไปไหน? อย่าพูดเป็นลางได้ไหมเนี่ย แล้วไหนโม้ว่าตัวเองเป็นนักเวทย์ผู้แกร่งกล้าไง'
คำปรามาสทำนักเวทย์ชราหัวเราะถูกใจ ก่อนอธิบายให้หลานชายฟังด้วยความเมตตา
'ถึงปู่จะเก่งกาจ หรือเคยเป็นถึงหนึ่งในนักเวทย์ประจำพระองค์มาก่อน แต่โดยพื้นฐานแล้วปู่ก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่มีอายุขัยจำกัด นี่ก็ถือว่าอยู่มานานจนเกือบลืมหน้าพ่อแม่แล้ว มันถึงเวลาที่ต้องละจากสังขารอันผุพังนี้เสียที'
'ผมไม่ยอมให้ปู่ทิ้งไปง่าย ๆ หรอกนะ อย่าฝัน!!'
เสียงแหบห้าวตวาดขึ้นมาอย่างหัวเสีย แสร้งทำเป็นโกรธแต่แท้จริงแล้วเขากลัวว่าจะโดนทิ้งจริง ๆ
แม้รู้อยู่แก่ใจว่าในสักวันต้องถึงวันจากลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำใจยอมรับ
ปู่บรรจงลูบหัวหลานที่กำลังทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ด้วยความรัก
'ฟังคำปู่ให้ดีเถิดหนาเจ้าสัตตะเอ๋ย แม้ไม่ใช่วันนี้ก็ต้องมีสักวันอยู่แล้ว เอ็งจะเอาแต่แข็งขืนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา คิดถึงการข้างหน้าบ้างเถอะ'
เสียงพร่าเอ่ยอ่อนโยน ทำให้ในที่สุดผู้เป็นหลานก็ยอมรับฟัง
'เอ็งน่ะกำพร้า เมื่อสิ้นใบบุญปู่ก็ย่อมอยู่ลำบาก แม้เอ็งจะมีพลังเหนือผู้ใดแต่ก็ไม่อาจใช้มันต่อหน้าผู้คน นอกกำแพงนี้มันอันตรายเกินไป เมื่อปู่ไม่อยู่คุ้มกะลาหัวเอ็งแล้ว พลังที่ถูกสะกดเอาไว้ก็จะเริ่มสร้างปัญหา ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้เอ็งมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสุขสบาย ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในกำแพงเมือง'
'แต่คนนอกกำแพงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป...'
'เหอะ คิดว่าปู่คนนี้เป็นใครกัน เรื่องแค่นั้นสบายมาก'
พูดจบผู้เป็นปู่ก็หัวเราะร่าอย่างผู้ที่มั่นใจในความเก่งกาจของตน ทิ้งหลานรักให้นั่งหน้านิ้วคิ้วขมวดต่อไป
ในขณะนั้นภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็ฉายชัดเข้ามาในความทรงจำของนักเวทย์ชรานามว่ากัญจะ
เมื่อกว่า 100 ปีก่อนกัญจะคือ 1 ใน 8 นักเวทย์ประจำพระองค์ เขาได้รับความยำเกรงยกย่องจากความเก่งกาจที่เป็นที่เลื่องลือ ก่อนถูกจับได้ว่าเป็นผู้ศึกษามนตร์มาร เวทย์ต้องห้ามที่เป็นของพวกยักษ์จนต้องโทษประหาร แต่เพราะมนตร์มารเป็นเวทย์ที่สามารถถอดหัวใจเก็บรักษาไว้ได้ ทำให้นักเวทย์คนนี้ไม่ตาย แต่การฟื้นคืนชีพจากการถูกประหารในครานั้นก็ทำให้เขาสูญเสียอายุขัยไปครึ่งหนึ่งของอายุที่เหลืออยู่
ตามปกตินักเวทย์ที่เป็นมนุษย์จะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 300 ปี ในตอนที่ต้องโทษเขาก็อายุ 200 ปีเข้าไปแล้ว ดังนั้นพอถูกลิดรอนอายุไขครึ่งหนึ่งของที่เหลือ จึงทำให้กัญจะมีอายุอยู่ต่อได้แค่ 50 ปี แต่ตอนนั้นเขาปลดปลงในทุกสิ่งแล้วขอแค่ยังมีชีวิตรอดต่อไปอีกหน่อยก็ดีใจหนักหนา หลังการประหารเขาจึงหลบเร้นออกนอกเมืองใหญ่มาอยู่ในที่รกร้างที่ถูกพวกอสูรรุกรานจนสิ้นเมือง กัญจะอยู่ที่นี่ได้เพราะมีมนต์มารติดตัวพวกอสูรจึงไม่ได้กลิ่นมนุษย์ในตัวเขา
ทว่าต่อให้กัญจะจะรอดพ้นจากความตายมาหนหนึ่ง มนตร์มารแยกใจนี้นอกจากจะทำให้อายุขัยเขาสั้นลงมากแล้วยังทำให้อ่อนแอลงส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้นการที่เขาต้องใช้ชีวิตในดงอสูรทุกวันพลังชีวิตก็เริ่มร่อยหรอ เพราะไออสูรนั้นถ้าสูดไปนานๆ จะทำให้พรภูมิและพลังชีวิตลดลง แต่กัญจะก็ไม่ได้คิดที่จะออกจากป่า แม้จะถูกไออสูรทำร้ายแต่ก็สงบและปลอดภัยกว่าที่ไหน ๆ
