Chereads / Nick & Nite / Chapter 11 - ตอนที่ 10 จักรพรรดิอาเบล

Chapter 11 - ตอนที่ 10 จักรพรรดิอาเบล

วันรุ่งขึ้นมาถึงแล้ว และมันก็ทำให้ผมได้ตระหนักว่าจักรพรรดิอาเบลมีคุณสมบัติหนึ่งที่ไม่ได้ระบุให้ไว้ฐานข้อมูล นั่นคือเขาเป็นคนที่แปรปรวนอย่างมาก

เพราะแทนที่เขาจะมาในอีกสองวันข้างหน้าอย่างที่แจ้งไว้ในข้อความ...

เขากลับเลือกมา...วันนี้

"ดาว Abell นี่เวลาเดินเร็วกว่าเราสองวันหรือเปล่า?" ผมหันไปถามเวสต์ด้วยสีหน้าสดชื่นที่สุดเท่าที่ทำได้

แต่เวสต์กำลังทำสีหน้าเยือกเย็นที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเขาทำตอบกลับมา

"ไม่ขอรับ ในข้อความนั้นแจ้งเวลากลางของภาคีที่วัดด้วยนาฬิกาอะตอม* ไม่เกี่ยวกับว่าดาวใครเวลาเดินเร็วเท่าไรหรอกขอรับ"

"งั้นก็แปลว่า..."

"องค์จักรพรรดิคงจะเปลี่ยนใจกะทันหัน" เวสต์ตอบผมด้วยเสียงเหมือนหมดแรง และผมก็อยากจะหมดแรงตามไปด้วย

"แล้วแบบนี้จะให้ผมทำยังไง" ที่นัดกันว่าจะค่อยๆเตรียมให้ผมรับมือกับการมาเยือนของจักรพรรดิในวันนี้ จากภาคปฏิบัติได้เปลี่ยนเป็นสนามจริงแล้ว

ผมค้นพบว่าหน้าที่อย่างหนึ่งของอัลฟ่าที่สำคัญไม่แพ้การสร้างดวงดาวก็คือการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วยความอดทน เพราะถ้าเกิดไปกระตุ้นต่อมอารมณ์ใครเข้า ดาวที่สร้างมาด้วยความยากลำบากก็อาจจะกลายเป็นเศษฝุ่นได้ในพริบตา

ยิ่งดาวเฟลม่ามีความลับสามเรื่องที่ผมต้องปิดบังจักรพรรดิอาเบลผู้เป็นประธานภาคีเอาไว้ ผมก็ยิ่งเสียวสันหลังว่าบตลอดเวลา

หนึ่งคือเรื่องที่ผมไม่ใช่ท่านไนท์ที่กำเนิดใหม่

สองคือเรื่องที่ผมเป็นโอเมก้ามาก่อน และท่านไนท์ฝ่าฝืนข้อห้ามยกพลังให้ผม

และสามคือเรื่องการปล่อยให้ตราประทับอ่อนพลังลงโดยไม่ประทับตราใหม่

สามเรื่องนี้ถ้าถามว่าเป็นความผิดร้ายแรงมั้ย? เวสต์บอกว่าไม่มีใครบอกได้ เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน บทลงโทษควรเป็นอะไรคือสิ่งที่ผู้มีอำนาจในแต่ละยุคสมัยเป็นคนตัดสิน

แต่ลักษณะที่คล้ายคลึงกับการยกเลิกตราประทับนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และบทโทษในยุคนั้นก็รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เช่นในตำนานอิงประวัติศาสตร์ แม็กซิมัสกับดวงดาวที่หายไปนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยภาคีและอัลฟ่าคนอื่นๆจะมีปฏิกิริยายังไงกับความลับทั้งสามเรื่อง แต่ที่แน่ๆไม่น่าจะเป็นการสรรเสริญหรอก เพราะงั้นผมว่าผมเก็บมันไว้เงียบๆแค่ในดาวของเราคงจะดีกว่าร้อยล้านเปอร์เซนต์

