ผมลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจบนเตียงนอนใหม่ที่ไม่คุ้นเคย มันเป็นเตียงหรูหราพร้อมด้วยเสาสี่ด้านและม่านพรางตา ตรงกลางเป็นฟูกนุ่มจนแทบจม และผ้าห่มพองๆที่ดูน่าจะอุ่น แต่เมื่อล้มตัวลงนอน มันกลับไม่ได้อบอุ่นเท่ากองฟางเล็กๆที่ผมนอนดูดาวกับท่านไนท์ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงไม่ค่อยชอบนอนในห้อง
ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เหล่าโอเมก้าแรงงานที่ลานปราสาทกำลังแบกหามหินกันแต่เช้าตรู่ เบต้าหัวหน้าคนงานให้พวกมันแบ่งกะกันทำงานอย่างขยันขันแข็ง
'แบกหิน วางหิน ย้ายหิน เดินกลับไปเอาหิน'
ในสมองอันซื่อตรงของมันคิดไล่เรียงสิ่งที่มันต้องทำไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแรงต่อต้านและไม่มีความคิดอื่นใดแทรกแซงแม้แต่น้อย พวกมันมีความสุขเมื่อได้พัก สนุกกับการได้กินอิ่มนอนหลับ แล้วก็ตื่นมาทำงานอย่างเต็มที่ เป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างเรียบง่ายจนน่าอิจฉา
สักพักก็มีกลุ่มของโอเมก้าทหารลาดตระเวนผ่านมา พวกมันมีร่างกายสูงใหญ่ สวมชุดเกราะและมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังกว่าโอเมก้าแรงงานหลายเท่า พวกมันรวมกันเป็นกองทัพเล็กๆเพื่อควบคุมความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆ
ประเภทของโอเมก้าจะแบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน พวกประเภทแรงงานกับทหารมักจะถูกอัลฟ่าสร้างสรีระภายนอกให้เป็นเพศชายเพื่อประโยชน์ของการทำงาน และมักจะมีเบต้าเป็นหัวหน้างานในฝ่ายต่างๆ เพื่อตัดสินใจปัญหาเล็กๆน้อยๆที่โอเมก้าไม่สามารถทำได้
สำหรับร่างโอเมก้าที่ผมใช้อยู่นี้ ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง มันเป็นโอเมก้าพันธ์ุพิเศษที่เรียกว่าพันธุ์เร็บ-พริก้า
มีลักษณะเด่นที่มีรูปร่างเล็กจ้อย สูงเพียงครึ่งหนึ่งของโอเมก้าชนิดอื่นๆ พลังกล้ามเนื้อเป็นศูนย์ ผิวหนังเนียนนุ่ม แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆที่แฝงฟีโรโมนเป็นเอกลักษณ์ดึงดูดใจแผ่ออกมาเป็นระยะๆ เพื่อกระตุ้นการความอยากขยายพันธ์ุของอัลฟ่าบางคนที่อาจจะตายด้านไปแล้ว
โอเมก้าแบบนี้ต้องส่งเข้าวังอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีใครในดวงดาวมีสิทธิครอบครองมันนอกจากอัลฟ่า ใครแตะต้องมีโทษตาย ถ้ามีกำเนิดขึ้นมาก็มักจะต้องถูกเอามาอยู่เคียงข้างอัลฟ่าในรุ่นนั้นๆ เพื่อปกป้องกันการแย่งชิงจนเกิดจลาจล
และตามปกติมักพบโอเมก้าขนิดนี้เป็นเพศหญิงซะเป็นส่วนมาก เพศชายของโอเมก้าเร็บพริก้านั้นหายาก เชื่อกันว่าจะกำเนิดมาในช่วงที่เผ่าพันธ์อยู่ในช่วงอันตรายต่อการสูญพันธ์ุ เพราะด้วยสรีระที่แข็งแกร่งและความทนทานที่มากกว่า ทำให้โอเม-ก้าเร็บพริก้าเพศชายมีศักยภาพในการผลิตทายาทได้มากกว่า เร็วกว่า แต่อาจไม่เหมาะกับรสนิยมของอัลฟ่าบางคน
