Chereads / Nick & Nite / Chapter 13 - ตอนที่  12  เรื่องที่อยากสอน

Chapter 13 - ตอนที่  12  เรื่องที่อยากสอน

ต่อจากนี้คือการติวเข้ม​เรื่องการใช้พลังอัลฟ่าพื้นฐาน และพลังแนวไนท์ๆที่ใครๆก็รู้จัก เพื่อเตรียมพร้อมไม่ให้ผมไปยืนง่อยให้ถูกหัวเราะเยาะที่งานประชุม

ผมยืนเผชิญหน้าคุณครูจำเป็นผู้ตีหน้าเข้มประหนึ่งตนเองเป็นผู้ที่กำลังถูกฝึกหัด ส่วนผมที่ควรเคร่งเครียดยิ่งกว่ากลับกำลังเอ๋อกับทุกๆคำที่คุณครูเพียรอธิบาย

"ท่านนิก พลังสตริงของอัลฟ่าประกอบด้วยสองแบบ หนึ่งคือพื้นฐาน จะเป็นเรื่องของการควบคุมความเป็นไปในดวงดาว เปลี่ยนภูมิประเทศ ปรับสภาพอากาศ สร้างสิ่งมีชีวิต ดำรงเผ่าพันธ์ุ ปรับปรุงพันธุกรรม พัฒนาอารยธรรมของดวงดาว เป็นต้น

ส่วนที่สองคือพลังขั้นสูง เป็นการหยิบยืมพลังของดวงดาวไปใช้ทั้งในและนอกดวงดาวทั้งเพื่อป้องกันดาวจากภัยคุกคามภายนอก หรือการปะทะระหว่างอัลฟ่า เช่น การแก้ไขวงโคจร การเปิดสะพานข้ามดารา บิดเบือนสนามแม่เหล็กของดวงดาว เข้าถึงมิติที่สี่ห้าหก หรือสูงไปกว่านั้น ซึ่งเป็นความลับของจักรวาลที่อัลฟ่ามีหน้าที่ต้องศึกษาและค้นหาต่อไป นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอัลฟ่าแต่ละดาวถึงมีความสามารถแตกต่างกัน เพราะองค์ความรู้ของจักรวาลแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนใช้ได้ถึงแค่มิติที่สี่ บางคนที่ไปไกลกว่านั้นก็จะมีขอบเขตการใช้พลังสตริงได้กว้างและลึกล้ำยิ่งขึ้น" คุณครูพูดรัวเป็นจรวดจนผมเริ่มอยากจะนับดาวบนฟ้าและเข้าสู่นิทราแล้ว

"ล้ำลึกที่ว่านี่ไปถึงไหนเรอะ?" ผมถามอย่างงงๆแก้ง่วง ส่วนเวสต์ที่ไม่ใช่อัลฟ่าก็ตอบอย่างทรงภูมิต่อไป

"ว่ากันว่า ที่สุดของพลังสตริง ก็คือการกลับสู่ต้นกำเนิด...การกลับสู่พระเจ้า ผู้สร้างจักรวาลนี้"

ไอ้เส้นด้ายที่ปลายนิ้วผมมันทำได้ขนาดนี้เลยเรอะ ผมมองมันอย่างเหลือเชื่อ

"แล้วท่านไนท์ไปถึงขั้นไหนเรอะ?"

"เรื่องนี้ข้าน้อยไม่อาจคาดเดาได้เลยขอรับ" เวสต์ส่ายหน้า "แต่การที่ท่านสามารถทำให้คนอย่างจักรพรรดิอาเบลยอมรับได้ ข้าน้อยคิดว่าอย่างน้อยๆ ท่านคงเข้าได้ถึงมิติที่ห้าขอรับ"

"แล้วทำไมต้องห้าด้วยล่ะ?" มันไล่เรียงกันยังไงหรือต่างกันยังไง ผมก็ยังไม่รู้เลย

"เพราะอัลฟ่าในวงแหวนแรกเข้าถึงมิติที่ห้าได้เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำขอรับ ส่วนใครอยู่มิติสูงที่สุดตอนนี้ แต่ละคนก็ระวังท่าทีของตัวเองที่จะไม่ล้ำเส้นเกินไป เพราะจะกลายเป็นปัญหา เป็นภัยคุกคามที่ดาวอื่นๆหวาดระแวง เพราะฉะนั้นต่อให้ใครไปได้ไกลกว่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเก็บเป็นความลับ ไม่เอามาเผยแพร่ในที่สาธารณะแน่นอน"

