หลังจากผมลองทำตัวเป็นสายหลับเสมออยู่สองชั่วโมง ก็มีสายสันติภาพคนหนึ่งสะกิดปลุกผม พร้อมส่งกล่องรับบริจาคที่เวียนไปในวงแหวนรอบนอกมาให้
หน้ากล่องเขียนไว้ว่า ร่วมต้านแนวดาวเคราะห์น้อยที่ดาราจักรเอ็นเน็ต
มันคืออะไรที่ไหนหว่า? แต่เวสต์ไม่เห็นให้เงินผมมาเลยสักเหรียญ ผมจึงไม่รู้จะเอาอะไรบริจาคเหมือนกัน
"ท่านเพิ่งกำเนิดใหม่สินะ งั้นไม่เป็นไรท่านอาจจะยังไม่สะดวก ไว้คราวหน้าก็ได้ แต่ท่าน...น้ำลายเปื้อนหมดแล้วนะ"
ชายสายสันติภาพในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยผ้าพันคอสีดำเอ่ยขึ้น ผมสั้นแสกข้างเรียบร้อยดูเป็นผู้เป็นคนแตกต่างจากผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ
แถมนอกจากจะพูดอย่างไพเราะแล้วยังกล่าวเตือนด้วยความหวังดีสมกับเป็นสายสันติภาพจริงๆ ผมเหลือบมองป้ายชื่อที่สลักบนแผ่นโลหะสีเงินตรงหน้าอกเขาระหว่างทำความสะอาดตัวเอง
'เวอร์ชูว แนวร่วมปีกสันติภาพไรโซเรีย'
เขายื่นก้อนบางอย่างให้ ผมรับมาคลี่ออกก็เห็นว่ามันเป็นผ้าพันคอ...อีกผืนหนึ่ง
"อากาศหนาวนะครับ จะนอนต้องระวัง"
เขาให้ผ้าพันคอผมงั้นเรอะ? ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน?
"เหนื่อยหน่อยนะครับที่ต้องถูกโหวตออกตั้งแต่ครั้งแรกเช่นนี้ ยังไงครั้งหน้าก็ขอให้โชคดีกว่านี้นะครับ"
เห็นอกเห็นใจผมด้วย ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน แต่ผมไม่ทันกล่าวขอบคุณ เขาก็เดินวนไปทางอื่นเสียก่อนแล้ว ทำให้ผมต้องสัญญากับตัวเองว่าครั้งหน้าผมจะเตรียมเงินมาบริจาคบ้าง ไม่ว่าดาราจักรเอ็นเน็ตมันจะอยู่ขอบไหนของจักรวาลก็ตาม
หลังจัดการตัวเองเสร็จก็ว่าจะนอนต่ออีกสักยกเพราะวงแหวนด้านในยังหาข้อตกลงกันไม่ได้เลย แต่ถ้านอนแล้วน้ำลายหยดใส่ผ้าพันคอผืนนี้ผมคงรู้สึกผิดแย่ ดังนั้นผมจึงตกลงใจเปลี่ยนสายอีกครั้ง จากสายหลับเสมอ เป็นสายโดดเสมอ...
