การโจมตีเปิดฉากขึ้นรอบทิศ ผมเหมือนชมดูดอกไม้ในงานเทศกาลประจำปีที่ท่านไนท์แอบพาไปเที่ยวเล่น
ร่างเล็กจ้อยของโอเมก้าสีขาวสะอาดยืนอยู่กลางวงล้อม มันไม่มีทางให้หนี แต่ใบหน้าของมันก็ไร้ซึ่งความกลัว
อันที่จริงมันดูปราศจากอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
พลังงานแสงสีเหลืองส้มที่เห็นจากปลายนิ้วอัลฟ่า ร้อนเท่าแก่นดาวเคราะห์ของพวกเขา อัลฟ่าคนอื่นๆโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ละคนมีพลังจำกัดเพราะมาจากดาวที่ห่างไกล แต่ผมกลับเห็นจักรพรรดิอาเบลลอยอยู่เหนือสุด กอดอกจับตามองเป้าหมายอย่างกินแรง เอ้ย ผมหมายถึงอย่างใจเย็น และคิดวางแผนต่างหาก
นัยตาสีทับทิมเม็ดงามเหลือบมาทางผม จนผมต้องรีบมุดหลบหลังเสา แค่กๆคือผมไม่ได้กำลังแอบส่องใต้ผ้าคลุมของท่านนะ และไม่ได้บ่นท่านในใจด้วย อย่าเขม่นผมแบบนั้นเลย
ผมชะโงกแค่ดวงตาออกไปดูลาดเลา และเพิ่งสังเกตเห็นว่าบริเวณรอบๆสิ่งก่อสร้างทั้งหมดปรากฎบาเรียนับสิบชั้นเคลือบไว้ ดีเหลือเกิน ผมรู้สึกว่าชีวิตปลอดภัยมากขึ้นเป็นกอง
แต่ไม่ว่าการโจมตีจะซัดกระหน่ำเข้าไปเท่าใด เจ้าสัตว์ประหลาดยังคงยืนนิ่ง เพราะเส้นแสงความร้อนสูงเหล่านั้นเข้าไม่ถึงตัวมันเลย มันสะกัดพลังก่อนจะถึงตัวมันด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น
"สนามแม่เหล็ก" อัลฟ่าสักคนตะโกน แล้วอีกหลายๆเสียงก็ร้องฮือฮา
ดูเหมือนว่าจะเป็นพลังขั้นสูงของระดับอัลฟ่าสินะ แต่สำหรับผมที่แค่สร้างลมยังเหงื่อตกคงไม่ต้องหวังว่าจะทำตามได้
"หลีกไป"
จักรพรรดิอาเบลเอ่ยอย่างเยือกเย็น อัลฟ่าที่บังอาจยืนบังรัศมีความงามของเขารีบหลบฉาก แล้วองค์จักรพรรดิก็ยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เหมือนกำลังคว้าบางสิ่งในอากาศ ทำไมแค่การกรีดข้อมือไปข้างหน้าถึงยังดูสง่างามเหมือนภาพวาดขนาดนี้นะ แถมมีฉากหลังเป็นเนบิวล่าที่ห่างออกไปร้อยยี่สิบล้านปีแสงก็ยิ่งขับเน้นให้ไม่อาจละสายตาไปได้
แล้วเขาก็กำมือฉับพลัน!
[ S T R I N G : CODE : S I N G U L A R I T Y ]
เกิดแรงบีบอัดบดขยี้จากรอบทิศ เป็นสนามแม่เหล็กที่รุนแรงยิ่งกว่ากำแพงที่สัตว์ประหลาดสร้าง คลื่นพลังทำให้ผมทุกเส้นตั้งชันแม้จะอยู่ในบาเรียที่ปลอดภัย
สนามแม่เหล็กจากแรงดึงดูดของใจกลางดาราจักร หลุมดำที่มีมวลมหาศาลเป็นอันดับสามของจักรวาล
ยังจะมีใครอยากเข้าไปยืนตรงนั้นอีกมั้ย...