กระทั่งวันหนึ่งที่จู่ ๆ ก็มีเผ่าไดรแอดส์ 3 คนปรากฏขึ้นต่อหน้าพร้อมกับทารกน้อยคนหนึ่ง และที่แปลกกว่านั้นก็คงเป็นเรื่องที่เด็กที่เห็นได้ชัดว่าคือเผ่าไดรแอดส์คนนั้นเป็นเด็กผู้ชาย มันคือความผิดพลาดที่อัศจรรย์เพราะเผ่าพันธุ์ไดรแอดส์ตั้งแต่บรรพกาลมาล้วนเป็นผู้หญิง ว่ากันว่าพวกนางถือกำเนิดจากดอกของต้นไม้แห่งชีวิตในหมู่บ้าน ซึ่งหมู่บ้านของไดรแอดส์ซ่อนลึกอยู่ในพงไพรไม่มีใครสามารถเข้าออกได้ จนเหล่ามนุษย์ต่างเรียกขานหมู่บ้านของพวกนางว่าเมืองลับแล
ดังนั้นการที่จู่ ๆ พวกนางออกมาปรากฏตัวนอกหมู่บ้านพร้อมทารกที่เป็นเพศชายจึงทำให้กัญจะแสนอัศจรรย์ใจ
"ท่านนักเวทย์ โปรดรับเลี้ยงเขาไว้ทีเถิด"
คือคำขอร้องของไดรแอดส์สาวที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่
"เขาถือกำเนิดจากดอกพุดซ้อน เป็นวิญญาณอวตารที่ไม่เคยพบพานซ้ำยังเป็นเด็กผู้ชาย เราไม่สามารถเก็บเขาไว้ในหมู่บ้าน ขอท่านโปรดช่วยเมตตา"
ไดรแอดส์สองคนที่ตามมาด้วยต่างช่วยกันวิงวอน
"หากข้าไม่รับเล่า?"
กัญจะเอ่ยถามทั้งที่ยังสับสน
"เช่นนั้นคงต้องสังหารเด็กคนนี้ ดีกว่าปล่อยเอาไว้ให้ถูกเหล่าอสูรกัดกิน"
ไดรแอดส์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
"เฮ่ย เฮ้ย มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง!?"
ได้ยินแบบนั้นแล้วกัญจะจะทำอะไรได้นอกจากเอื้อมมือไปรับเด็กคนนั้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขานั้นก็ใช่จะเป็นคนดีเสียเต็มประดา พื้นเพก็แค่นักโทษประหารหนีตายคนหนึ่ง แต่ครั้นจะปล่อยให้ฆ่าเด็กทารกต่อหน้าต่อตาก็ทนไม่ไหว และมันก็เข้าทางไดรแอดส์พวกนั้น เพราะทันทีที่เขายินยอมออกปากรับ พวกนางก็มอบรอยยิ้มสดสว่างมาให้พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ในการเลี้ยงเด็ก ไม่เว้นแม้แต่ดอกน้ำนมก็มีเตรียมมาให้
"ขอบคุณท่านมาก" พวกนางกล่าว
พอรับทุกอย่างมาอย่างงงๆ เพียงครู่พวกนางไม้ไดรแอดส์ทั้ง 3 ก็หายวับไปราวกับภาพฝัน กัญจะได้แต่นั่งเหม่อลอยแล้วมองหน้าเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน
"เวรละ ลืมถามไปว่าไอ้หนูนี่ชื่ออะไร"
กัญจะบ่นพึมพำ พลางคิดถึงหน้าที่แรกที่ต้องทำนั่นคือการตั้งชื่อให้เด็กน้อย นักเวทย์เฒ่าเหม่อลอยอีกรอบก่อนหันซ้ายแลขวาพลันสายตาไปพบกับพุ่มดอกไม้สีขาวบนต้นไม้เหนือศีรษะ 'ต้นพญาสัตบรรณ'
"พญาสัตบรรณ...สัตตะ อืม สัตตะ เข้าท่า เข้าท่า"
ฉับพลันกัญจะก็นึกชื่อที่จะตั้งให้เด็กน้อยออก
"เจ้าหนูเอ๋ย จากนี้ไปนามของเอ็งคือ สัตตะ"
กัญจะรู้สึกครื้นเครงที่สามารถทำภารกิจแรกผ่าน เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าเล็กที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ในอ้อมแขนราวกับดีใจกับชื่อที่เขาตั้งให้ เห็นแค่นั้นหัวใจที่เคยแห้งแล้งมานานของนักเวทย์เฒ่าก็อิ่มฟู
ทว่าครื้นเครงอยู่ได้ครู่เดียวพอแกะผ้าห่อตัวทารกน้อยออก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำเอากัญจะยิ้มค้างตาโต
"น...นี่มัน"
กัญจะแทบพูดไม่ออก เมื่อเห็นสัญลักษณ์บางอย่างตรงล่างท้องน้อยของเจ้าทารก สีแดงชาดที่แดงชัดเป็นสัญลักษณ์พิเศษทำเอานักเวทย์เฒ่าแทบตาถลน
"บ้าน่า" กัญจะกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ "ยักษ์เหรอ? เจ้าหนูนี่คืออวตารของยักษ์เหรอ?"
จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร ในเมื่อยักษ์เจ้าของสัญลักษณ์เช่นนี้สูญสลายไปแล้วทั้งเผ่า
พงศ์พันธุ์ยักษาเลือดแท้ที่เหล่าเทวาแทบพลิกแผ่นดินหา…
นักเวทย์เฒ่ามองเด็กน้อยด้วยแววตาที่สับสนอยู่ครู่หนึ่ง หากเขาสามารถส่งเด็กคนนี้ให้ราชาได้ โทษของเขาอาจได้รับการผ่อนปรน อาจไม่ต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ
แต่...หากส่งตัวเด็กคนนี้ไปแล้ว อนาคตของเจ้าหนูจะเป็นอย่างไรต่อไปกัน? จะถูกสังเวยแก่เทพเหล่านั้นจนมิทันได้เติบใหญ่หรือไม่?
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นเมื่อเด็กน้อยเห็นว่าคนที่อุ้มตนอยู่ทำนิ่วคิ้วขมวดไม่หยุด ได้ยินเสียงนั้นกัญจะก็ได้สติกลับคืน เขาถอนหายใจออกมาบาง ๆ ยิ้มให้ความคิดเลื่อนเปื้อนของตัวเองเมื่อครู่ แล้วโอบกอดเด็กน้อยแนบอก
"เอ็งเป็นหลานข้าแล้วเจ้าเด็กหน้าเป็น จากนี้ไปปู่จะดูแลเอ็งเอง"
แม้กัญจะจะรู้ว่าสัตตะคือยักษ์อวตาร เป็นเผ่าพงศ์สาบสูญที่เหล่าเทวาแทบพลิกแผ่นดินหา แต่กัญจะก็เลือกที่จะซ่อนเด็กคนนี้ไว้เพราะไม่รู้ว่าหากส่งให้เหล่าเทพไปเด็กคนนี้จะเป็นอันตรายหรือเปล่า นักเวทย์เฒ่าคิดว่ามันคงเป็นพรหมลิขิตที่เด็กคนนี้อวตารมาในเผ่าไดรแอดส์ เพราะหากเกิดบนผืนแผ่นดินปกติด้วยพรภูมิแห่งยักษาที่สูงส่งนี้คงถูกระบบของรัฐบาลจับได้ทันที
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของปู่หลานบุญธรรมคู่หนึ่ง และอีกเหตุผลที่กัญจะไม่ยอมส่งสัตตะให้เหล่าเทพเด็ดขาดก็อาจเป็นเพราะความคับแค้นที่ตนมีกับพวกเทพเหล่านั้น เขาสิ้นศรัทธาในเหล่าเทวา จึงยิ่งไม่คิดทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อพวกมัน ทั้งที่เขาไม่เคยคิดร้ายต่อบ้านเมืองแต่กลับถูกโทษประหารโดยไม่ฟังคำอุทธรณ์เพียงเพราะแอบร่ำเรียนเวทย์ศาสตร์ต้องห้ามของเหล่ายักษ์
เวลาผ่านผันจนเด็กน้อยเติบใหญ่ กัญจะสั่งสอนทุกอย่างแก่สัตตะแบบไม่หวงวิชาในป่าอสูร ครั้นเมื่อเด็กน้อยเติบใหญ่ความเป็นไดรแอดส์เผ่าพันธุ์ที่หายากก็ยิ่งปรากฏชัด เรือนผมสีเงินยวง ดวงตาสีเพลิงผลาญ ผิวพรรณราวแสงจันทร์สุกสว่าง ดวงหน้าสวยสดราวหยดน้ำค้างกลางป่าลึก กลิ่นกายหอมเย็นคล้ายดอกพุดซ้อนตามชาติกำเนิด แม้จะอายุเพียง 6 ขวบแต่สัตตะก็ช่างงามสะดุดตา แถมพรภูมิแห่งยักษาก็ยิ่งทำให้เด็กน้อยมีพลังที่กล้าแกร่ง กำจัดอสูรชั้นล่างที่เข้ามาในเขตของบ้านได้อย่างสบาย และเพราะพรภูมิแห่งยักษ์นี่แหละจึงทำให้สามารถจดจำมนต์มารที่กัญจะสอนได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ครั้งแรก
'สมกับที่เป็นอวตารแห่งยักษ์ แค่มนตร์มารของเหล่ายักษ์พวกนี้คงเป็นเรื่องง่าย ๆ สินะ'
กัญจะภูมิใจในตัวเด็กน้อยมาก แต่ก็นั่นแหละ เขารู้ดีว่าถ้าอยากให้สัตตะได้เติบโตมีชีวิตต่อไป จะต้องไม่เปิดเผยเรื่องที่เด็กน้อยมีพรภูมิแห่งยักษ์นี้ เรื่องที่เป็นไดรแอดส์ก็เช่นกัน เพราะการเป็นจุดเด่นในโลกนี้ถ้าไม่แกร่งจริงได้ตายไม่ดีแน่
ดังนั้นเมื่อถึงวัยที่สัตตะต้องเข้าโรงเรียนกัญจะจึงใช้พลังของตนผนึกพรภูมิในร่างของเด็กน้อยไว้รวมถึงการแปลงรูปกายให้สัตตะกลายเป็นเพียงเด็กมนุษย์ธรรมดา