ในยุคของอัลฟ่ารุ่นก่อนก็มีโอเมก้าพันธ์ุนี้อยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็คือ ผมนั่นเอง
"พวกแกยืนโง่ทำอะไรกัน" เสียงของหัวหน้าฝ่ายกองก่อสร้างดังขึ้น พร้อมเสียงหวดแส้ในมือใส่โอเมก้าแรงงานที่สังเกตเห็นผมและกำลังเหม่อลอย
"ทำงานต่อได้แล้ว นั่นแกมองหาอะไร" เบต้าระดับรุคคนนั้นว่าพลางลงแส้อีกหนเมื่อพวกโอเมก้าขยับกันเชื่องช้าเกินไป แล้วก็สังเกตเห็นผมเช่นกัน
"โอ้"
แววตาที่เหี้ยมเกรียมแปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มหลง มันกำแส้แน่นขึ้น เผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่ตั้งใจ แล้วย่างสามขุมเข้ามาหาเป้าหมาย
"เจ้าเป็นโอเมก้าที่ยอดเยี่ยม เอาล่ะ เชื่อฟังข้าแล้วจะไม่ต้องเจ็บตัวนะ"
ผมยกมือเกาหัว ไม่แน่ใจว่าใครสมควรเชื่อฟังใคร แต่ในสายตาของคนอื่น พวกเขามองเห็นผมเป็นเพียงโอเมก้าพันธุ์พิเศษที่หาได้ยาก
"ว่าง่ายๆนั่นแหละดีมาก"
มันเอามือจับศีรษะของผมไว้ สีหน้ามันบอกความต้องการชัดเจน แต่แล้วก็ชะงักงัน ความตื่นตระหนกเริ่มแทรกซึมจนขยายกว้างเป็นความหวาดกลัว
มันจ้องตาผม ผมก็จ้องตอบ แล้วก็เห็นสิ่งที่มันเห็นในดวงตาของผม ดวงตาสีหมอกที่สะท้อนเงาของดวงดาว เหมือนจักรวาลทั้งมวลประทับอยู่ข้างใน งดงามดั่งคำเล่าลือของดาราจักรที่มันย่อมไม่เคยเห็น
"จะเจ้าเป็นตัวอะไรกัน?" ความคิดของมันสับสน เบต้าระดับรุคกำลังหวาดวิตก มันกำลังคิดจะไปรายงานเรื่องนี้กับคนอื่น ไม่ก็รีบทิ้งผมแล้ววิ่งหนีไปโดยเร็วที่สุด ซึ่งนั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
"ท่านนิก"
เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกนามของผม พร้อมกับการปรากฎตัวของเบต้าติดตามนับร้อย และโอเมก้าทหารอีกนับไม่ถ้วน ทั้งหมดเข้าล้อมพื้นที่อย่างรวดเร็ว จนเบต้าระดับรุคหน้าซีดเผือด
'ท่านเวสต์'
ความคิดของกลุ่มคนดังออกมาเป็นคำเดียวจนผมอยากปิดหู แต่ก็ไม่ช่วยอะไร เพราะมันดังอยู่ในความคิด โอเมก้าและเบต้าในบริเวณนั้นคุกเข่าทำความเคารพลงแทบเท้า ตาเหลือกลาน เนื้อตัวสั่นเทา
นอร์ทเวสต์ เบต้าระดับท็อปหนึ่งเดียวของดวงดาว แค่พวกมันเห็นหน้าและรอยแผลเป็นของเขา ทุกคนก็กลัวจนตัวสั่น แล้วทีผมล่ะ? ไม่มีใครเห็นหัวผมสักคน หรือผมควรจะสักรอยแผลเป็นบนหน้าเพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามบ้าง
เวสต์ถอนหายใจยาวเหยียด เขาคุกเข่าลงตรงหน้าผมอีกแล้ว
"ท่านนิก ท่านมาทำอะไรที่นี่ ทุกคนรอท่านอยู่ในพระราชวังนิทธารา"
"นี่ผมนัดใครไว้ด้วยหรือ?" ผมจำได้ว่าผมไม่ได้นัดใครไว้นะ ทำไมต้องมารอผมด้วยล่ะ
เวสต์ทำหน้าอ่อนล้า แต่ทำไมพอเห็นสีหน้าแบบนั้นของเวสต์แล้วผมกลับรู้สึกกระตือรือร้นยิ่งขึ้นนะ