การประชุมดูท่าจะไม่เลิกง่ายๆ เพราะคนด้านในยังตีกันไม่เลิก คนด้านนอกถ้าไม่กิน ไม่หาว ก็เดินรับบริจาค งั้นผมก็ขอแว่บสักพักแล้วกันนะ
ผมเดินออกมาเลี้ยวเข้าห้องน้ำตามธรรมเนียมก่อนจะชิ่งไปเดินสำรวจรอบๆบริเวณอันกว้างใหญ่ของสถานีอวกาศเซทราเรียส
ทางเดินกว้างขวางและตีโค้งเป็นวงกลมตามรูปทรงของสถานีอวกาศ ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่ไม่คุ้นตา เสารูปหยดน้ำ และลวดลายริ้วคลื่นของมหาสมุทร น่าจะเป็นที่นิยมของดวงดาวสักดวงหนึ่งที่ออกงบประมาณการสร้างมากที่สุดล่ะมั้ง ผมเดินไปวิเคราะห์ไปเล่นๆ จนไปสุดที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งเป็นพื้นหินใสสะท้อนภาพเนบิวล่าที่อยู่ห่างออกไปไกลกว่าร้อยยี่สิบล้านปีแสง แม้ใครจะว่างามไม่เท่าชมดูท่านประธาน แต่ว่าบรรยากาศน่ะชวนให้สงบใจกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้เลยล่ะ
แล้วฝีเท้าผมก็หยุดชะงักเมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่...หรือว่านั่นก็สายโดดเสมอเหมือนกันเรอะ? ยินดีเหลือเกินได้เจอเพื่อนร่วมสายด้วย
แต่คนที่ยืนรอผมอยู่ ไม่ใช่แค่คนเดียว เป็นกลุ่มคนที่รูปร่างเล็กๆราวกับเด็กๆ ผิวขาวราวหิมะ ดวงตากลมโตสุกใสเหมือนทารก ผมรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลจากคนตรงหน้า ได้กลิ่นหอมชวนลุ่มหลง เป็นกลิ่นที่อัลฟ่าทุกคนอยากกระโจนเข้าใส่ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นดอกไม้ที่มีพิษร้ายก็ห้ามตัวเองไม่ได้ มือไม้ผมสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกของอีสต์ตอนที่เจอผมใช้ร่างโอเมก้าชนิดพิเศษตอนนั้นผมเข้าใจแล้ว
ข้างหลังนั่นมีคนนอนหลับอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่นอนธรรมดา แต่กำลังโอบกอดกันอยู่...
ผมตกใจจนขวัญกระเจิง ระลึกได้ว่าตรงนี้มันกลางแจ้งขนาดนี้ยังลงมือกันได้ แสดงว่านอกจากสายโดดเสมอ ก็มีสายทำเรื่องบัดสีระหว่างประชุมด้วยเรอะเนี่ย ผมเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ที่ผมแน่ใจคือพวกนี้คือโอเมก้าชนิดพิเศษ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสิ่งมีชีวิตที่ระดับสูงกว่า แต่ทำไมถึงมีโอเมก้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ? ที่ที่ควรมีแต่อัลฟ่า และคนติดตามเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา โอเมก้าพวกนี้คืออะไรกัน อัลฟ่าดาวไหนแอบพกมาเพื่อหาความเริงรมย์หรือไร
แถมโอเมก้าบางคนก็นอนนิ่งสนิท ใบหน้าเล็กๆพวกนั้นไม่มีสีเลือดแล้ว พวกมันตายแล้ว...ถูกทรมานจนตาย? หรือขาดอาหาร? ขาดอาการหายใจ? ถูกใช้งานเกินกว่าที่จะรับไหว? ผมไม่รู้ แต่ผมพูดอะไรไม่ออกแล้ว รู้สึกแต่ปลายมือปลายเท้านั้นเย็นเฉียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปก็พบว่าตัวเองถูกล้อมด้วยโอเมก้าตัวเล็กๆ ที่ดูนุ่มนิ่ม ดวงตาสว่างสีเดียวกันหมดราวกับถูกผลิตขึ้นมาจากพิมพ์เดียวกัน พวกมันกำลังจ้องมาที่ผมอย่างคาดหวังว่าจะได้ทำหน้าที่