ทว่าในการนั้นกัญจะต้องแลกด้วยอายุไขครึ่งหนึ่งของที่เหลืออยู่ ทำให้ตอนนี้นักเวทย์เฒ่าเหลืออายุอยู่อีกแค่ 25 ปี แต่เพียงแค่นั้นกัญจะก็พอใจ เพราะยังมีเวลาเหลือพอให้เขาได้เห็นหลานรักเติบใหญ่
'คุณปู่' แค่เพียงคำเรียกขานง่าย ๆ ของเด็กน้อย เขาก็พร้อมแลกทุกอย่างแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่สัตตะต้องเข้าโรงเรียน กัญจะก็แปลงกายตนเป็นคนธรรมดาแล้วย้ายออกจากป่ามาอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ข้างกำแพงเมืองหลวงเพื่อที่จะให้สัตตะได้เข้าเรียนหนังสือ
เพราะถูกเก็บซ่อนพลังและสัตตะก็เชื่อฟังกัญจะเป็นอย่างดี เขาจึงอยู่ในโรงเรียนของมนุษย์ธรรมดาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีใครระแคะระคายถึงพรภูมิที่เขามี เด็กน้อยใช้ชีวิตในหมู่บ้านของมนุษย์อย่างมีความสุขตามประสาปู่หลานกับกัญจะ จวบจนเจริญวัยกลายเป็นหนุ่มน้อย
และหากกล่าวถึงเมืองอินทรา หนึ่งใน 5 ประเทศใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่บนพิภพนี้ ขอบขัณฑ์ถูกล้อมด้วยกำแพงเมืองสูงสง่าและแข็งแกร่งจนไม่สามารถทุบทำลายได้โดยง่าย เหนือกำแพงเมืองขึ้นไปเป็นบาเรียสกัดภัยที่สร้างครอบทับตัวเมืองเอาไว้เพื่อป้องกันเหล่าอสูรสามานย์มารุกราน ในกำแพงเมืองนั้นอุดมไปด้วยความศิวิไลซ์และทันสมัย ผู้คนที่สามารถอาศัยอยู่ในกำแพงนั้นได้คือคนที่ชนชั้นปกครองอย่างเทวาได้คัดเลือกแล้วเท่านั้น ผู้ที่ถูกเทวาตัดสินว่านอกรีต เป็นภัยและไร้ประโยชน์ต่อการพัฒนาเมืองก็จะถูกกำจัดออกมานอกกำแพงที่ไร้การปกป้อง
แต่ก็นั่นแหละ คนชั่วย่อมอยู่ทุกที่ หากมีอำนาจในมือทุกสิ่งทุกอย่างก็หอมหวาน และชนชั้นปกครองเพียงหยิบมือนั้นก็ไม่ได้ลงมาให้ความสนใจมากนัก ดังนั้นการคัดคนแท้จริงจึงเป็นระบบใครมีใครได้ ใครจ่ายใครอยู่ เหล่าคนพาลที่มีทรัพย์สมบัติจึงได้อยู่สุขสบายในรั้วกำแพง แต่คนดีที่ไร้ฐานะกลับถูกถีบหัวส่ง
มนุษย์และลูกผสมที่ไร้พลังบางส่วนถูกเนรเทศอย่างไร้ความยุติธรรม ต้องออกมาอยู่ในหมู่บ้านนอกกำแพงเมืองแล้วสร้างนิคมขนาดย่อม ๆ ของตัวเองขึ้น โดยจัดระบบเตือนภัยอสูรตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาคนในนิคมแร้นแค้นนี้ด้วยกำลังของกันและกัน
การสูญเสียเกิดขึ้นทุกครั้งที่อสูรบุกมา ตอกย้ำว่าพวกเขาช่างไร้เรี่ยวแรงเพราะต่างก็เป็นเพียงเผ่าพงศ์ที่ถูกทอดทิ้ง ไร้พรภูมิแห่งเทวา ไร้ซึ่งพลังป้องกันตัว ความโกรธแค้นต่อคนในกำแพงนั้นมีมาก แต่ก็ต้องเก็บงำเอาไว้อย่างผู้พ่ายแพ้ และเมื่อนิคมของพวกเขาขยายตัวกว้างขึ้น จำนวนคนเยอะขึ้นก็เหมือนจะไปกระตุ้นให้คนในกำแพงนั้นตื่นกลัวว่านอกจากอสูรแล้วอาจโดนความเกลียดชังของชนชั้นนอกกำแพงนี้เล่นงาน สุดท้ายชนชั้นปกครองจึงมีคำสั่งให้ส่งนักรบและเหล่าผู้ปกป้องที่มีพลังแห่งพรภูมิและได้รับการฝึกฝนผลัดเปลี่ยนมาประจำการที่หมู่บ้านนอกกำแพงเหล่านี้
แต่มันไม่ใช่เพื่อปกป้องพวกเขาจากเหล่าอสูรร้ายหรอก แต่เพื่อคอยจับตาควบคุมไม่ให้ประชาชนนอกกำแพงนี้กล้าเหิมเกริมเข้าร่วมกับอสูรแล้วหวนทำลายบ้านเมืองต่างหาก