แต่จะเก็บไว้เป็นท่าไม้ตายเอาไว้ตลบหลังอัลฟ่าคนอื่นๆยามเปิดสงครามอะไรแบบนั้นสินะ อืม ผมเห็นด้วยว่าผมต้องตั้งใจเรียนแล้วล่ะ

พลังพื้นฐานของอัลฟ่าเริ่มจากการสร้างภูมิประเทศและปรับภูมิอากาศ ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการสร้างสิ่งมีชีวิต เวสต์จึงพาผมไปในที่รกร้างบนเกาะกลางมหาสมุทรและให้ผมลองแก้ไขภูมิประเทศและสภาพอากาศแถวๆนั้นดู

"ไม่ใช่แบบนั้น ท่านนิก ท่านต้องทำแบบนี้"

หลังลองเป็นครั้งที่ร้อยกว่าเสียงอบรมของเวสต์ก็ยังดังอยู่เนืองๆ นี่ผมทำได้ดีขึ้นบ้างมั้ย?

"อัลฟ่าคือดวงดาว เหมือนเวลาที่ท่านข้องใจสิ่งใด ดวงดาวก็จะให้คำตอบแก่ท่าน เวลาที่ท่านต้องการสิ่งใด ดวงดาวก็จะหยิบยื่นให้แก่ท่าน ร่างของท่านไม่มีอยู่ เพราะดวงดาวคือร่างกายของท่าน คือภาชนะที่บรรจุผู้ถูกเลือกที่เรียกว่าอัลฟ่า อัลฟ่าเปรียบได้กับหัวใจของดวงดาว ท่านต้องระลึกไว้เช่นนี้เสมอ"

เวสต์ย้ำเป็นรอบที่ร้อยกว่า ผมก็เพ่งสมาธิจนเหงื่อแตกพลั่ก เวสต์บอกให้ผมสร้างลมขึ้นมาเป็นบทเรียนแรก แต่จนตะวันสูงโด่เหนือหัว ผมก็เพิ่งจะทำได้แค่ลมอ่อนๆที่ดูพิกลพิการ

"ทำใจให้สงบ พลังของดวงดาวอยู่กับท่าน นึกถึงสภาพที่ท่านต้องการ นึกถึงกระบวนการที่มันเกิดขึ้น"

เอ่อ แล้วกระบวนที่ว่ามันคือยังไงนะ เวสต์พูดแล้วพูดอีกมันก็ยังไม่เข้าหัวผมสักที แค่สร้างลมผมยังลำบากขนาดนี้ แล้วจะไปสร้างกองทัพตะลุยอวกาศได้เมื่อไรเรอะ? อีกสักพันล้านปีหรือเปล่า

"การเรียกลมไม่ใช่แค่คิดว่าอยากจะได้ลมเย็นสักวูบหนึ่งก็ได้มา ท่านนิก อย่างที่ข้าน้อยบอกไปว่า ท่านต้องเริ่มจากเข้าใจก่อนว่าลมเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไปทีละขั้น เริ่มตั้งแต่เร่งอนุภาคของอากาศตรงบริเวณหนึ่งให้ร้อนจัด ลอยตัวขึ้น แล้วลดอุณหภูมิบริเวณนั้นทันที เพื่อให้ลมที่พัดเข้ามากลายเป็นลมเย็นที่รุนแรง"

มหาดเล็กผู้อดทนยังคงอธิบายเรื่องเดิมซ้ำๆ อย่างตั้งใจ แต่ผมก็ยังทำไม่ได้สักที การเร่งอุณหภูมิให้ร้อนต้องทำยังไง ผมที่ไม่เคยแม้แต่จะต้มน้ำเองจะเข้าใจได้ยังไง?