เวลานับถอยหลังการเปิดสะพานข้ามดาราจากดาว Abell343 กำลังจะเข้าใกล้เลขศูนย์ไปทุกที ผมเริ่มวิตกจริตหนักขึ้น หันไปมองที่พึ่งเดียวที่ยืนเป็นเสาอยู่ข้างๆด้วยความหวัง

"นายพอจะมีคำแนะนำแบบสั้นๆมั้ย"

"…" เวสต์ใช้สามวินาทีที่มีค่าไตร่ตรองสิ่งที่เขาจำเป็นต้องบอกผมที่สุดออกมา

"ท่านนิก ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นท่านไนท์ เพราะทุกคนรู้ว่าท่านกำเนิดใหม่ ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม แต่ขอให้ระลึกไว้ว่าท่านคืออัลฟ่า แค่นี้ก็พอแล้ว"

ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แม้บรรยากาศรอบตัวจะไม่ค่อยเอื้อเท่าไร สัญญาณเตือนการมาเยือนของจักรพรรดิอาเบลก็ยังสาดแสงสีแดงจ้าไปทั่วอย่างน่ากลัว

"ว่าแต่เวสต์...นายไม่ได้เปลี่ยนสีไฟสัญญาณเตือนภัยเป็นสีชมพูตามคำสั่งท่านไนท์เรอะ?"

"…"

เวสต์ทำหน้าเป็นขีดเหมือนกำลังระลึกกลับไปในวันนั้นที่ได้รับคำสั่งนี้

"หากจักรพรรดิอาเบลมาเห็นข้าน้อยเกรงว่าอาจไม่ใช่เรื่องดี...จึงไม่ได้ทำตามคำสั่งของท่านไนท์ขอรับ ข้าน้อยยินดีน้อมรับโทษทัณฑ์"

ไม่เป็นไร ผมยกโทษให้ เพราะผมก็ไม่อยากเห็นแสงสีชมพูเป็นแสงสุดท้ายของชีวิตเหมือนกัน

ครืน

สะพานข้ามดาราขนาดใหญ่เชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่มีเสียงประกาศแนะนำ แต่ออร่าเข้มข้นที่แผ่ออกมารอบๆก็ทำให้ผมแน่ใจว่าเป็นเขา...จักรพรรดิอาเบลคนนั้นมาถึงแล้ว

ผมลุ้นด้วยใจระทึก กระเพาะเต้นตุ๊บๆ ส่วนหัวใจเหมือนถูกแช่แข็งไปแล้ว ข่าวลือของอัลฟ่าคนนี้ทำเอาผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆตลอดเวลาที่รอคอย

ขบวนเสด็จนำหน้ายาวเหยียด มีทั้งหน่วยองครักษ์ติดอาวุธ ทั้งข้ารับใช้ทั้งเบต้าโอเมก้า ทั้งผู้ติดตามที่แบกของขวัญมาเป็นคันรถ หลากหลายมากมายจนผมตาลาย แต่ก็ยังไม่พบเจ้าของออร่าน่าสะพรึงกลัวสักที

ผมพยายามมองเข้าไปในนั้น หาคนที่ดูน่าเกรงขามพอจะเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่คนนั้นได้...แต่ก็ยังไม่พบ

จนกระทั่งฝนตกลงมา...

ฝน? ผมแปลกใจ ก็ตั้งแต่ที่ผมเป็นอัลฟ่ามา ผมยังไม่เคยเห็นสายฝนเลย แล้ววันนี้โดยที่ผมไม่ได้สั่ง น้ำเย็นฉ่ำจากฟากฟ้ากลับตกลงมาโดยไม่มีแม้แต่เมฆ

น้ำฝนเข้าตา และเพียงแค่ผมกะพริบตาถี่ๆ ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนไป ขบวนต้อนรับ เสียงเพลงประจำดวงดาว แสงสีทั้งหมดดับสูญไปสิ้น ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ ณ สถานที่ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็คล้ายกับเคยรู้จักผ่านความทรงจำของท่านไนท์

"หวา" ปลายเท้าผมยืนอยู่บนวงน้ำที่แผ่ออกไปเป็นระลอก ไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