กัญจะพาสัตตะย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งจากกว่า 100 หมู่บ้านนอกกำแพงเมืองที่เรียกว่าเขตบีเจ็ด หมู่บ้านนี้มีมนุษย์และอมนุษย์เผ่าอื่นอยู่ประมาณ 100,000 คนเศษ มีทหาร (ไม่มีพรภูมิ) ปกป้องหมู่บ้านอยู่ 500 คน และการ์เดี้ยน หรือ ผู้ปกป้องที่มีพรภูมิจากในกำแพงคอยพิทักษ์อยู่ 18 คน
กัญจะเลือกเขตนี้เพราะเขารู้ดีว่าในบรรดาเขตทั้งหมดแม้เขตบีเจ็ดจะมีอัตราการถูกบุกของอสูรสูงติดหนึ่งในสิบ แต่อสูรที่บุกมาล้วนเป็นอสูรชั้นล่าง ถ้าเทียบกับบางเขตที่มีการบุกต่ำแต่แรงค์อสูรสูงนั้น การเลือกเขตนี้จึงค่อนข้างปลอดภัยสำหรับพวกตนปู่หลานที่มีพลังเวทย์ติดตัว
มิหนำซ้ำ การ์เดี้ยนที่พิทักษ์เขตนี้ทั้ง 18 คน ก็มีแค่คนที่เป็นหัวหน้าคนเดียวที่มีแรงค์ B นอกนั้นก็แค่แรงค์ D-E คนพวกนี้ไม่มีสกิลตรวจจับพลังเวทย์ขั้นสูงหรือมนตร์มาร จึงยิ่งทำให้กัญจะรู้สึกสบายใจ เพราะจำนวนและแรงค์ของการ์เดี้ยนแต่ละเมืองไม่เท่ากัน ด้วยแยกตามความเสี่ยงและแรงค์ของอสูรที่มาบุกประจำทำให้กัญจะสามารถเลือกเมืองที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัวตนได้อย่างไม่ผิดพลาด
สองปู่หลานอาศัยอยู่ที่เขตบีเจ็ดนี้จนกระทั่งสัตตะเติบใหญ่ ชายหนุ่มกำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย พรภูมิตื่นขึ้นมาพอสมควรและมนตร์มารเองก็พัฒนาขึ้นจนถึงขีดสุดแล้ว สัตตะสามารถเรียกพลังออกมาใช้ได้ทุกเมื่อแม้จะถูกผนึกไว้แถมยังเรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนมันอย่างแนบเนียน กัญจะเองก็ไม่เหลือสิ่งใดที่ต้องสอนสั่งเจ้าหลานคนนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทั้งสั่งสอนและบอกเล่าทุกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวของสัตตะให้เจ้าตัวได้รู้แบบไม่ปิดบัง
อีกอย่าง...เขาเหลือชีวิตอีกเพียง 12 ปี
...ช่างแสนสั้น
นักเวทย์เฒ่าเล็งเห็นว่าตนคงไม่อาจอยู่ปกป้องหลานรักคนนี้ได้อีกนานนัก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะส่งสัตตะไปไว้ในที่ที่อันตรายที่สุด เพื่อที่จะได้ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนที่สุด
ที่แห่งนั้นก็คือ...มหาวิทยาลัยของเหล่าผู้ที่ได้รับพรภูมิ
โดยปกติผู้มีพรภูมินั้นจะสามารถพบเจอตั้งแต่แรกเกิด เพราะเหล่าผู้ได้รับพรจะเกิดมาพร้อมสัญลักษณ์ แต่ก็มีผู้ได้รับพรภูมิบางคนที่สัญลักษณ์ปรากฏช้า แม้จะมีน้อยมากแต่ก็เคยมีปรากฏให้เห็นอยู่
เด็กที่ได้รับพรภูมินั้นจะถูกดูแลอย่างดีโดยรัฐบาลของเหล่าชนชั้นปกครอง เพราะถือว่าเป็นขุมกำลังในการปกป้องบ้านเมือง บ้านใดที่ให้กำเนิดเด็กที่มีพรภูมิออกมาจะถือได้ว่าได้รับโชคใหญ่ เพราะครอบครัวของผู้มีพรภูมิจะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลในการคุ้มครองดูแลและให้สวัสดิการที่เหนือกว่าครอบครัวทั่วไป
โดยส่วนใหญ่เด็กที่มีพรภูมิจะเกิดในเมืองหลวง แต่ก็มีอยู่บ้างที่ปรากฏในครอบครัวที่อยู่ภายนอกกำแพงเมือง และก็เช่นเดียวกัน ครอบครัวใดสามารถให้กำเนิดเด็กที่มีพรภูมิได้ก็จะได้ย้ายกลับเข้าภายในกำแพงเมืองและได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้...ไม่ว่าครอบครัวนั้นจะต้องการหรือไม่ ก็ไม่มีสิทธิปฏิเสธการได้รับสวัสดิการความคุ้มครองนี้ และยังไม่เคยปรากฏคนที่ขัดขืนมาก่อน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมยินดีที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในฐานะพลเมืองในรั้วกำแพงอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรก็สบายและมั่นคงกว่าการใช้ชีวิตอย่างระส่ำระสายที่ภายนอกนั่น