นี่คือนิยามของบอสใหญ่ชัดๆ ยืนเฉยๆ ขยับตัวน้อยที่สุด แต่กลับได้ผลลัพธ์มากที่สุด ไม่แปลกถ้าจะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะตัวเอกอย่างสง่างาม
ร่างเล็กๆของมันเมื่อถูกบีบอัด ก็เริ่มบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่ามันพยายามใช้สนามแม่เหล็กต้านเช่นเดียวกัน
ปลายเท้ามันเรืองแสงสีฟ้าอ่อน ทำให้ทุกสายตาเบิกกว้าง
สะพานข้ามดารา?
อาเบลสบถเมื่อพบว่าเศษเสี้ยวเล็กๆของมันหนีรอดไปจากสนามพลังของเขาได้ แม้เหลือแค่อนุภาคเล็กๆก็คงจะสามารถไปเติบโตขยายร่างใหม่จนเท่าเดิมได้ หากไม่ถูกกำจัดให้สิ้นซากไปทั้งหมดจริงๆ
"มันหนีไปแล้ว!"
"เรายังตามมันไปได้ทันนะ การเดินทางด้วยสะพานข้ามดารามีระยะที่จำกัดมันต้องเปิดเส้นทางซ้ำๆถึงจะหนีไปได้ไกลพอ จำนวนเรามากกว่า อย่างไรก็ต้องตามทัน!!" อัลฟ่าหัวร้อนคนหนึ่งเสนอ มองหาแนวร่วม ทว่าเขากลับสะอึกเมื่อพบแต่ความนิ่งเฉยของคนอื่นๆ
"แล้วใครจะตามมันไปล่ะ?" เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ถ้าใครคนหนึ่งปะทะกับมันคนเดียวจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่ถูกมันแย่งชิงพลังไป"
"มันมีพลังในการแปลงร่างเลียนแบบไม่ใช่เรอะ ถ้ามันเลียนแบบพวกเราคนใดคนหนึ่งแล้วเข้ามาใกล้ล่ะ จะให้ข้านับทุกคนเป็นศัตรูแล้วโจมตีไว้ก่อนหรือเปล่า?"
ประโยคจากฝ่ายค้านทำให้ไม่มีใครขยับตัวอีกเลย เพราะตอนนี้ทุกคนล้วนคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง คุ้มหรือเปล่าที่จะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ขณะที่อัลฟ่าคนอื่นกำลังรอรับประโยชน์โดยไม่ต้องทำอะไร? บ้างก็สงสัยว่านี่เป็นแผนการของใครหรือเปล่าที่กำลังรอโจมตีจากด้านหลัง?
แม้ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ ก็ไม่มีใครคิดจัดการกับปัญหาที่ไม่แน่ว่าจะส่งผลกระทบต่อดาวของตัวเอง เพราะจักรวาลก็แสนจะไพศาล นักล่าอัลฟ่าตัวเดียวจะคุกคามมาถึงดาวของตนได้จริงๆหรือ? พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจ
นี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครคิดจะลงมือทำอะไร แม้จะประชุมอีกกี่ครั้ง ฝ่ายคัดค้านที่ไม่อยากลงแรงแต่ร่วมรับผลประโยชน์ก็คอยแต่เสนอวิธีให้คนอื่นไปตาย แต่ค้านการจัดตั้งกองกำลังใหญ่ที่ตัวเองต้องลงแรงเพื่อปราบปรามอย่างจริงจัง