ผมสูดหายใจลึกๆ พยายามสู้กับตัวเองเต็มความสามารถแล้วกัดฟันผลักพวกมันออกไป ก่อนจะออกวิ่งไปให้ไกลที่สุด... ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะทำอะไรผมได้บ้าง เหมือนกับที่ไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรร่างเล็กๆของพวกมันได้บ้าง แต่ที่แน่ๆผมไม่รู้สึกอยากไปเข้าร่วมสายทำเรื่องบัดสีระหว่างงานประชุมแน่นอน
เคราะห์ดีที่พวกมันไม่ได้ตามมาเหมือนหมาล่าเนื้อ ผมจึงหยุดพัก พิงศีรษะที่เสากลมข้างทางพักหายใจ รู้สึกขอบคุณที่สัญชาตญาณอัลฟ่าของผมมันห่วยแตกทำให้ผมฝืนที่จะไม่กระโดดเข้าไปหาพวกมันได้
โอเมก้าพวกนั้น...ผมอ่านสีหน้าพวกมันไม่ออกเลย มันกำลังคิดอะไรอยู่? เจ็บปวดหรือไม่? ผมไม่รู้เลย...ตัวพวกมันเองก็คงไม่มีโอกาสรับรู้ได้เช่นกัน
ความรู้สึกเสียดแทงที่กลางอกพอจะทุเลาลงไปบ้างเมื่อผมถอนหายใจแรงๆ และสะบัดศีรษะไล่ภาพเมื่อครู่ออกไป ผมต้องระลึกไว้ว่าผมสามารถช่วยเหลือได้เพียงประชากรของดาวเฟลม่า การแทรกแซงการแบ่งลำดับของดาวดวงอื่นเป็นเรื่องผิดกฎมหันต์
ผมทำได้ดีที่สุดแค่เพียง...ไม่ทำร้ายพวกมัน
ตุบ
เสียงฝีเท้าดังที่ปลายระเบียงด้านหลังผม ร่างหนึ่งยืนอยู่บนราวระเบียง ร่างกายสมส่วนดูเบาไร้น้ำหนักพร้อมจะหลุดลอยออกไปนอกอวกาศทุกเมื่อ แถมไม่มีอุปกรณ์ความปลอดภัยยึดเหนี่ยวไว้เลยด้วย ถ้าลมสุริยะพัดมากะทันหัน เขาคงลอยละลิ่วหายไปในอวกาศ
ผมไม่แน่ใจว่าควรจะร้องเตือนหรือเปล่า เพราะนี่อาจจะเป็นสายนิยมกีฬาอันตรายระหว่างการประชุมก็ได้ แต่ละคนช่างมีความสร้างสรรค์หาอะไรมาฆ่าเวลาระหว่างการประชุมได้เก่งจริงๆ แต่เล่นกีฬาอันนี้ก็เข้าท่ากว่ากิจกรรมบัดสีเมื่อครู่ละกัน ผมขอโหวตให้กีฬาผาดโผดชนะเลิศ
ผมไม่รู้ว่าคนประหลาดคนนี้กำลังมองไปที่ไหน เพราะเขาใส่หน้ากากสีดำที่ไม่มีเครื่องหน้าใดๆเลย หรือจริงๆแล้วนั่นคือใบหน้าของเขากันแน่ ผมก็สุดจะรู้ได้ แต่มันทั้งดึงดูดและน่ากลัว ไม่รู้ว่าคือเผ่าพันธ์ุไหนในจักรวาล หรืออาจเป็นแฟชั่นของดาวสักดวงก็ได้
ตุบ เปรี้ยะ
ทันทีที่คนคนนั้นก้าวลงมาจากขอบระเบียง เพียงแค่เหยียบลงมาที่พื้น รอยร้าวก็ปริแตกจากปลายเท้าดั่งแขนงรากไม้เจาะทะลุผิวดิน และแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
ผมเริ่มสงสัยว่าร่างสมส่วนของชายคนนี้ซ่อนรูปได้เก่งกาจแค่ไหน น้ำหนักจริงๆของเขาคือเท่าไร ถึงขนาดทำให้พื้นราคาแพงของภาคีเกิดรอยร้าวได้ในพริบตาแบบนี้...
พื้นใสสีส้มอ่อนค่อยๆผุกร่อน จากที่สะท้อนภาพเนบิวล่าที่สวยงาม กลับกลายเป็นสีดำอันมืดมิด
"เอ่อ..."