เพราะเหตุนี้ กัญจะจึงตัดสินใจสลักสัญลักษณ์พรภูมิอันใหม่ให้แก่หลานรัก โดยแลกกับอายุขัยทั้งหมดที่เหลืออยู่ของตน เมื่อสัตตะรู้เรื่องนั้นเขาก็ไม่ยินยอม ไม่มีทางที่จะยอมรับได้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าปู่ของตนเหลือเวลาอีกแค่ 12 ปี และสัตตะก็ตั้งใจที่จะให้ 12 ปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด…
ทว่า...ท้ายที่สุดแล้วในเช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกสลักสัญลักษณ์แห่งพรภูมิลงบนตัวแล้ว โดยมีปู่ของตนนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจอยู่ข้าง ๆ พร้อมคำสั่งเสียว่าให้ตนเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวง มหาลัยสำหรับเหล่าผู้มีพลัง ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ได้รับพรมันจึงสามารถซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงของสัตตะได้ไม่ยาก
สิ้นคำสั่งลา กัญจะก็หมดลมหายใจ ร่างจิตของนักเวทย์เฒ่าล่องลอยสู่ความเป็นนิรันดร์ ทิ้งไว้เพียงสังขารแปลงที่ไร้ลมหายใจไว้ให้สัตตะได้ทำพิธีศพอย่างคนปกติเพื่อตบตาคนในหมู่บ้าน
สัตตะจำไม่ได้แล้วว่าเขาร้องไห้จนใจแทบขาดอยู่กี่วัน ในบ้านโทรม ๆ หลังน้อยนั้นมันมีแต่กลิ่นอายของปู่ ทั้งของใช้ ทั้งภาพจำ มันยังคงอยู่ในนั้นครบครันทุกอย่างเสมือนว่าเจ้าของมันไม่ได้จากไปไหน ยิ่งเห็นสัตตะก็ยิ่งร่ำไห้ด้วยความทรมาน เขาคือเด็กถูกทิ้ง ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกขับไล่ ครอบครัวเพียงคนเดียวในชีวิตที่คอยปกป้องรักษามาแต่เยาว์วัยวันนี้ก็กลับทอดทิ้งกันไปอีกครั้ง
มันอ้างว้างและแสนเศร้า เมื่อกอดผ้าคลุมไหล่ขาด ๆ ของปู่ไว้แน่น ก็รู้สึกได้ถึงคำพูดต่าง ๆ ที่ปู่คอยพร่ำสอนมาตลอด
'ไอ้สัตตะเอ๋ย เอ็งมันเป็นเด็กพิเศษที่เกิดมาพร้อมพรภูมิสูงส่ง แบบที่ปู่เองก็ไม่เคยพบพานที่ใดมาก่อน นั่นยิ่งทำให้พลังเวทย์ของเอ็งสูงล้ำเหนือผู้ใดจนสามารถร่ำเรียนจนสำเร็จทั้งมนต์ขาวและมนต์ดำของปู่จนสิ้นตั้งแต่อายุยังไม่ทัน 15 ปีเลย แถมตอนนี้พลังในกายเอ็งนั้นก็เสถียรจนหลอมเป็นเนื้อเดียวกับวิญญาณที่เอ็งจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ปู่มั่นใจเหลือเกินว่าพลังระดับเอ็งในตอนนี้แม้แต่พวกแรงค์ S ก็อาจไม่ชนะเอ็งแล้วก็ได้'
'รู้ตัวหรือไม่ว่าเอ็งน่ะเป็นเด็กกำพร้าที่โชคดีที่สุดในปฐพีนี้แล้ว ไม่มีเด็กคนไหนหรอกที่จะได้รับการสอนสั่งแบบตัวต่อตัวจากนักเวทย์ขั้นปรมาจารย์ที่มีเพียง 8 คนบนแผ่นดินเช่นปู่ ฮ่าฮ่าฮ่า'
'จำไว้ให้ดีเถิดหนาหลานรักของปู่ อย่างที่ปู่เคยพร่ำบอกหลานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ห้ามหลานแสดงมนต์มารให้ใครเห็นเป็นอันขาด จงให้เห็นเพียงเวทย์ธรรมดาที่พอช่วยให้หลานทำงานได้ มนต์มารนั้นจงเก็บงำเอาไว้ให้ลึก เก็บเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเองยามมีภัยเท่านั้นพอ และที่สำคัญ...'