และแม้ศัตรูจะอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีใครคิดจะเอาชีวิตตัวเองที่เป็นอัลฟ่าเข้าแลก พวกเขาล้วนมีดาวของตัวเองต้องกลับไปดูแล ทั้งยังมีชีวิตที่แทบนิรันดร์ให้เสพสุขรออยู่
อาเบลย่นจมูก พ่นเสียงฮึ
"มันคงไปไกลแล้วล่ะตอนนี้ เสียเวลาเปล่าๆ นับจำนวนคนเจ็บ ระบุความเสียหาย แล้วจัดทีมตามตามล่าในวันหลัง แยกย้ายได้"
ด้วยคำสั่งอันเด็ดขาดจึงไม่มีใครค้าน ทุกคนต่างต้องการถอนตัวกลับไปยังดวงดาวของตัวเองที่มีพลังเกื้อหนุนเพียงพอ
ทิ้งคำถามว่า สัตว์ประหลาดนั่นคือสิ่งใดไว้ อย่างไม่คิดหาคำตอบในเวลานี้
ผมถอนใจโล่งอกที่เรื่องตื่นเต้นจบลงด้วยดีโดยที่ผมไม่ต้องออกโรง ส่วนชายหนุ่มที่ยืนข้างๆผมก็คงจะคิดเหมือนกัน
"เรื่องตรงนี้วุ่นวายปล่อยเป็นหน้าที่ของคนอื่นดีกว่า ผมมันคนรักสันติภาพ แล้วเจอกันใหม่นะ ไนท์คนใหม่"
เวอร์ชูวโบกมือลา แล้วยิ้มดั่งเทพบุตรส่งท้าย
"ไม่ต้องคิดถึงผมนะไนท์คนใหม่ แต่ถ้าคิดถึง..." เขาเปิดสะพานข้ามดาราขึ้นมาแล้วหยักยิ้มให้
"ก็ไปเจอกันในห้องแห่งความลับแล้วกันนะครับ"
ผมเผลออ้าปากเหวอกับมุขเสี่ยวๆ ถ้าไม่ได้มีใบหน้าแบบเทพบุตรเล่นไม่ได้นะเนี่ย เวอร์ชูวหัวเราะทิ้งท้ายแล้วขอตัวจากไปอย่างรวดเร็วก่อนที่อาเบลจะทิ้งตัวลงมายืนข้างหลังผม
ผมตกใจแทบกระโดดเกาะเสา แต่จักรพรรดิคนงามไม่สนใจ เขามองตามหลังเวอรชูวที่หายวับไปไวๆด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะตวัดดวงตาที่เฉียบคมนั่นมาออกคำสั่งผม
"อย่าไปยุ่งกับเจ้านั่น อิกไนท์ เราขอเตือนแกด้วยความหวังดี"
ดวงตาของเขาแฝงความอำมหิตเอาไว้จนเหมือนกำลังข่มขู่เอาชีวิตแทนความหวังดี ทำเอาผมต้องเหลือบมองหาความช่วยเหลือจากชาร์ลที่ยืนอยู่ห่างๆ ทำเป็นไม่รู้จัก
พี่ใหญ่ยักไหล่ทำท่านิ้วปาดคอ อ่า แปลว่าให้ทำตามไปก่อนสินะ ไม่งั้นสงสัยจะไม่มีชีวิตกลับบ้าน
ผมรีบพยักหน้าให้องค์จักรพรรดิ แต่สายตาอาเบลไม่มีทีท่าจะอ่อนลงเลย
"ตัวไร้ประโยชน์อย่างแกรีบๆกลับไปซุกหัวที่บ้านได้แล้ว อย่ามาเกะกะแถวนี้"
ได้ยินแล้วเผลอคิดถึงคำปลอบใจของเทพบุตรสันติภาพนี่จะผิดมั้ย อุ๊ก สายตาทิ่มแทงที่เหมือนมองวัชพืช ขอโทษครับ แค่คิดก็ไม่กล้าแล้วครับ กระผมจะกลับบ้านไปพับผ้าถูบ้านเดี๋ยวนี้แหละครับ
ผมลนลานรีบหาทางกลับบ้าน แต่อาเบลคงทนความชักช้าของผมไม่ไหวจึงเรียกสะพานข้ามดาราของตัวเองขึ้นมาแล้วสะบัดมือเหมือนปัดแมลงวัน ส่งผมกลับดาวเฟลม่าไปทันที