เบต้าหนุ่มมองไปรอบๆแล้วกวักมือเป็นสัญญาณ โอเมก้าทหารรุ่นใหญ่ตัวสูงเท่าหลังคาบ้านก็ก้าวออกมาจากแนวหลัง และเข้าประคองกองฟางที่ผมนั่งอยู่ขึ้น
"ข้าน้อยขออนุญาตเคลื่อนย้ายสถานที่พักผ่อนของท่านชั่วคราว" เวสต์เอ่ยเนิ่บๆ
โอเมก้ายักษ์กระโดดวูบเดียวก็ข้ามชาวมุงทั้งหลายออกจากเขตก่อสร้างไปในก้าวเดียว เป็นพลังกล้ามเนื้อที่เหนือชั้นและ...ลมเย็นดีจริงๆ
"ท่านนิก ข้าน้อยขอบังอาจกล่าวเตือนท่าน โปรดอย่าปลอมตัวเป็นโอเมก้าออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้ ถ้าจะพักผ่อนโปรดพักที่สวนภายในพระราชวังนิทธาราของท่านเถอะ"
"ผมไม่ได้ปลอมตัว" ผมหันไปยืนยันกับเวสต์
"แต่นี่เป็นร่างของผมอยู่แล้ว"
เวสต์เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาเขาพิจารณาโอเมก้าพันธุ์พิเศษตรงหน้า จากนั้นก็เอ่ยอย่างสงบว่า
"นั่นเป็นร่างในอดีตของท่าน ไม่ใช่ปัจจุบัน"
"…"
ผมไม่ตอบอะไร แต่ยกมือขวาขึ้นช้าๆ เส้นด้ายที่ไม่มีใครมองเห็นหนึ่งเส้นโยงลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นก็แยกออกเป็นสิบเส้น ด้ายสีแดงเลือดนกแตกแขนงออกไปเป็นพันๆหมื่นๆสาย จำนวนที่แท้จริงอาจจะมากกว่าจำนวนประชากรบนดวงดาว หรือมากเท่าอนันต์
มันคือ
S R T I N G
เส้นด้ายที่พระเจ้ามอบให้กับสาวกที่พระองค์รัก พลังของผู้สร้างที่เอาไว้รังสรรค์สรรพสิ่งในดวงดาว ห่อหุ้มทุกชีวิตเอาไว้ ด้ายที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากอัลฟ่าในยุคนั้น การสั่นพ้องของมันกำเนิดเสียงเหมือนโน้ตดนตรี อนุญาตให้อนุภาคตั้งต้นที่เล็กที่สุดของสรรพสิ่งกำเนิดขึ้น และหลอมรวมเป็นสิ่งที่อัลฟ่าต้องการ
ผมมองเส้นด้ายล่องหนที่กระจายหายไปในท้องฟ้า ไม่มีใครเข้าใจที่มาหรือขีดจำกัดของมันได้ชัดเจนแม้แต่กับอัลฟ่าที่เป็นผู้ครอบครอง แต่ทุกคนรู้ดีว่ามันคือสิ่งที่เชื่อมโยงประชาชนทุกคนเอาไว้กับประกาศิตของอัลฟ่า ให้พวกเขาทำตามหน้าที่โดยไม่อาจบิดพลิ้ว และควบคุมสังคมในอุดมคตินี้เอาไว้เพื่อความสงบสุขของจักรวาล...ตามที่ภาคีได้กล่าวไว้
ในอาณาเขตของดวงดาวที่อัลฟ่าทำสัญญาก็เหมือนสนามเด็ก อัลฟ่าจะทำสิ่งใดก็ได้ ถ้าไม่ไปยุ่งกับดาวดวงอื่น หรือทำผิดกฎของพระเจ้า
ชีวิตการเป็นอัลฟ่าก็แสนสบาย มีระยะเวลาเป็นอนันต์ตั้งแต่ดวงดาวนี้กำเนิดจนสิ้นสุดถ้าไม่ได้ส่งต่อพลังให้คนอื่น หรือเข้าเงื่อนไขกำเนิดอัลฟ่าคนใหม่
พลังสตริง และเส้นด้ายล่องหนเหล่านี้จึงนับเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่า คือสิ่งที่อัลฟ่าใช้ควบคุมพลังในสถานการณ์ต่างๆ ดังเช่นที่ผมกำลังทำต่อจากนี้
"งั้นผมจะไปรอที่สวนนะเวสต์ ถ้าไม่เจอนายในเวลาห้านาที ผมจะออกไปเดินเล่นนอกสวนต่อนะ"
ผมเอ่ยจบก็ออกเดินทางด้วยพลังของอัลฟ่าโดยไม่ได้สนใจสีหน้าคนที่เดินทางไกลกว่าร้อยกิโลเพื่อมาตามผมกลับไป