แล้วจู่ๆเวสต์ที่ยืนดูผมนิ่งๆมาสักพักก็ก้าวเข้ามาประชิด ยกมือสองข้างขึ้นแตะใบหน้าผม ผมสะดุ้งโหยงเมื่อสองตาถูกบังคับให้สบกับดวงตาสีฟ้าที่มองตรงมา

"ตอนนี้ท่านรู้สึกยังไงท่านนิก?" เขาถามด้วยสีหน้าจริงจังมาก รอยแผลเป็นที่พาดผ่านดวงตาไม่ได้ทำให้สีฟ้ากระจ่างนั้นหมองลงแม้แต่น้อย

เอ่อ... โดนเอามือสองมือประคองหน้าไว้แบบนี้ ผมควรจะรู้สึกยังไงล่ะ?

"ร้อนหรือไม่ ท่านนิก นี่คือตัวอย่างของการเพิ่มอุณหภูมิของสสาร ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้ว ท่านลองจินตนาการว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของอนุภาคอากาศและความร้อนเช่นนี้กำลังเกิดขึ้น..."

ฝ่ามือของเวสต์ไม่ได้ทำให้แค่แก้มสองข้างของผมอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ความร้อนนี้กลับกระจายไปทั้งตัวผมอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว ผมรู้สึกได้เลยว่ารูขุมขนทั่วร่างกำลังเปิดอ้าเพื่อระบายความร้อนเกินขีดจำกัดนี้ออกไป นี่คือความร้อน ผมคืออนุภาคอากาศ ผมกำลังถูกเร่งอุณหภูมิให้ใกล้เคียงกับการลุกไหม้ กำลังดิ้นขลุกขลักกระสับกระส่ายไปมาจากความร้อนที่ลุกลามไปทุกส่วน

ร้อน...มือของเวสต์ทำให้ผมร้อน ทำให้อากาศรอบตัวลุกเป็นไฟ...และ...ลอยสูงขึ้น พร้อมลมเย็นกว่าที่พัดเข้ามาแทนที่

ลมมาแล้ว! ผมสร้างลมได้สำเร็จแล้ว!

กว่าจะได้ลมมาพัดเหงื่อให้แห้งสักทีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

เวสต์ปล่อยมือออกไป ยืนดูห่างๆ สีหน้าเขาดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าหลับตารับลมเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ก็จ้องเขม่นตรงมาเหมือนเดิม เขาบอกให้ผมทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าผมจะคล่องขึ้น เพราะอัลฟ่าส่วนใหญ่แค่วินาทีเดียวก็เรียกลมพายุระดับโซนร้อนมาหมุนเล่นได้แล้ว แต่พอผมเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความร้อน ผมก็สามารถสร้างลมได้เร็วขึ้นบ้าง ส่วนขั้นระดับพายุลูกโตๆคงต้องรอไปก่อน เพราะแค่ลมพัดพอผ้าแห้ง ผมก็แทบลมจับแล้ว

"ต่อไปเป็นฝน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดวงดาว ท่านต้องสร้างวัฎจักรของน้ำได้"

มหาดเล็กผู้ไม่มีความเห็นใจเลื่อนบทเรียนถัดไปมาให้ทันที ผมรู้ว่านายรีบด้วยเวลาไม่คอยท่า แต่อย่างน้อยๆก็ช่วยพูดภาษาที่ผมเข้าใจหน่อยสิ

"น้ำระเหยด้วยความร้อนแบบเดียวกับที่ท่านทำให้อนุภาคของอากาศลอยตัวขึ้น แต่คราวนี้ท่านต้องทำให้อนุภาคเย็นตัวลงด้วย เพื่อให้อนุภาคของไอน้ำเกิดการควบแน่นแล้วรวมตัวกันลงมาเป็นน้ำฝน กลับสู่ท้องทะเลนี่จึงเรียกว่าวัฎจักรของน้ำอย่างสมบูรณ์"

ผมไม่มีปัญหากับการเร่งอุณหภูมิของหยดน้ำให้แตกเป็นไอน้ำและลอยขึ้นไป แต่จะทำให้เย็นลงคือยังไงล่ะ

"เย็นคือต้องสงบนิ่ง ลดการการสั่นไหวของอนุภาค ปล่อยพลังงานความร้อนออกไป"

ผมทำตามแต่ก็ยังนึกไม่ออก เมฆและน้ำฝนคืออย่างไรนะ..

ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งแรกที่ผมเห็นฝนและหยดน้ำก็คือ วันนั้น...

วันที่จักรพรรดิอาเบลมาเยือน

เปาะ แปะ

พอผมนึกถึงดวงตาสีทับทิมนั้น ผมก็เย็นเยือกไปถึงกระดูก ตัวผมที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เมื่อมองดูโอเมก้าเหล่านั้นสลายไปด้วยหัวใจที่ด้านชาของอัลฟ่า

อากาศเย็นลงฉับพลัน เมฆสีดำควบตัวขึ้นเหนือศีรษะผม แล้วฝน...ก็ตกลงมา

ซ่า

หนักขึ้นหนักขึ้น จนเหมือนฟ้าจะถล่มถลาย

"พอแล้ว ท่านนิก" ฝ่ามือสัมผัสแก้มสองข้างของผมอีกครั้ง เรียกสติผมกลับมาจากก้นบึงของความหนาวเหน็บสู่อากาศที่อบอุ่น

ความเย็นถูกปัดเป่าไปด้วยไอร้อนจากมือคู่นั้น แล้วฝนก็หยุดตก แต่ก็ทำให้ทั้งผมและเวสต์เปียกปอนไปหมดทั้งตัวแล้ว

ผมกะพริบตาปริบๆ ลืมอารมณ์เมื่อครู่ไปหมดสิ้น แล้วก้มมองตัวเองที่เฉอะแฉะไปทั้งตัว ก่อนจะเงยหน้าเผยรอยยิ้มยินดีให้มหาดเล็ก ผมเรียกฝนได้แล้ว! เนื้อตัวที่เปียกคือหลักฐาน เวสต์ควรจะชื่นชมผมที่มีพัฒนาการรวดเร็วกว่าตอนแรก

แต่ดวงตาสีฟ้ากลับกำลังลุกวาวราวกับกำลังโกรธเกรี้ยว

"เวสต์?" เจ้าของนามไม่ตอบอะไร เขาผละมือออกไปแล้วเอ่ยเรียบๆ

"เรื่องพื้นฐานของการปรับสภาพอากาศท่านทำได้แล้ว ต่อไปเป็นบทเรียนพื้นฐานของการปรับภูมิประเทศ"

เบต้าอันดับหนึ่งชี้นิ้วออกไปในท้องทะเล

"ท่านต้องเลียนแบบตอนที่อัลฟ่าสร้างดาวขึ้นมาครั้งแรก เมื่ออากาศเหมาะแก่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต มีน้ำ มีความร้อน ต่อไปคือแผ่นดินให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เราจะเริ่มจากพื้นฐานคือ การสร้างเกาะขึ้นกลางทะเล"

ผมมองไปในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ตรงหน้า แล้วกลืนน้ำลาย นี่อัลฟ่ารุ่นแรกสร้างแผ่นดินใหญ่ขนาดนี้จากผืนน้ำที่ว่างเปล่าอย่างนั้นเรอะ?

"ท่านต้องนึกก่อนว่าภูเขาและเกาะกำเนิดขึ้นได้อย่างไร ท่านนิก" เวสต์ค่อยๆอธิบายเมื่อเห็นสีหน้างงๆของผม

"กองดินทับถมกัน?"

เขาส่ายหน้า

"ภูเขาและเกาะถูกยกสูงขึ้นจากแรงปะทะของแผ่นดินสองอันที่มาชนกัน หรือเคลื่อนที่เสียดสีกัน"

ผมขมวดคิ้วเป็นปม "แผ่นดินชนกัน?"