ผมว่ามันแปลกๆแล้วนะ และในเมื่อท่าทางเป้าหมายของคนคนนั้นคือการเดินมาทางผม ผมก็ไม่คิดว่าควรจะอยู่รอ ถ้าเกิดภาคีมาคิดค่าเสียหายของสถานีอวกาศกับผมในฐานะผู้รู้เห็นคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร
อ่า แค่ออกมาเดินเล่นผมก็เจอแต่เรื่องแปลกๆหลายเรื่องแล้ว ผมว่าผมกลับไปอยู่สายหลับในท่าจะดีกว่านะ
ขณะที่ผมเตรียมชิ่งกลับห้องประชุม เสียงเรียกจากด้านหลังก็กระซิบแผ่วเบาราวภูตพรายเรียกหา
"ไนท์.."
และก็ทำให้ผมขาแข็งก้าวไม่ออกในฉับพลัน
เขาเรียกชื่อท่านไนท์? เขาเรียกผมเป็นท่านไนท์อยู่งั้นเรอะ?
ผมหันกลับไปข้าๆ ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม
"นายรู้จักไนท์...ไม่ๆ ผมหมายถึงเรารู้จักกันงั้นเรอะ?"
"…"
มันเงียบงันและเดินเข้ามาทีละก้าวๆ โดยที่ผมไม่อาจถอยหนีเพราะความสงสัยฉุดรั้งเอาไว้ แม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ทำไมกัน...เพียงแค่เสียงเรียกนี้กลับทำให้ผมตัวสั่นได้...ทั้งๆที่อาเบลทั้งชาร์ลเองก็รู้จักท่านไนท์ แต่ทั้งหมดที่ผมรู้สึกก็เพียงแค่กลัวความแตกเท่านั้นบวกกับหวั่นเกรงบ้างนิดหน่อย ไม่เหมือนในตอนนี้
คนคนนี้...ใครกัน อัลฟ่าของดาวไหน คนรู้จักของท่านไนท์? เขาเกี่ยวข้องกับท่านไนท์ยังไง
"นายเป็นใครน่ะ ขอโทษด้วยแต่ผมจำนายไม่ได้"
ผมพยายามเริ่มบทสนทนาที่เข้าท่า แต่มันกลับไม่ตอบสนองสักคำหนึ่ง เพียงแค่มายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วยื่นมือออกมาช้าๆ ปลายนิ้วเรียวที่ซีดเซียวกำลังจะแตะใบหน้าของผม
นี่ผมควรจะทำยังไง? มันอาจเป็นการทักทายประจำดาวสักดวงหรือเปล่า ผมอยากถอยหนี ปัดมือนั่นออกแม้มันจะเป็นการเสียมารยาท สัญชาตญาณร้องบอกตลอดเวลาว่าสิ่งนี้...อันตราย มันกรีดร้องให้ผมหนี แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมันก็เหมือนเวลาเจอกับจักรพรรดิอาเบล หรือความไม่แน่นอนอะไรสักอย่าง ที่ต่อให้ลึกๆในใจผมอยากหนีมากขนาดไหน ผมก็ต้องยืนหยัดอยู่ตรงนั้นในฐานะท่านไนท์ ต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างในฐานะอัลฟ่า
ห้ามหนีแม้จะหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม นี่คือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองเสมอ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ฉับ
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมือข้างนั้นกระเด็นตกลงบนพื้น สลายเป็นเศษฝุ่น มนุษย์หน้ากากถอยไปเล็กน้อย มันก้มมองมือที่หายไปด้วยความเฉยเมย
"อย่าปล่อยตัวเองให้ตกเป็นเหยื่อ ไม่ใช่คำคมของนายหรอกเรอะอิกไนท์"
ผมผละจากความงุนงงแล้วเงยหน้ามองคนที่มาขวาง
เขาคือสายสันติภาพคนนั้น เวอร์ชูว ปีกอะไรสักอย่าง บุรุษที่เดินรับบริจาคด้วยรอยยิ้มเทพบุตร และแม้แต่ตอนที่ตัดมือคนอื่นกระเด็นไป เขาก็ยังยิ้มด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา พร้อมกับโยนกล่องบริจาคใส่มนุษย์หน้าดำคนนั้น
กล่องที่มีเศษเงินอยู่ สั่นกรุ๊งกริ๊งคลี่ตัวออกกลายเป็นเส้นไหมโลหะที่แข็งแกร่งเข้าล็อคตัวมันไว้แน่นหนา
"ที่นี่มีอัลฟ่ามารวมกันหนาแน่น คงจะดึงดูดความสนใจของมันไม่น้อย"
เขาเอ่ยพลางหันมายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น
"มันถึงได้ออกล่า..."