เพราะถ้าเวสต์มีวิธีตามมารับผมได้ ก็คงมีวิธีกลับน่ะแหละ ผมคิดว่างั้นนะ ส่วนจะกลับไปทันเวลาที่ผมกำหนดหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผมเพ่งสมาธิในที่ที่ผมจะไป แล้วดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ร่างเปลือกโอเมก้าก็สลายเป็นอนุภาค หายไปจากสายตาและการรับรู้ของประชาชนที่รายล้อม รวมทั้งเวสต์ด้วย ไม่มีใครสัมผัสถึงผมได้อีก
โลกของโอเมก้านั้นเหมือนมิติที่สองที่แบนราบ มันมองเห็นแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าและเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถาม โลกของเบต้าคือมิติที่สาม การรับรู้ของเบต้ากว้างขึ้น แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับผม เพราะอัลฟ่าคือผู้ที่ก้าวเข้าไปในมิติที่สี่ของเวลาและอวกาศ
[ S T R I N G : CODE : R E F O R M ]
ผมสลายเปลือกร่างภายนอกแล้วไปหลอมรวมใหม่ในสถานที่ที่ผมต้องการจะไป โดยขึ้นรูปร่างในมิติที่สามใหม่เป็น โอเมก้าตัวจ้อยตัวเดิม ซึ่งจริงๆแล้วผมสามารถแปลงเป็นอย่างอื่นก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ในดวงดาว แค่ผมชินกับร่างนี้มากที่สุดเท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าระดับความแข็งแกร่งของอัลฟ่ากับเบต้า ไม่ใช่การแบ่งกั้นด้วยระดับกล้ามเนื้อหรือความรู้ แต่เป็นคนละมิติเลย อัลฟ่าจึงเหนือกว่าทุกสิ่งมีชีวิตบนดวงดาวด้วยเหตุนี้เอง
….
ผมมาถึงวังประจำตัวแล้ว และกำลังยืนอยู่บนระเบียงยาวที่ล้อมสวนสีเขียวเอาไว้ ดอกไม้ในสวนกำลังบานสะพรั่ง ทุกกลีบเป็นสีขาวสะอาดตามความชอบของท่านไนท์ที่ชอบสีขาวบริสุทธิ์ ตัวผมในร่างโอเมก้าเองก็เป็นสีขาว แต่ทำไมร่างของท่านไนท์จึงเป็นสีดำสนิทผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
ผมมองพวกมันเพลินๆแล้วทอดสายตาลอดซุ่มโค้งของกำแพงออกไปรอบปราสาท ข้ามขอบทะเลสาบติดกับทุ่งหญ้าเกษตรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มีจุดดำๆขาวๆเป็นฝูงแพะแกะเดินกันเปะปะ โดยมีโอเมก้าและเบต้าที่ควบคุมงานด้านนั้นทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างเรียบง่ายด้วยอุปกรณ์ที่ทำจากไม้และหิน ไม่มีการต่อสู้แย่งชิง ไม่มีการตั้งคำถามใดๆทั้งสิ้น
ผมกระโดดข้ามขอบระเบียงออกไปในสวน เงยหน้าเห็นยอดแหลมของหอคอยที่ยื่นล้ำขึ้นไปประดับท้องฟ้า บนนั้นมีกระจกสีประดับอยู่ ตรงกลางของกระจกเป็นตัวเลขที่จะแปรเปลี่ยนไปเพียงหนึ่งครั้งในแต่ละรุ่นของอัลฟ่า
ตอนนี้มันอยู่ที่เลข 47 รุ่นของผมเอง และที่ดาวอื่น มันก็จะเป็นตัวเลขอื่น เพราะเงื่อนไขการส่งต่อพลังอัลฟ่าของแต่ละดาวไม่เหมือนกัน บางดาวร่วมล้านปียังมีอัลฟ่าเพียงคนเดียว ขณะที่บางดาวเปลี่ยนไปหลายสิบครั้งแล้ว เช่นที่ดาวเฟลม่าแห่งนี้...