"ท่านคือดวงดาว ผิวเปลือกดวงดาวขับเคลื่อนด้วยหินหนืดร้อนข้างใต้ หรือที่เรียกว่าลาวา ทำให้แผ่นเปลือกโลกเกิดการรวมกัน ชนกัน หรือทับซ้อนกัน บ้างก็ถูกแรงบีบอัดทำให้โก่งโค้งงอขึ้น และบ้างที่ถูกลาวาดันให้เคลื่อนขึ้นสูงและปะทุออกมาที่ทางออก เกิดเป็นภัยธรรมชาติ เช่นแผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด ท่านต้องระวังอย่าให้เกิดสิ่งเหล่านั้น"

ผมเข้าใจแล้ว คำยากๆของเวสต์แปลง่ายๆว่า ตัวผมคือดวงดาว มีหินหนืดมหาศาลอยู่ในตัวผม ผมต้องเคลื่อนมันให้น้อยที่สุด และระมัดระวังอย่างที่สุด อย่าให้มันสั่นไหวรุนแรงเกินไปจนเกิดเป็นอันตรายต่อประชาชน หรือหลุดการควบคุมจนปะทุออกที่ผิวโลก

[ S T R I N G : CODE : C O N T I N E N T A L D R I F T ]

ผมลองตั้งสมาธิลองทำดู แต่มันกลับหนักมาก ผิวโลกเคลื่อนช้าถึงช้าที่สุด ทีละมิลลิเมตรของมันดูดเรี่ยวแรงของผมไปมหาศาล ผมต้องเพ่งสมาธิจนเหงื่อท่วมเพื่อให้มันกระทบกันเบาที่สุด เพียงแค่สร้างเกาะขึ้นสักแห่ง ผมกัดฟันอยู่นานมากจนเริ่มหน้ามืด แล้วมันก็เข้าปะทะกันเบาๆ ที่ขนาดว่าเบาแล้ว ยังทำให้แผ่นดินสะเทือนจนผมเซถลาไปข้างหน้า

"ท่านนิก!"

เวสต์มาประคองผมไว้ แต่เพียงแค่ฝ่ามือเขาสัมผัสโดนตัวผม หินหนืดที่ว่าเชื่องช้าจนน่าปวดหัวมาตลอดกลับไหลลื่น ความร้อนทะลักออกมาจากใจกลางดวงดาวขับเคลื่อนหินหนืดอย่างรุนแรงจนผมหยุดมันไว้ไม่ได้

แย่แล้ว ผมเสียสมาธิหลุดการควบคุม มันกำลังจะปะทุออกไปแล้ว หินหนืดแทรกตัวออกมาตามรอยแยกของเปลือกโลกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง มวลความร้อนฉีกผิวดวงดาวออกมาโดยไม่ฟังคำสั่งใดๆ ผมพยายามฝืนต้านมันไว้สุดกำลัง แต่...ก็ไม่สามารถขวางกั้นมันได้

มันระเบิดออกมาแล้ว!

ครืนน

ผมตาโต รีบมองไปรอบๆอย่างตกใจ ผมทำให้เกิดภัยพิบัติทำลายดวงดาวไปแล้วรึเปล่า

"ไม่เป็นไร ท่านนิก ภูเขาไฟระเบิดขึ้นใต้น้ำ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตเท่าไรขอรับ" เวสต์เอ่ยเบาๆ แล้วชี้ไปที่ ผิวน้ำที่มีฟองเดือดปุดๆขึ้นจำนวนมาก ลาวาร้อนไหลออกมาแล้วเย็นตัวใต้ผิวน้ำ

ผมโล่งอก ถอนหายใจแรงๆ ยันตัวเองขึ้นมายืนอย่างมั่นคงแล้วพิจารณาดูพื้นที่ที่ผมสร้าง หน้าตามันไม่น่าดูเอาซะเลย แนวของเกาะเล็กๆผุดขึ้นจากผิวน้ำเป็นตะปุ่มตะป่ำต่ำๆสูงๆ ไม่มีความงามเลยซักนิด ผมหันไปขอความเห็นจากเวสต์

เขาก็มองนิ่งๆกลับมา "เราจะทำไปจนกว่าท่านจะทำได้ดีก็แล้วกันขอรับ"

ดูเหมือนเขาก็ไม่พอใจผลงานของผมเหมือนกัน

เวสต์จึงให้ผมฝึกเคลื่อนหินหนืด สร้างเกาะ เรียกลมเรียกฝน ทำซ้ำๆอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ผมไล่นิ้วไปตามแผนที่และสัญลักษณ์ เพื่อไล่สร้างภูมิประเทศต่างๆเลียนแบบแผนที่ของเกาะอันอื่น ผมสร้างถ้ำ หน้าผา หาดทราย น้ำตก สร้างก้อนหินหน้าตาประหลาดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ดีที่เวสต์บอกว่าพื้นที่ป่า กับสิ่งมีชีวิตจะฝึกกันวันหลังไม่งั้นผมคงแย่แล้ว