ล่า..?
"นายหมายถึง?"
ล่าอัลฟ่า? หรือว่ามันคือ...
"เจ้านี่คือสัตว์ประหลาดที่คนอื่นๆพูดถึงงั้นเรอะ!"
"ยังมีตัวอะไรในจักรวาลนี้ที่ล่าอัลฟ่าได้อีกล่ะ แถมกล้ามาโผล่ในที่ที่จำนวนอัลฟ่าต่อตารางนิ้วหนาแน่นที่สุดด้วย"
บุรุษสันติภาพตอบให้คำตอบผมด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี แต่ผมกำลังตกตะลึง! ภาคีปล่อยให้ตัวอันตรายพรรค์นี้มาเดินเล่นอยู่ในสถานที่ประชุมง่ายๆได้ยังไงกัน
แล้วถ้าเมื่อกี้ผมปล่อยให้มันแตะใบหน้าผม ผมคงจะแหลกสลายไปเลยสินะ พลังที่กลืนกินอัลฟ่า และกลืนกินดวงดาว น่ากลัวขนาดไหนผมไม่กล้าคาดเดาเองเลย
ครืนนน
แล้วร่างมันก็เปลี่ยนแปลงไป จากร่างสูงสีดำทั้งตัวย่อหดลงมาเหลือแค่สี่ฟุต ผิวสีขาวกระจ่าง ดวงตากลมโตที่ใสสว่าง ใบหูยาวและเส้นผมสีขาวยาวละพื้น รวมทั้งขนบางๆตามตัวที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์
ผมอ้าปากค้างไปอีกครั้งเมื่อมันเลียนแบบร่างโอเมก้าของผม แทบจะเหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งตำหนิของสีผิว ร่องรอยที่ควรมีแต่ผมและไม่กี่คนที่รู้
เป็นไปได้ยังไงกัน?
"มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนรูปร่างตัวเองได้เหมือนอัลฟ่าเลย มันกินอัลฟ่าไปกี่คนแล้วนะ"
เวอร์ชูวเอ่ยเหมือนชมดูละคร แล้วหัวเราะ
"เมื่อกี้ที่ผมผ่านมา เห็นอัลฟ่าเป็นซากอยู่สองสามคนนะ มันคงแปลงเป็นโอเมก้าพันธุ์พิเศษเพื่อหลอกล่ออัลฟ่าที่ขาดการควบคุมตัวเอง มิน่าถึงได้มีหลายคนพลาดท่าเสียทีให้กับมัน แต่มุขนี้ใช้ไม่ได้ผลกับผมหรอก"
สายโซ่รัดแน่นขึ้น แต่มันยังยืนนิ่งอยู่ ดวงตากรอกกลิ้งไปมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน โซ่ที่ล็อครอบตัวมันไว้เริ่มผุกร่อนสลายไปในอากาศช้าๆ เหมือนถูกน้ำกรดรุนแรงราดใส่
มันจะหลุดออกมาแล้ว!!
ผมว่าเราควรจะหนีได้แล้วนะ ล่อมันเข้าไปในห้องประชุมให้เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ตัวปัญหาที่พวกนายถกเถียงกันอยู่น่ะ มาเดินเล่นอยู่ตรงนี้แล้วนะ พวก!!
"ไนท์..."