'อย่าให้ใครเห็นพลังของหลาน อย่าได้ผูกพันธะกับเหล่าเทวาโดยเด็ดขาด'
'อย่าได้มีชะตาชีวิตเช่นปู่'
'และอย่าได้ตื่นกลัวไปเลย ปู่จะคอยปกปักรักษาหลานจากบนฟ้าเอง…'
'จงใช้ชีวิตให้มีความสุขเถิดหนา...เจ้าตัวแสบหลานปู่'
สัญลักษณ์พรภูมิที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในวัย 18 ปี ทำให้ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีคนจากรัฐบาลมารับตัวของสัตตะเข้าไปในรั้วกำแพง และเขาก็จะได้รับสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกับผู้อื่นในกำแพงนั้น
ทว่า…ความเท่าเทียมที่ว่า กลับเป็นแค่คำสวยหรู เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงมีลำดับขั้น
พรภูมิของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนได้ครองพลังยิ่งใหญ่ บางคนก็ได้รับมาเพียงน้อยนิด จึงทำให้เกิดการจัดระดับแรงค์ขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกชนชั้นของเหล่าผู้ได้รับพร เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกแจกแจงสวัสดิการและเพื่อง่ายต่อการส่งออกรบ โดยแยกเป็นแรงค์ F ถึง SSS
แรงค์ F คือผู้มีพลังชั้นล่างสุด แข็งแกร่งกว่ามนุษย์กับอมนุษย์ทั่วไปก็จริงแต่ก็ต่อสู้ได้เพียงอสูรชั้นต่ำ ฟื้นฟูได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเจออสูรที่ระดับแรงค์เกินตัวเองขึ้นไปก็มีแต่ตายสถานเดียว ส่วนพลังของแรงค์อื่น ๆ ก็ตามลำดับขั้น การกำหนดแรงค์ก็เพื่อช่วยให้รู้ว่าตนสามารถรับมือกับอสูรประเภทอะไรได้บ้าง
นับตั้งแต่แรงค์ F ถึง A คือนักรบ ส่วนชนชั้นตั้งแต่แรงค์ S ขึ้นไปนั้นถือว่าเป็นสมบัติของชาติ แรงค์ SS มีเพียง 5 คนบนโลก คือผู้ปกครอง หรือราชาของประเทศ ส่วนแรงค์ SS และ SSS นั้น ถือเป็นตำนานที่ยังไม่มีเคยปรากฏตัวจริง
แรงค์ของพรภูมินี้จะเริ่มวัดเมื่อเด็กอายุได้ 12 ปีที่ถือว่าพรภูมิได้ทำงานอย่างเต็มกลไกแล้ว ซึ่งก็คือตอนจบประถมหก แล้วพอเข้าชั้นมัธยมต้นก็จะต้องแยกชั้นกันเรียนตามแรงค์ที่ตนถือครอง
โดยแรงค์ของพรภูมิจะไม่มีการเปลี่ยนตั้งแต่เกิดจนตาย
แน่นอนว่าจากการจัดลำดับเช่นนี้ สัตตะได้อยู่แรงค์ F อย่างน่าสงสาร เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างเลียนแบบขึ้น แม้จะแลกกับอายุขัยผู้สร้าง แต่ ณ ขณะนั้นกัญจะที่เหลืออายุขัยแค่ 12 ปีก็ไม่เหลืออำนาจมากพอที่จะสร้างสัญลักษณ์ที่เกินกว่าแรงค์ F ได้ การนั้นทำให้สัตตะบ่นวิญญาณปู่มาจนถึงปัจจุบันว่าถ้าจะทำก็ขอเป็นแรงค์ B หรือ C ก็ยังดี เพราะจะได้สวัสดิการและเงินเดือนที่เยอะกว่า แต่ที่บ่นก็เพราะโกรธไม่หายที่ปู่เลือกทิ้งตนไปทั้งที่ตนไม่ต้องการแท้ ๆ ไม่เห็นอยากได้เสียหน่อย
ในตอนนั้นสัตตะไม่เข้าใจถึงเจตนาของกัญจะว่าเพียงแค่ต้องการปกป้องหลานคนนี้ให้ปลอดภัย เพราะถ้าแรงค์ต่ำก็จะไม่ต้องเผชิญอันตราย ต่อให้สัตตะจะมีพลังแท้จริงสูงส่งเพียงใด แต่การใช้งานพลังนั้นก็เป็นภัยเกินไปเพราะเป็นพลังต้องห้าม ซึ่งตัวสัตตะเองถึงแม้จะเจ็บใจอยู่บ้างแต่เขาก็เชื่อในคำสอนของปู่ทุกอย่าง เขาจึงตัดสินใจอย่างง่ายดายว่าจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในหมู่แรงค์ F ด้วยกัน
ทว่า...เพราะสัตตะเป็นเด็กใหม่ในมหาวิทยาลัยของเหล่าผู้รับพร และเป็นผู้ที่มีสัญลักษณ์ปรากฏช้า 1 ใน 2 คนที่เข้ามาใหม่ปีนี้ มันจึงยิ่งทำให้สัตตะในสายตาของระดับเดียวกันก็ยังโดนเหยียด