ทำไมผมไม่จมลงไปนะ ทั้งๆที่นิ้วเท้ารู้สึกได้ว่ากำลังเหยียบอยู่บนผิวน้ำจริงๆ เหมือนกับผมกำลังเดินบนพื้นที่มีน้ำขังอยู่ เพียงแค่สัมผัสของพื้นแข็งๆข้างล่างนั้นไม่มีอยู่เท่านั้นเอง

เมื่อเงยหน้าขึ้นไป เพดานคือท้องฟ้าที่มองทะลุถึงดวงดาวมากมาย ไม่มีเมฆมาบดบังทัศนียภาพแม้แต่น้อย และรู้สึกเหมือนใกล้แค่เอื้อมมือถึง

สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าที่นี่คือ สิ่งที่เรียกว่า 'มิติเอกเทศ' ช่องว่างของมิติในกาล-อวกาศที่มีแต่อัลฟ่าเท่านั้นที่เข้ามาได้ และผมก็ขอเดาเลยว่านี่คือมิติเอกเทศของ...จักรพรรดิอาเบล

"ไนท์"

เสียงก้องกังวานไพเราะเรียกขานนามหนึ่ง

ผมหันกลับไปข้างหลัง เห็นคนคนหนึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามาอย่างช้าๆ ข้อเท้าขาวยกขึ้นแตะวงน้ำสร้างคลื่นเล็กๆออกไปเป็นระลอกตามจังหวะก้าวเดินของเขา

แสงเรืองรองของหมู่ดาวตกกระทบผิวเนียนที่ยื่นพ้นออกมาจากชุดเกราะสานสีเงินหรูหรา ผ้าคลุมสีขาวทับอยู่บนไหล่บาง แม้จะมองไกลๆก็รู้ได้ว่าวัสดุที่ทอเป็นผ้าผืนนั้นเล่อค่าแค่ไหน มันดูนุ่มนวลเหมือนรังไหมที่ห่อหุ้มทุกสิ่งอย่างอ่อนโยน

สายโซ่ตามข้อพับลั่นกริ๊งๆตามการเคลื่อนไหวของเขา ชายผ้าแพรด้านในถักด้วยเส้นด้ายที่สานลวดลายเป็นใยแมงมุมอันซับซ้อน ห้อยไว้ด้วยคริสตัลหยดน้ำที่แวบวับด้วยประกายสีแดงราวหลอมจากหยดเลือด

ดวงตาสว่างใสสีแดงสดดั่งทับทิมงามพิลาศจ้องตรงมาทำให้ผมแทบลืมหายใจ

อ่า ผมบรรลุ 'สเป็ก' ของท่านไนท์ในวินาทีนั้นเลย ถ้าเป็นคนคนนี้คงไม่แปลกที่จะทำให้ท่านไนท์หลงใหลถึงกับต้องตามไปจีบทุกเช้าค่ำ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าข่าวลือต่างๆคงเป็นเรื่องที่เกินความเป็นจริงไปมาก เพราะเขาคนนี้ไม่มีทางเกลือกกลั้วกับสิ่งเลวร้ายใดๆได้ เป็นผืนน้ำที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง กระจ่างเหมือนกระจกและโปร่งใสดั่งผิวน้ำที่มองเห็นถึงก้นบึง

เขาจับชายผ้าที่ละกับผิวน้ำขึ้น เขย่งปลายเท้ากระโดดข้ามเหมือนผีเสื้อร่ายรำกลางทุ่งผกาสร ท่วงท่าสง่างามและเป็นธรรมชาติ เขาหยุดตรงหน้าผมที่อ้าปากค้าง สองมือของเขากางออก และเข้ามาสวมกอดผมไว้อย่างแนบแน่น

เหวอ!!