ผมสะท้านอีกครั้ง ผมไม่ได้หูฝาด มันเอ่ยชื่อท่านไนท์จริงๆ
"นายรู้จักมันงั้นเรอะ?" เวอร์ชูวเองก็ไม่ได้หูฝาด
"ไม่ ผมไม่รู้จัก" ผมรีบปฏิเสธความเกี่ยวข้องอย่างไม่ต้องคิด แต่นายสันติภาพก็แค่ยิ้มบางให้
"แต่ดูมันรู้จักนายนะ ไนท์"
ผมส่ายหน้าเอาเป็นเอาตาย ใครจะไปรู้จักมักจี่กับสัตว์ประหลาดที่กินดาวทั้งดวง การมีความเกี่ยวข้องกับมันคงไม่ใช่เรื่องดี ต่อให้ผมไม่ค่อยฉลาดแต่เรื่องแค่นี้ผมก็คิดได้หน่า
"อืม ถ้างั้นนี่งั้นก็แปลได้อย่างเดียวว่า..." เวอร์ชูวจิ้มหน้าผากผมเบาๆ
"นายไม่ใช่ไนท์สินะ"
ผมสะดุ้งเฮือก รีบปัดข้อกล่าวหานี้ทันที
"พูดอะไรของนายน่ะ ผมคืออิกไนท์ที่กำเนิดใหม่นะ"
"ผมเชื่อว่าต่อให้ไนท์กำเนิดใหม่ก็คงไม่มีวันลืมผมหรอก แต่นายน่ะไม่มีแม้แต่ความคุ้นเคยกับผมเลย แสดงว่านายคงไม่รู้จักผมสินะ แต่กลับกันกับผมที่รู้จักอิกไนท์ดี"
ทะท่านไนท์ ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นคนไม่ป๊อบปูล่าไม่ใช่หรอ นี่ผมเดินไปสามก้าวก็เจอคนรู้จักท่านมาเรียงๆกันเลยนะ ท่านไปสร้างบัญชีแค้นกับใครไว้ก็ช่วยเตือนผมก่อนบ้างนะ ผมจะได้หาวิธีเอาตัวรอดไว้เผื่อ
ผมพยายามหาข้อแก้ตัวกับเวอร์ชูว แต่ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เขาดูมั่นใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเองมาก มากจนคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆของผมนั้นไร้ประโยชน์
"เจ้านั่นทำเรื่องเพี้ยนๆอีกแล้วสินะ แต่ยังไงสำหรับผมมันก็ไม่เปลี่ยนอะไรหรอก"
เปรี้ยะ เปรี้ยง
สายโซ่แหลกสลายไปหมดแล้ว
ผมก็สงสัยและอยากฟังนายพูดต่อนะ แต่ตอนนี้ผมต้องเผ่นแล้วล่ะ...
เวอร์ชูวเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เขาแหงนหน้ามองหมู่ดาวข้างบนอย่างใจเย็น
"มาแล้วล่ะ"
แสงระยิบระยับวูบวาบเพียงพริบตาเดียว อาเบล ชาร์ล และอัลฟ่าคนอื่นๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นเหนือระเบียงกว้าง เข้าล้อมสัตว์ประหลาดตัวน้อยไว้ ดูเหมือนการประชุมจะจบแล้ว ไม่รู้ว่าเวอร์ชูวเป็นคนเรียกมา หรือมีสัญญาณเตือนภัยบางอย่างที่ร้องเตือนพวกเขาให้ออกมาจัดการกับผู้บุกรุก
สายตาอาเบลมองมาที่ผมอย่างไม่พอใจชัดเจน ส่วนชาร์ลดูประหลาดใจ
นักล่าอัลฟ่าในร่างโอเมก้าตัวจ้อยยังคงสงบนิ่ง มันไม่สนใจคนมากมายที่ล้อมมันไว้ แต่มองตรงมาหาผม
เป็นสายตาที่คล้ายกับเวอร์ชูว
ดวงตาสีดำใต้หน้ากากคู่นั้นจ้องตรงมาเพื่อมองหาบางสิ่ง...แต่ก็ไม่พบ
"ไนท์...อยู่ที่ไหน...?"