อัลฟ่ารุ่นก่อนๆจะส่งต่อพลังให้กับเบต้าที่แข็งแกร่งที่สุด ให้พลังเขากึ่งหนึ่งเพื่อให้เริ่มรับรู้มิติที่สี่ได้ และแต่งตั้งให้เขาเป็นอัลฟ่าฝึกหัดเพื่อรอรับสืบทอดพลังหลังปรับตัวเข้ากับพลังได้ดีแล้ว
แต่ท่านไนท์ปฏิเสธจะทำตามธรรมเนียมนี้ และยกพลังอัลฟ่าหนึ่งเดียวให้กับโอเมก้าคนหนึ่ง
นั่นก็คือผมอีกน่ะแหละ
ตัวเลข 47 นี้พาลให้ผมนึกไปถึงตำนานการกำเนิดอัลฟ่าของดาวเฟลม่าที่ท่านไนท์เคยเล่าให้ฟัง เขาว่ากันว่า อัลฟ่าได้กำเนิดขึ้น ในดาวที่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและเทคโนโลยีมาถึงขีดสุด พระเจ้าได้ปรากฎขึ้น ประทานพรหนึ่งข้อลงมาให้กับราชาของดวงดาว และกลายเป็นอัลฟ่าคนแรก สืบทอดส่งต่อกันมาจนกระทั่งถึง อิกไนท์ อัลฟ่ารุ่นที่ 46 ของดาวเฟลม่า
แต่ทำไมเทคโนโลยีของดวงดาวถึงกลับมาประมาณยุคกลางได้ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน น่าจะเป็นความชอบส่วนตัวของ อัลฟ่าแต่ละรุ่นที่เลือกจะสร้างยุคสมัยของตัวเองเป็นแบบใด จึงสรุปได้ว่านี่คงเป็นความชอบของท่านไนท์นั่นเอง
แต่ที่แน่ๆคือดาวเฟลม่าของเราก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆของระบบดาราจักร เข้าร่วมภาคีเป็นสมาชิกลำดับที่หมื่นกว่าๆ จากทั้งหมดร่วมแสนดวงดาว ถ้าเทียบกับจักรวาลหรือในภาคีแล้ว อารยธรรมของพวกผมเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง ข้างนอกออกไปนั้นเต็มไปด้วยเสือสิงกระทิงแรดที่น่ากลัว
ถ้าคิดตั้งตัวต่อต้านภาคีแบบแม็กซิมัสที่เป็นอันดับต้นๆในตอนนั้น ก็คงหายสาบสูญไปทั้งดาราจักรในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีของความเร็วแสง
เพราะการจะฆ่าอัลฟ่าต้องทำลายทั้งดวงดาว ถ้าดวงดาวดับสลายอัลฟ่าก็ไม่อาจอยู่ได้ นี่เป็นสิ่งที่รู้กัน
การกระทำของท่านไนท์จึงนับว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาตามมาได้ ถ้ามีคนอื่นนอกดวงดาวรู้เข้า
…
ผมกวาดตามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ร่วมงาน ผมคิดว่าผมรอมานานพอแล้ว ในเมื่อเวสต์ยังไม่กลับมา ผมก็จะออกไปเดินสำรวจดาวต่อล่ะนะ
ทันทีที่คิดจะไป ประตูทางเข้าสวนก็ผลักออกปรากฎใบหน้าของเบตัาอันดับหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตที่เลอะเทอะเล็กน้อย ดูเหมือนเสื้อนอกของเขาจะหล่นหายไประหว่างทางกลับมาแล้วล่ะมั้ง สภาพของเขาดูโทรมลงไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังมีสง่าราศีอยู่ ทำเอาผมประหลาดใจที่เขาตามมาได้เร็วขนาดนี้ ฉายาเบต้าอันดับหนึ่งคงไม่ได้มาง่ายๆถ้าไม่สามารถติดตามอัลฟ่าที่เดินทางข้ามสถานที่และเวลาได้สินะ
พอเห็นผมชัดๆ เวสต์ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้งแล้วเดินมาคุกเข่าแบบที่ผมไม่เคยชอบ
"ท่านนิก รบกวนเลิกใช้ร่างของโอเมก้าที่นี่เถอะขอรับ"
หา? พอมาถึงก็ขออะไรแปลกๆอีกแล้ว
"ทำไมล่ะ รังเกียจที่จะเห็นโอเมก้าเดินไปมาในวังหรือไร"
เวสต์ส่ายหน้า
"ที่นี่มีแต่เบต้าระดับสูงก็จริง แต่ข้าน้อยเกรงว่า..."
"นายคงไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของผมหรอกกระมั้ง ถ้าอย่างนั้นนายคงกังวลว่าลักษณะจำเพาะของโอเมก้าชนิดนี้จะไปรบกวนการทำงานของเบต้าคนอื่นๆมากกว่า"
"เป็นตามที่ท่านเอ่ย ท่านนิก" เวสต์รับคำตรงๆ
อืม ผมก็รู้คุณสมบัติของโอเมก้าชนิดนี้นะ แต่ว่าผมชินกับร่างนี้มากกว่า ความเคยชินที่อยู่กับมันมาเนิ่นนาน ทำให้ผมไม่อยากจากลามันเลย แม้มันจะสร้างปัญหาก็เถอะ
"แล้วมันรบกวนนายด้วยหรือเปล่าล่ะ"
"…" ความคิดของเวสต์เป็นเพียงเส้นตรงมาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง ผมคิดว่าเขาคงสามารถควบคุมความคิดตัวเองได้ดีในระดับที่การอ่านผ่านสายตาตรงๆคงไม่สามารถตีความไอ้ขีดความคิดที่ราบเรียบนี้ได้
ผมมีสองทางเลือกคือรอให้เขาเปิดปากเอง หรือไม่ก็บุกไปงัดมันออกมาจากซอกหลืบในสมองอันซับซ้อนของเบต้าอันดับหนึ่งของดาว ซึ่งนั่นไม่ใช่งานถนัดของผมที่ไม่เคยมีความนึกคิดมากกว่าหนึ่งบรรทัดมาก่อนแน่นอน
แต่การที่เจ้านี่มีสิทธิมายืนค้ำหัวผม เอ่ยปากพูดโดยไม่ต้องขออนุญาตได้ รวมทั้งไม่เอ่ยปากพูดเวลาผมอยากให้พูดก็ได้ด้วย นี้มันจะมีอำนาจมากเกินไปแล้วนะ
ผมจับใบหูสองข้างของเขาแล้วดึงหน้าผากสัมผัสกันเพื่อให้ผมอ่านความคิดเขาได้ชัดเจนขึ้น แล้วผมก็ได้คำตอบ
'รบกวนเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับงานสำคัญที่ท่านทิ้งค้างไว้'
และเป็นคำตอบที่...ไม่น่าฟังเสียเลย
เนื่องจากเวสต์เป็นเบต้าเพียงคนเดียวที่ได้รับการยกเว้นให้เอ่ยทักท้วง เขาจึงมีอิสระในการพูด แต่หลังจากพูดจบหรือคิดจบเขาจะอยู่หรือไป อันนี้แล้วแต่อารมณ์ของอัลฟ่าอยู่ดี ซึ่งผมก็ยังไม่มีอารมณ์ไปทำลายผู้ช่วยชั้นเลิศแบบนี้ทิ้งหรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะตามใจแน่นอน
"งั้นในเมื่อมันไม่รบกวนนายมากนัก ผมจะใช้ร่างนี้เวลาอยู่คนเดียวกับเวลาอยู่กับนายแล้วกัน ดีมั้ย"
เวสต์ชะงักเหมือนอยากจะโต้แย้ง แต่ผมก็ชิงตัดบทไม่ยอมให้เขาเรื่องมากไปกว่านี้
"แล้ววันนี้ผมต้องทำงานอะไรบ้างล่ะ?"
แค่ได้ยินว่าผมจะทำงาน เบต้าอันดับหนึ่งผู้ควบงานหลายๆอย่างของอัลฟ่าไปด้วย ก็ลืมเรื่องที่จะท้วงติงเมื่อกี้ไปทันทีแล้วกระตือรือร้นอย่างหาดูได้ยาก เขาไม่จำเป็นต้องหยิบเอกสารอะไรขึ้นมาอ่านเพื่อทบทวนงานให้ผมฟัง แต่เวสต์ท่องมันออกมาได้ทันที เหมือนเขารอให้ผมถามคำถามนี้มานานแล้ว
"อ้างอิงจากสิ่งที่ท่านไนท์และอัลฟ่ารุ่นก่อนทำมา วันจันทร์ - ตรวจสอบแก้ไขภูมิประเทศและเปลี่ยนแปลงฤดูกาล วันอังคาร - พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร และปรับปรุงพันธุกรรม วันพุธ - สานสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างดาวพันธมิตร และสรุปมติประชุมของภาคี วันพฤหัส - ศึกษาการใช้พลังอัลฟ่าในการปกป้องดวงดาวจากอันตรายในจักรวาล และค้นคว้าวิจัยพลังสตริงเพิ่มเติม วันศุกร์..."