ผมตกใจจนหน้าซีด จะถอยหนีก็ไม่ทัน จะผลักออกก็ไม่กล้า ผมควรทำยังไงดี ทะทำไมจักรพรรดิอาเบลถึงได้...ผมงงไปหมดแล้ว

ก็ไหนชาร์ลบอกว่า ท่านไนท์เป็นคนเริ่มจีบตบมือข้างเดียวไม่ใช่เรอะ แล้วนี่คืออะไร ตกลงใครจีบใครนะ หรือนี่คืออาเบลที่กำเนิดใหม่เหมือนกันก็เลยยังเมาๆกระแสจักรวาลอยู่

พอเห็นผมยืนบื้อใบ้อยู่นานสองนาน อาเบลก็ถอยออกไป เขายืนนิ่งพิจารณาผมอยู่ครู่หนึ่งด้วยดวงตาสีแดงสด แล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก ทำให้ใบหน้าดั่งรูปสลักของเขายิ่งโดดเด่นขึ้น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้โลกนี้สวยงามอย่างหาอื่นใดเปรียบไม่ได้

"ดูท่าเรื่องที่เจ้ากำเนิดใหม่จะเป็นจริงสินะ ไนท์?"

อาเบลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไพเราะ แล้วฉับพลันบรรยากาศก็เปลี่ยนไป จากรอยยิ้มที่ทำให้โลกอิ่มเอมด้วยความรัก กลายเป็นยิ้มที่ดูแคลนสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ใต้ฝ่าเท้า เขาใช้สายตาคมกริบนั่นมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของผมอย่างพินิจพิเคราะห์จนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสินค้าที่กำลังถูกเลือกซื้อ

สายตานี้มันอะไร เมื่อถูกมองแบบนี้แล้วผมอยากจะกลับไปมุดในกรงเหลือเกิน ผมถอยทัพตอนนี้เลยได้มั้ยนะ

อาเบลหยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าของผม แล้วแสยะยิ้มบางๆเย้ยหยัน

"ทำไมถึงสร้างกายหยาบที่อ่อนแอแบบนี้ล่ะไนท์ แค่เราแตะ...ร่างนี้ก็คงสลายเป็นเศษฝุ่นแล้วล่ะมั้ง"

อุ๊ก งั้นเมื่อกี้นี้คือผมเพิ่งไปเยือนปากนรกมางั้นเรอะ ผมไม่รู้ตัวเลยสักนิด นี่เป็นพลังทำลายล้างจากต่างมิติที่เวสต์เคยเกริ่นไว้หรือเปล่า ผมชักผวาอยากวิ่งไปหลบหลังป้อมปราการนอร์ทเวสต์เสียแล้ว

แต่ไม่ได้นะ นิก! ตอนนี้นายคือท่านไนท์นะ ถ้าหนีไปตอนนี้อาเบลจะต้องสงสัยความลับของท่านไนท์แน่ๆ เพราะงั้นผมจะหนีไม่ได้ ต้องมั่นใจเข้าไว้ อย่างที่ชาร์ลว่า ยืดอกพกความมั่นหน้าไว้ นายต้องเป็นอัลฟ่าให้สมกับที่ไนท์วางใจ...ผมปลุกใจตัวเองสุดชีวิต

"เฮอะ ปั้นหน้าตาออกมาก็ไม่ได้เรื่อง แกน่ะมีรสนิยมดีกว่านี้ไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าตาโหลๆที่ไม่ได้ความแบบนี้ออกมาล่ะ ธาตุไฟเข้าแทรกหรือไง?"

แต่ละคำยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จากสรรพนาม 'เจ้า' ลดขั้นลงเป็น 'แก' ไม่มีความไพเราะเหลือในน้ำเสียงแล้ว

ยืดอกเข้าไว้นิก ใจเย็นๆ นายทำได้...ผมปลอบใจตัวเองที่ฝ่อแฝบลงเรื่อยๆ พยายามทำใจให้บริสุทธิ์ดุจผิวน้ำที่ผมยืนอยู่

แต่แค่กะพริบตา ตัวผมก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศทันที! และทั้งตัวผมก็หมุนๆๆตีลังกาหลายตลบจนนับไม่ถ้วน รู้สึกมือเท้าลำตัวเหมือนจะแยกออกจากกันให้ได้ แต่แล้วตัวผมก็ตกลงมาหน้าคว่ำกับพื้นดังพลั่ก หยดน้ำใต้ร่างกระเซ็นไปรอบทิศ

ผมอ้าปากนอนพะงาบๆ มองท้องฟ้าที่ยังไม่หยุดหมุนติ้วๆตรงหน้า แล้วรู้สึกคลื่นเหียนปวดมวนท้องจนแทบอ้วกออกมา

"เฮอะ"