โดยสรุปแล้วบอกได้คำเดียวว่า การฝึกของเวสต์นั้นหนักหน่วงมาก เวสต์ต้องสาธิตเปรียบเทียบให้ผมดูตั้งหลายครั้ง และ ต้องใช้เวลากว่าสามวันสามคืน โดยไม่ได้หยุดพักกว่าผมจะชำนาญและทำเองได้ ผมรู้สึกขายหน้าคนเป็นเบต้าจริงๆ

"แล้วทำไมเบต้าอย่างนายถึงรู้การใช้พลังของอัลฟ่าล่ะ" ผมอดสงสัยไม่ได้

"ท่านไนท์เคยสอนข้าน้อยไว้ ข้าน้อยก็จำทฤษฎีได้" เวสต์ตอบเรียบๆ

เพื่อให้อนาคตเวสต์มาสอนอัลฟ่าฝึกหัดอีกทีงั้นเรอะ เพราะท่านขี้เกียจสอนเองรึเปล่าท่านไนท์

"สำหรับท่านนิก คงต้องใช้เวลาสักหน่อย เมื่อความทรงจำของท่านไนท์จะค่อยๆปรากฎออกมาตามเงื่อนไขของมัน ท่านจึงจะใช้พลังได้คล่องมากขึ้นขอรับ ท่านไนท์เคยบอกข้าน้อยไว้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้อัลฟ่าแต่ละรุ่นพัฒนาได้แตกต่างกัน เพราะถ้ามีแต่ความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม ก็จะติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ท่านว่าตัวท่านเองก็ไม่ได้ความทรงจำของรุ่นก่อนมาทั้งหมดเหมือนกัน"

ได้ยินแบบนี้แล้วผมก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย

ส่วนพลังอัลฟ่าขั้นสูงนั่นเหนือเกินกว่าที่เวสต์จะสอนผมได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นการใช้พลังนอกอวกาศ ผมคงต้องหวังพึ่งดวงไปก่อน ทั้งที่จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้ถ้าผมคิดจะไปประชุม เพราะการออกห่างจากดวงดาวต้นกำเนิดไปจะทำให้พลังสร้างสรรค์ของอัลฟ่าใช้การได้ลำบากขึ้น ยิ่งระยะทางไกลเป็นล้านปีแสงยิ่งยากสุดๆ ดังนั้นถ้าจะเอาอะไรไป ท่านไนท์ก็ต้องสร้างมันขึ้นที่นี่แล้วหิ้วไปเอง

อันที่จริงแล้ว สิ่งที่คนเราควรเตรียมไปในการไปเยือนดาวคนอื่นคือ อาวุธสำรองหรือทางหนีทีไล่เผื่อว่าเจ้าบ้านอยากจะเชือดแขกน่ารำคาญทิ้ง หาใช่ของฝากเต็มไม้เต็มมือเหมือนที่ท่านไนท์ทำไม่

เวสต์ให้ผมไปพักเมื่อเขาพอใจการฝึกของผม โดยกำชับให้ผมพักผ่อนคืนนี้ให้พอ เก็บแรงไว้ใช้ในงานประชุม

ผมเหนื่อยล้าจนสายตัวแถมขาด แต่เวสต์ยังทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เหงื่อสักหยดก็ไม่มีให้เห็น ซ้ำยังต้องคอยมาดูแล เรื่องอาหารการกิน อาบน้ำอาบท่า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเตรียมห้องนอนให้ผมอีก

"นายไม่เหนื่อยบ้างเลยเรอะ"

"ข้าน้อยและเบต้าทุกคนมีคุณสมบัติความทนทานไม่เหนื่อยง่ายขอรับ ท่านนิก"

ข้ารับใช้ที่ไม่มีวันเหนื่อย คุณสมบัติในฝันของเจ้านายเลยนะ แต่คิดแล้วผมอยากร้องไห้แทนเหลือเกิน