เวสต์นี่ก็สมกับที่รับตำแหน่งมากว่าสิบๆปี รายละเอียดอะไรไม่มีตกหล่น ส่วนหน้าตาก็ยังดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่าทั้งที่ต้องทำงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดพักผ่อนเลย เรียกได้ว่าหน้าที่ของมหาดเล็กนั้นคือ ห้ามแก่ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามลา ห้ามขาด เมื่อก้าวเข้าสายงานนี้ครั้งหนึ่งแล้วก็คือการทำหน้าที่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ส่วนผมแค่เริ่มฟังก็กำลังเคลิ้มละ ตาปรือลง ปกติผมก็ชอบหลับไปเวลาท่านไนท์พูดอะไรยากๆ แต่เท่าที่ฟังผ่านๆงานมันก็ดูไม่ได้น้อยๆนะ ทำไมผมถึงเห็นท่านไนท์ว่างนั่งเล่นกับผมทุกวันเลยล่ะ
"ท่านนิก ท่านฟังอยู่หรือเปล่า"
ผมได้สติรีบโคลงศีรษะขึ้นมา เพ่งสมาธิพยายามควบคุมมันให้ตั้งตรง เวสต์นี่ก็มีมารยาทเหลือเกินนะ เมื่อกี้ผมเอนหัวพิงเก้าอี้ไปแล้ว คำถามของเขาควรจะเป็น 'เมื่อกี้ท่านหลับไปแล้วใช่มั้ย' มากกว่าถามว่า 'ท่านยังฟังอยู่รึเปล่า' ด้วยซ้ำ
"สรุปย่อๆอีกทีได้มั้ย"
เบต้าอันดับหนึ่งมองมานิ่งๆ เหมือนไร้ความรู้สึก
"ท่านนิก เอาเป็นว่าวันนี้ข้าน้อยเคลียร์งานให้ท่านหมดแล้ว ที่เหลือท่านค่อยๆเรียนรู้ไปแล้วกัน เริ่มจากวันนี้เป็นวันพุธ เพื่อนอัลฟ่าพันธมิตรของท่านไนท์จะมาเยี่ยมเยียน ท่านควรเตรียมตัวพบ..."
คำพูดของเวสต์ชะงักไป ผมเลยเผยอเปลือกตาขึ้นเหลือบมองว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแบกความเครียดมากเกินไปจนจุกอกกระทันหันหรือไร แต่ผมกลับพบว่าสายตาของเขากำลังจ้องหนังสือที่ผมถือติดมือมาตลอดอย่างพิศวง
หนังสือที่ผมนอนอ่านบนกองฟาง เหมือนเขาจะเพิ่งสังเกตเห็น
"ท่านนิกสนใจเรื่องของแม็กซิมัสด้วยหรือขอรับ?"
"อ้อ ก็นิดหน่อย นี่เป็นของท่านไนท์น่ะ"
"…"
เวสต์ปิดปากเงียบ แต่ความคิดของเขากลับไม่ได้เงียบไปด้วย
'เรื่องของแม็กซิมัสมีสิ่งใดที่ท่านสนใจ?'
ผมเหลือบมองคนตั้งคำถามที่ทำเป็นยืนนิ่ง
พอรู้ว่าอัลฟ่าอ่านใจได้ ก็ถือโอกาสประหยัดถ้อยคำขึ้นมาเลยนะ
อะไรที่ไม่ควรพูด เช่นการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นเหตุเป็นผลในการกระทำของอัลฟ่า หรือเรื่องต้องห้ามของภาคีที่เบต้าหรือโอเมก้าไม่ควรสงสัย เจ้านี้ก็จะใช้ช่องว่างของกฎ ตั้งสิ่งที่สงสัยไว้ในใจและให้ผมเลือกเองว่าจะตอบหรือไม่ หรือจะลงโทษอย่างไรก็ตามแต่สมควร
เรื่องของแม็กซิมัสไม่ใช่เรื่องที่น่ากล่าวถึงหรือแม้แต่จะศึกษา การเอ่ยถึงแม็กซิมัสต่อหน้าผู้นำภาคีคือการรนหาที่ตาย
ในประกาศของภาคีระบุว่าแม็กซิมัสทำลายตัวเอง ด้วยการทรยศต่อพระผู้สร้าง เขาทำลายกฎของลำดับชั้นที่ค้ำจุนจักรวาลมาช้านานลง ทำให้อนาคตที่สงบสุขถูกคุกคาม ภาคีจงใจตัดสินโทษตายให้แม็กซิมัส เพื่อสอนอัลฟ่ารุ่นหลังไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง แน่นอนมันต้องมีคำโกหกอยู่ในนั้นบ้าง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าแม็กซิมัสแพ้อย่างไรก็ชัดเจนจนไม่อาจโต้เถียงได้
สำหรับอัลฟ่า เบต้ากับโอเมก้าก็เหมือนของเล่นในสนามเด็กเล่น จะเล่นจะพังไปกี่ชิ้นหาใหม่ได้ไม่ยากเย็น ไม่มีความจำเป็นที่อัลฟ่าจะต้องเห็นใจพวกมัน นี่คือสิ่งที่ภาคีต้องการสื่อ และใครคิดจะทำเช่นแม็กซิมัสอีก ก็เตรียมพบจุดจบแบบเดียวกันได้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นท่านไนท์ก็ยังเลือกที่จะทำในสิ่งนี้ และผมก็มีสิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำเช่นกัน
"มันไม่มีอะไรหรอก ผมแค่นึกครึ้มๆเลยหยิบมาอ่าน ท่านไนท์เคยอ่านให้ผมฟังครั้งหนึ่งตอนนั้นผมไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ตอนนี้เข้าใจขึ้นเยอะเลยล่ะ"
"…"
ความคิดเวสต์ราบเรียบจนผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกอะไรกับเรื่องของแม็กซิมัส เขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันนะ?