หนุ่มหน้าสวยชะโงกหน้าเข้ามาในลานสายตา แล้วเบ้ปากอย่างหงุดหงิด

"แค่การใช้พลังประคองตัวเองในอวกาศแกก็ยังทำไม่ได้เลยงั้นเรอะ พลังพื้นฐานของอัลฟ่าน่ะนะ นี่แกมีอดีตเป็นเจ้าบ้านั่นได้ยังไงกัน" จักรพรรดิอาเบลวิจารณ์ต่ออย่างเผ็ดร้อน สีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน

ที่แท้อาเบลก็แค่อยากจะทดสอบพลังของผมนี่เอง เคราะห์ดีเหลือเกินที่เขาเลือกทดสอบอะไรที่มันพื้นๆ ไม่อย่างนั้นถ้าเขาจับผมไปโยนลงหลุมดำ หรือใช้ผมเป็นเป้ายิงปืนข้ามจักรวาล ผมว่าก่อนที่เขาจะรู้ว่าผมไม่ผ่านการทดสอบ อิกไนท์คนใหม่คงได้ไปกำเนิดใหม่ที่จักรวาลอื่นแล้วล่ะ

ผมจำได้ว่าท่านไนท์เคยสอนให้แบ่งอัลฟ่าออกเป็นสองประเภท พวก 'ซาดิสถ์' กับ พวก 'นุ่มนิ่ม' จะได้เข้าหาถูกวิธี และสร้างเพื่อนให้ถูกกลุ่ม มิฉะนั้นอาจมีจุดจบที่แตกต่างกันไปได้ งั้นนี่แปลว่าท่านเลือกจักรพรรดิโรคจิตคนนี้เรอะ ท่านไนท์ ถ้าท่านไม่ได้นิยมความซาดิสถ์ ท่านก็คงชื่นชอบหน้าตาของเขาสินะ ท่านพกความกล้าไปเบอร์ไหนถึงคิดจะจีบคนพรรค์นี้ได้กัน

"เฮอะ นอกจากหน้าตาจะใช้ไม่ได้แล้ว ร่างกายก็อ่อนแอ แถมยังใช้พลังไม่ได้อีก นี่แกยังกล้านับตัวเองเป็นอัลฟ่าในวงแหวนแรกของภาคีได้อีกหรือ?"

อาเบลถอนหายใจเสียงดัง

"ข้อดีอย่างเดียวของแกคือ แกมันไม่น่ารำคาญแบบไนท์คนก่อน"

ว่าจบผนังและเพดานดวงดาวก็ฉีกขาดออก มิติเอกเทศปิดตัวลงแล้ว ผมกลับมายืนที่เดิม เบื้องหน้าขบวนต้อนรับที่เพิ่งมาถึงครบ ผมมองนาฬิกาที่นับถอยหลังก็พบว่ามันเพิ่งนับถึงศูนย์ เวลาเพิ่งผ่านไปแค่วินาทีเดียวเท่านั้นเอง แต่การสนทนาของผมและจักรพรรดิอาเบลก็จบลงแล้ว

"การประชุมครั้งหน้า แกไม่จำเป็นต้องมาแล้วล่ะ"

สายตาเย็นชากลายเป็นความเบื่อหน่าย คำพูดดูแคลนกลายเป็นความไม่แยแส

ผมยืนอึ้ง มองดูจักรพรรดิอาเบลหันหลังกลับเหมือนหมดธุระของเขาแล้ว เขาวางมือบนอากาศแล้วสะพานข้ามดาราก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง เขาหมดความสนใจอย่างรวดเร็ว เหมือนผมเป็นแค่ดาวเคราะห์น้อยที่เสร้จสิ้นกระบวนการวิเคราะห์แล้วก็ไร้ประโยชน์

เบต้าผู้ติดตามดูไม่ประหลาดใจอะไร แต่เหล่าโอเมก้าที่ขนของบรรณาการมาเต็มคันรถกลับทำหน้าเลิ่กลั่กงุนงงว่าควรทำอะไรต่อไปดี

"ชักช้า..."