เพราะปกติคนที่มีสัญลักษณ์แห่งพรภูมิจะได้รับการฝึกตั้งแต่เด็ก ดังนั้นต่อให้เป็นแรงค์ F ก็ถือว่ามีฝีมือในการต่อสู้ที่เอาชนะอสูรชั้นต่ำได้อย่างสบาย ผิดกับสัตตะที่เพิ่งถูกปลุกพลังทั้งยังแรงค์ F จึงน่าจะไม่เคยได้รับการฝึกฝนใด ๆ โดยเฉพาะจากนอกกำแพงเมืองนั่นมาก่อน
ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ในระดับเดียวกันเขาก็คือกากในกากอย่างแท้จริง
อีกอย่างถ้าเทียบตามสัดส่วนของผู้ได้รับพรภูมิแล้ว ผู้ได้รับพรภูมิแรงค์ F นั้นไม่ได้เยอะมาก เพราะส่วนใหญ่จะได้รับพรเริ่มต้นที่แรงค์ D พวกแรงค์ F จึงเป็นชนกลุ่มน้อยที่โดนเหยียดแล้วเหยียดอีก แม้แต่พวกมนุษย์เองก็ยังเหยียด (เพราะกากแต่ดันได้รับสวัสดิการที่เหนือกว่าคนทั่วไป ถึงจะไม่มากก็เถอะ)
ผู้ที่มีสัญลักษณ์ปรากฏช้าปีนี้มีเพียง 2 คน คือสัตตะแรงค์ F กับอีกคนที่เป็นเผ่านาคาที่อยู่แรงค์ A เหตุการณ์นี้ทำให้มีคนสงสารสัตตะอยู่ไม่น้อย เพราะแม้จะมีคนที่สัญลักษณ์เกิดช้าเหมือนกันแต่อีกคนดันเทพกว่ามาก เพราะอยู่ในแรงค์ A ที่เกือบจะเรียกว่าเป็นสมบัติชาติ ผิดกับสัตตะที่นอกจากพลังจะปรากฏช้าแล้วยังแรงค์ F โคตรกระจอก ทำให้นอกจากชั้นเรียนปกติแล้ว สัตตะยังต้องเข้าคลาสเรียนเสริมเพื่อเพิ่มความรู้เกี่ยวกับพลังของพรภูมิใหม่ตั้งแต่ต้น
กล่าวถึงสัตตะที่ร่างจริงเป็นไดรแอดส์ ความงามชวนตะลึงนั้นได้ถูกสัตตะใช้พลังซ่อนเร้นไว้ เมื่อก่อนจะเป็นกัญจะที่ร่ายเวทย์แปลงกายให้ ทว่าเมื่อปู่จากไปมนตร์จำแลงกายก็หายไปด้วย สัตตะจึงจำต้องอำพรางด้วยตัวเอง และคงเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ของกัญจะที่พร่ำสอนสัตตะทุกบทเรียนแต่ดันลืมเน้นย้ำความสำคัญของการแปลงกาย เพราะคุณปู่ร่ายเวทย์จำแลงค้างไว้บนตัวของสัตตะตั้งแต่เด็กจนลืมไปแล้วว่าสัตตะจำแลงกายอยู่
ดังนั้นเมื่อปู่จากไปร่างจริงของสัตตะก็ปรากฏ
เช้าวันหนึ่งสัตตะยืนส่องกระจกพลางพินิจพิจารณาตัวเอง ภาพสะท้อนในนั้นคือภูตินางไม้แสนงดงามทั้งที่เป็นชาย เรือนผมสีเงินยวงยาวสลวย ดวงตาสีเพลิง ดวงหน้าสะอาดหมดจดงดงามราวกับอิสตรี แม้ยามนี้สัตตะจะอายุ 18 ปีเต็มแล้วแต่รูปร่างหน้าตาในร่างของไดรแอดส์ยังคงสะโอดสะองไม่ต่างจากผู้หญิง
รูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้เห็นมานานเพราะอยู่ในร่างจำแลงมาตลอดทำเอาสัตตะได้แต่ถอนหายใจ ต่อให้ในหมู่ผู้มีพรภูมิด้วยกัน เผ่าพันธุ์ไดรแอดส์ก็ยังเด่นเกินไปด้วยความลึกลับและรูปร่างหน้าตา แถมยังเป็นผู้ชายอีก แบบนี้ยิ่งอยู่ยาก สัตตะจึงรีบใช้เวทย์คาถาที่ร่ำเรียนมาจากปู่จำแลงกายตนเป็นร่างชายหนุ่มตัวเล็ก เรือนผมสั้นสีดำสนิทเช่นเดิม
ทว่าการจำแลงกายของสัตตะนั้นมันไม่ได้ให้ผล 100% ตลอดเวลา บางครั้งเขาก็เผลอลืมกลบกลิ่นตัวเองอยู่บ้าง เผ่าไดรแอดส์กำเนิดจากดอกของต้นไม้แห่งชีวิตจึงทำให้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่รุนแรง อย่างเขาเองก็มีกลิ่นคล้ายดอกไม้ป่าหอมเย็นและมันก็คล้ายกับกลิ่นของผู้ฝึกฝนมนตร์มารด้วย
ดังนั้นสัตตะผู้มีร่างจริงเป็นไดรแอดส์และเป็นผู้ฝึกฝนมนตร์มารแถมยังเป็นยักษ์เลือดแท้ที่อวตารมาอีก กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขาจึงยิ่งตลบอบอวล โชคดีที่จนถึงตอนนี้เขายังปกปิดมันไว้ได้ และหากเผลอปล่อยออกมาก็เป็นช่วงที่อยู่ในฝูงชนจนระบุตัวตนไม่ได้ ยิ่งเขาที่อยู่ในแรงค์ F แถมรูปจำแลงยังธรรมดาจึงยิ่งถูกมองข้ามไปใหญ่ ถึงยังรอดมาได้จนตอนนี้
เอาวะ! ต่อให้จะโดนเหยียดไปหน่อย แต่ร่างในแรงค์ F นี้ก็มีประโยชน์พอสมควรเลยทีเดียว