ผมเข้าใจหลายเรื่องมากขึ้นก็จริงเมื่อมีพลังอัลฟ่า แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ
ทำไม ท่านถึง...ให้พลังกับผม ทั้งที่ท่านมีเบต้าที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่เคียงข้าง แล้วทำไม ท่านถึง...ไม่เลือกเขา
"เวสต์"
"ขอรับ?"
"นายคือเบต้าที่ยอดเยี่ยมที่สุด..."
ผมเว้นวรรค จ้องใบหน้าที่นิ่งงันรอรับฟังของเวสต์อย่างคาดคั้น
"นายเคยอยากเป็นอัลฟ่ามั้ย?"
คำถามที่ตอบผิดคือตาย ตอบถูกก็อาจไม่อยู่ครบสามสิบสอง แม้แต่ผมที่เป็นคนถามก็ยังแอบใจสั่น ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องถาม แต่ผมก็อยากรู้
อย่างที่ผมบอกแต่ละดาวมีวิธีสืบทอดอำนาจอัลฟ่าแตกต่างกัน บางดาวใช้สายเลือดนำพา บางดาวให้ต่อสู้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติ บางดาวเลือกตามคำทำนายทายทัก ที่ดาวเฟลม่าเราเลือกตามลำดับขั้น อัลฟ่าส่วนมากมาจากเบต้าคนสนิทของอัลฟ่ารุ่นก่อน
เวสต์รับใช้ไนท์มานานเท่าไร ผมไม่รู้แน่ชัด ตอนที่ผมมาที่นี่ผมก็เห็นเขาแล้ว แต่ท่านไนท์กลับก้าวข้ามทั้งหมดไปดื้อๆ แล้วมาเลือกผมที่เป็นโอเมก้า ไม่มีใครรู้เหตุผล ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
ผมอยากรู้ว่าทำไม และผมก็อยากรู้เช่นกันว่าคนสนิทของท่านไนท์คิดยังไงกับเรื่องนี้
เขาเกลียดผมหรือเปล่า?
เวสต์นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นตอบอย่างฉะฉานชัดเจน
"ข้าน้อยเคยตอบคำถามนี้กับท่านไนท์ไปแล้ว"
เอ๊ะ?
เขาตอบด้วยความสงบนิ่งที่สุด เหมือนคำถามนี้เป็นแค่สายลมที่พัดปอยผมเขาให้เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นเท่านั้น
นั่นแปลว่า?
"...ข้าน้อยยินดีติดตามรับใช้ท่านสุดความสามารถ เพราะท่านคือคนที่ท่านไนท์เลือก และท่านคืออัลฟ่าของพวกเรา จุดจบหรือจุดเริ่มต้นของตัวข้าก็ขอให้ท่านเป็นผู้กำหนด และท่านไม่จำเป็นต้องถามคำถามเช่นนี้อีก ท่านนิก เพราะคำตอบของข้าน้อยจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
เวสต์ไม่ได้โกหก เขาสามารถตอบออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มั่นคงและไม่มีสั่นคลอน ผมพยายามมองเข้าไปในความคิดของคนตรงหน้า ก้มเอาหน้าผากแตะก็แล้ว แต่ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนนอกจากความจริงใจที่แสดงออกมาเลย
ผมนิ่งอึ้ง ในใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ผมควรจะดีใจสิ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ผมอดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือพลังของตราประทับที่ยังหลงเหลือ หรือว่าคือความรู้สึกที่แท้จริงของเวสต์?
ผมก็ไม่รู้เลย และบางที...ท่านไนท์เองก็คงไม่รู้เช่นกัน