พลันร่างของโอเมก้าพวกนั้นก็สลายไป มันถูกทำลายจากคำบัญชาของผู้ที่ปั้นพวกมันขึ้นมา เหลือเพียงของบรรณาการเต็มคันรถวางเรียงรายในลานกว้าง

"ของพวกนั้นเรายกให้ ถือเสียว่าหมดหนี้ค้างกันในอดีตแล้วกัน อิกไนท์"

แต่คำพูดพวกนี้ไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของผมเลย ผมมองพื้นที่ว่างเปล่าที่เคยมีคนยืนอยู่ตรงนั้น คนที่มีความคิดเรียบง่ายไร้พิษสง คนเหล่านั้น โอเมก้าเหล่านั้น...

จงกล้าหาญ นิก...

จงเป็นอัลฟ่าที่แตกต่าง...

ดวงตาของผมลุกวาว คำพูดของท่านไนท์ ผมไม่เคยลืม ผมกัดฟัน กำมือแน่น เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ นี่คือความโกรธ นี่คือความรู้สึกโกรธเกรี้ยว! ที่ช่วยให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ข้างในได้

ผมสูดลมหายใจเตรียมพร้อมกับแรงปะทะที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แล้วเอื้อมมือคว้าไหล่อีกฝ่ายไว้

หมับ

จักรพรรดิอาเบลชะงัก เขาหันขวับมาด้วยดวงตาอำมหิต บรรยากาศรอบตัวลั่นเสียงเปรี้ยะๆติดๆกัน ราวกับคลื่นบางอย่างกำลังเดินทางข้ามอากาศที่เป็นตัวกลางไปทำลายล้างเป้าหมายข้างหน้าให้เป็นผุยผง

ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกอยากจะเปลี่ยนใจร้องว่า มือมันขยับไปเองเหลือเกิน แต่ไม่ได้!! นี่คือสิ่งที่ผมต้องทำ! เพื่อดาวของผม เพื่อท่านไนท์ และเพื่อระบายความรู้สึกโกรธเกรี้ยวข้างในนี้ออกมา!! เพื่อคนพวกนั้นที่ไม่อาจส่งเสียงของตัวเองออกมาได้ ตอนนี้มีแต่ผมคนเดียวที่ทำได้ ผมต้องประกาศศักดาของดาวเฟลม่า ไม่ให้ใครบังอาจมาดูถูกดูแคลนน้ำพักน้ำแรงของท่านไนท์ และไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่ทำร้ายพวกเขา ทำร้ายตัวตนดั้งเดิมของผม!

ผมกัดริมฝีปากตัวเองแล้วเอ่ยออกไปอย่างดุดันที่สุด

"อาเบล นายมาเหยียบดาวของผม คิดว่าจะกลับไปโดยที่ผมไม่อนุญาตได้เรอะครับ"

เจ้าของชื่อหรี่ตาและเลิกคิ้วในจังหวะเดียวกัน คล้ายทั้งประหลาดใจและอยากลองเชิงเช่นกัน อาเบลเชิดหน้าขึ้น ขยับมุมปากเพียงเล็กน้อย

"แล้วแกมีปัญหา?"

โห้ โดนสวนกลับแบบนี้ แล้วผมจะตอบว่าอะไรได้ ใจผมนี่แทบวิ่งหนีไปสุดขอบดาราจักรแล้ว แต่กลับต้องกลั้นใจบังคับมุมปากตัวเองให้เหยียดยิ้มบ้าง

"อาเบลต่างหากที่ดูมีปัญหากับผม...หรือว่ากำลังเสียใจเรอะครับที่ผมไม่เหมือนไนท์คนก่อน?"

ทับทิมในดวงตาเหมือนจะจ้องผมให้มอดไหม้ดั่งยืนอยู่บนผิวดวงอาทิตย์ ผมคลายมือที่บังอาจจับบ่าเบื้องสูงไว้ออกช้าๆ แต่ยังคงพยายามวางท่วงท่าทรงอำนาจไว้ กดเสียงต่ำและเอ่ยอย่างปากกล้าต่อ

"ส่วนเรื่องการประชุม ถ้าผมพอใจจะไปผมก็จะไป ถ้าไม่...ต่อให้เป็นเทียบเชิญจากนาย ผมก็ไม่คิดจะทำตาม เข้าใจตรงกันนะครับ ท่านจักรพรรดิอาเบล"

"…"

ผมกำลังเหยียบเข้าไปในเขตแดนของคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเดาอนาคตตัวเองไม่ออกแล้ว ภายหลังวันนี้ผมคงจะได้ฉายาว่า ราชาดาวเฟลม่ารุ่นที่อายุสั้นที่สุดก็ได้ แต่คิดในแง่ดีอย่างน้อยผมก็ยังมีฉายาล่ะหน่า

"หึ"

!!