"บทเรียนที่เหลือข้าน้อยจะสอนท่านหลังจากกลับจากการประชุมนะขอรับ"

อ่า นึกว่าจะได้สบายแล้วเชียว เหมือนการประชุมเป็นการไปเที่ยวแล้วกลับมาเจอการติวเข้มต่อโดยไม่ได้หยุดพักเลย

"นี่ผมยังเหลือบทเรียนอะไรอีกบ้างนะ" ผมถามเสียงอ่อย

"เรื่องพลังพื้นฐานทั้งหมดขอรับ..."

ถ้าจำไม่ผิดเหมือนตอนแรกเวสต์บอกไว้ว่ามีเรื่อง การสร้างสิ่งมีชีวิตในดวงดาว และอื่นๆ อีกสองสามอย่างใช่มั้ย เขาวางแผนจะยัดเยียดให้ผมเรียนทั้งหมดด้วยหลักสูตรเร่งรัดเลยสินะ

"จริงๆแล้ว..." เวสต์เกริ่นขึ้นมาเบาๆ ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

"ข้าน้อยสามารถสอนให้ท่านได้ทุกเรื่อง ถ้าท่านต้องการ"

"ทุกเรื่อง?"

"ใช่ ทุกเรื่องขอรับ"

"เช่นอะไรบ้างเรอะ?"

"คุณสมบัติทุกอย่างที่อัลฟ่าจำเป็นต้องมี และทำได้ ข้าน้อยแม้จะทำไม่ได้ แต่ก็รู้ภาคทฤษฎีทั้งหมดขอรับ ข้าน้อยสามารถสอนท่านได้"

อืม ผมครุ่นคิดถึงประโยชน์มหาศาลของเวสต์ แล้วเข้าใจเลยว่าเขาเป็นคนที่อัลฟ่ารุ่นไหนก็คงขาดไม่ได้ ผมจะต้องเพิ่มเงินเดือนหรือว่าตบโบนัสให้เขางามๆดีมั้ย ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเวสต์จะลาออกวันไหน เมื่อต้องเผชิญกับภาระงานและผมที่เป็นตัวถ่วง

ผมปาดเหงื่อแล้วยิ้มแห้งๆให้เวสต์

"วันนี้เอาเท่านี้เถอะ ตอนนี้ผมอยากพักแล้ว"

"…"

เวสต์นิ่งงันไปไม่ตอบคำ จนผมอดกังวลไม่ได้ว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเขาจะไม่พอใจกับรางวัล นายอยากไปพักร้อนที่ไหน หรืออยากได้เงินเพิ่มพิเศษอะไรก็บอกผมมาตรงๆเถอะ อย่าจู่ๆงอนแล้วลาออกจากหน้าที่ไปนะ อย่าทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับอัลฟ่าอารมณ์แปรปรวนคนนั้นคนเดียว

แต่เวสต์ก็ไม่ได้มีทีท่าจะโกรธหรือน้อยเนื้อต่ำใจกับค่าแรงอย่างที่ผมคิด เขาถอนหายใจ และก้มศีรษะเป็นเชิงขอตัวลาตามปกติ

"ไว้ถ้าท่านต้องการให้ข้าน้อยสอนเมื่อไรก็บอกได้ทุกเมื่อนะขอรับ"

ว่าจบเจ้าตัวก็หมุนตัวจากไป

ผมอดไม่ได้ที่จะลอบอ่านความคิดของเขาช่วงขณะที่เขาเดินออกจากห้องผม และพบว่ามันซับซ้อนกว่าอีสต์มาก เขาคิดหลายเรื่องในวินาทีเดียว ทำให้ความคิดดูปนเปไปหมด อ่านได้แค่ภาพเลือนลางที่เต็มไปด้วยตัวอักษรและถ้อยคำประหลาดตีกันไปมา

พอคิดว่ามันเป็นเนื้อหาของบทเรียนที่เวสต์สามารถสอนให้ผมได้ ผมก็กลืนน้ำลาย

นี่เขามีบทเรียนเยอะขนาดไหนที่คิดจะสอนผมกันเนี่ย