ผมหัวใจแทบหยุดเต้น ไม่ใช่เพราะอาเบลออกคำสั่งยิงถล่มดาวเฟลม่า แต่เป็นเพราะว่าจักรพรรดิอาเบลคนนั้นกำลังหัวเราะ แถมหัวเราะหึหึเสียงดังจนชวนให้ขนลุก ผมหวังว่าประธานภาคีคนนี้จะไม่ได้มีฉายาว่า หัวเราะเสร็จสังหารสิ้นดาราจักรหรอกใช่มั้ย!?

"นี่แกโกรธด้วยเรอะ? เห็นใจพวกทาสเหมือนเดิมเลยนะ ไนท์" เขาว่าแล้วแสยะยิ้มมุมปาก

หมับ

ก่อนจะยื่นมือมือเรียวมาบีบคางผม จับให้เชิดขึ้นจนผมรู้สึกว่าหัวถุยๆใกล้จะหลุดจากบ่าแล้ว

"ถ้าแกอวดดีนักก็มาให้ได้ล่ะ การประชุมจัดขึ้นที่เดิม แกได้รับคำเชิญจากเราแล้ว ถ้าแกทำพูดดีแล้วคิดว่าจะปฏิเสธไม่มาได้ล่ะก็..."

พูดจบเขาก็ขว้างผมทิ้ง ขอย้ำคำว่าขว้าง เพราะกริยามันตรงตัวมากจริงๆ แล้วผมก็ลอยละล่อง หรือควรใช้คำว่า 'ปลิว' ไปกระทบ ไม่สิ 'กระแทก' กับผนังดังอั่ก แล้วร่วงแหมะลงไปกองกับพื้นเหมือนซากแมลงวัน

"อย่าให้เราบอกเลยว่าแกจะเจอกับอะไร...แกกับดาวของแก..."

อาเบลมองเหยียดๆเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเรียกสะพานข้ามดาราขึ้นมาใหม่ก่อนจะหันมามองผมที่ยังลุกไม่ขึ้น

"เราหวังว่าแกจะมานะอิกไนท์"

แล้วอาเบลก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำแผ่วเบา

"และก็ช่วยสงบปากสงบคำในโต๊ะประชุมให้ดีด้วยล่ะ ถ้าแกกล้าพูดอะไรงี่เง่าออกไป เราจะไม่ให้แม้แต่ธุลีของดาวเฟลม่ามีที่ฝังในอวกาศ จำไว้ซะ"

พูดจบก็เชิดคางสะบัดชายผ้าคลุมขึ้นสะพานข้ามดาราไปพร้อมเสียงกริ๊งๆของสายโซ่บนเกราะเงิน ทิ้งผมให้มองตามด้วยปากอ้าค้าง

ฟะ 'แฟนเก่า' ท่านมาขู่จะบึมบ้านท่านเอาซึ่งๆหน้าเลยล่ะท่านไนท์

หวังว่าท่านคงไม่ได้มีประวัติแอบหลายใจหรอกนะ ไม่งั้นผมว่าดาวเราคงไม่รอดไปง่ายๆแน่นอน

นาฬิกาอะตอม* : คือเครื่องมือวัดเวลาที่มีความเที่ยงตรงมากที่สุด โดย 1 วินาที จะมีค่าเท่ากับช่วงเวลาที่ธาตุ Cesium-133 รับ และปลดปล่อยพลังงานในการเปลี่ยนระดับสถานะครบ 9,192,631,770 รอบ" และในหนึ่งล้านปี เวลาของนาฬิกาอะตอมจะมีความคลาดเคลื่อนเพียง 1 วินาที