ร่างกายสูญสลายไปพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ร่วงหล่น ความรู้สึกกลายเป็นว่างเปล่าและถูกทอดทิ้งลงสู่ห้วงลึกที่ไม่อาจเอื้อม
หลับลึกลงสู่ห้วงเหวแห่งภวังค์ฝันไร้แววแสง
ดำดิ่งผ่านกระแสธารกระซิบกระซาก ฉุดกระชากจิตวิญญาณออกเป็นสัดส่วนและหยุดเสียงบรรเลงแห่งชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนวนเวียนภายใต้ใบหูที่ไม่อาจลืมเลือน
น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบใบหน้าที่ไร้กาย แสงสว่างไสวสะท้อนหยดน้ำ ทอแสงเรืองรองไปตามทิศทั้งสิบ ประหนึ่งประกายแสงหนึ่งจุดจากหนึ่งดวงแสง
เปรียบเสมือนความหวังและความฝันส่องสลัวขึ้นชวนให้สายตาต้องเบิกกว้าง นาๆเส้นแสงเรียงรายทับซ้อนเหนือความมืดที่พลันแตกสลายและทอดยาวออกเป็นแสงแรกของพระอาทิตย์
ปลดเปลื้องภาพภวังค์ฝันตัดเข้าสู่ภาพแห่งงานศิลป์เหนือจินตนาการ
สีครามย้อมความมืดและแสงไฟส่องสว่างไปโดยรอบ
ความเลือนลางปรากฎขึ้นเหนือความรู้สึกทางกายที่หวนคืน มือทั้งสองเปล่งปลั่งดั่งการมีอยู่ของผิวพรรณ แขนและขาเอนลงไปตามทิศทางของร่างกายที่คำนึงถึง
หนึ่งช่วงเวลาผ่านพ้น หนึ่งเสียงหยดน้ำแตกกระจายนำพาเศษเสี้ยวเสียงคำรามกู่ร้องออกเป็นพายุเหนือทั่วหล้าผ่านน่านฟ้าทั้งสามลำดับชั้น
มวลหมู่เมฆแยกตัวออกเป็นแอ่งที่ถูกกระทบขณะประสานตัวไปกับฟากฟ้าที่แตกต่าง
สีทั้งสามแบ่งแยกท้องฟ้า
โดยปรากฎชั้นฟ้าคราม ชั้นฟ้าสีม่วงและชั้นฟ้ามืด
ผ่านเศษเสี้ยวของหมู่เมฆบนชั้นฟ้าสีครามที่เคลื่อนรวมกันเป็นหมู่เมฆทึบครอบคลุมทั้งฟ้า ผ่านพ้นแสงประกายงดงามของชั้นฟ้าสีม่วงที่ส่องสว่างราวกับภาพของอวกาศยามรัตติกาล
เพียงเสี้ยววินาทีที่ร่างกายสัมผัสกับเส้นประระหว่างฟ้ามืด หมู่เมฆสีครามพุ่งตรงลงมาเป็นมือนับอนันต์ที่หิวกระหาย
แสงประกายสุดท้ายระยิบระยับเหนือขอบฟ้าที่เลือนลาง
เงาแห่งความมืดแผ่ซ่านปกคลุมทุกสรรพสิ่ง ก่อนที่แสงไฟจะก่อกำเนิดขึ้นจากความความว่างเปล่าบดบังทัศนวิสัย
แสงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นพลังงานความถี่พุ่งทะลุผ่านพ้นต้นทางของแสงที่สั่นไหว ส่องสว่างผ่านความมืดอันธการอันไร้ขอบเขต จวบจนกระทั่งมอดดับลงเมื่อความเย็นยะเยือกหยั่งลึกแตะปลายส่วนประสาทสู่การเบิกกว้างของดวงตา
...
ฟองอากาศต่างพรั่งพรูออกมาจากโพรงจมูก ร่างกายตะเกียกตะกายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
รสชาติเค็มเอ่อนองท่วมท้นทั้งลำคอเมื่อรับรู้ถึงความหนักหน่วงผ่านความเปียกชุ่มและสับสน
ลมหายใจอันร้อนผ่าวดังถี่รัว สายตาลุกลนวูบวาบควานหาชายฝั่งที่ใกล้เคียง
มุมมองโดยรอบตัดสลับกับความมืดที่ไร้ความหวัง
ผิวน้ำที่มืดครึ้มบดบังทัศนวิสัย คลื่นทะเลเคลื่อนตัวสูงและลดระดับต่ำลงมันพัดพาร่างของเขาออกไปนอกพื้นที่ใกล้ชายฝั่งและส่งเสียงกรีดร้องออกเป็นเสียงของหญิงสาว
เสียงที่แหลมสูงท่วมท้นไปด้วยความทรมาณยังคงไล่ตามหลัง สัมผัสประหลาดเกาะยึดไปทั่วร่างกายปานบางสิ่งกำลังฉุดกระชาก
ความหนาวเย็นกัดกินผิวหนังออกเป็นรอยร้าวสีเลือด แสงสีม่วงของน้ำทะเลส่องสว่างขึ้นเมื่อกระทบกับร่างกาย
ภายในช่วงเวลาที่สบสนและทรมาณ ร่างกายที่ไม่สามารถต่อต้านกระแสคลื่นกลายเป็นมีความหวังเมื่อพบเห็นแสงไฟสว่างหนึ่งเดียวเบื้องหน้า
ร่างกายที่เคลือบไปด้วยสะเก็ดน้ำแข็งกลายเป็นบ้าคลั่ง จิตวิญญาณนำพาให้แขนทั้งสองให้ตะหวัดว่ายพุ่งตรงไปยังทิศทางของเสี้ยวแสงที่เลือนลาง
ภาพเบื้องหน้าเริ่มเลือนลางลง ระดับของคลื่นเริ่มอยู่เหนือการต่อต้านของมนุษย์คนหนึ่ง ชีวิตตกอยู่ในอันตรายความตายเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ตลอดเวลาและเขากำลังท้าทายมันเพื่อความยุติธรรมของตนเอง
ผิวพรรณบริเวณแขนฉีกขาดออกภายใต้รอยร้าวกลายเป็นรอยแตกกระจายที่ตกกระทบไปโดยรอบดั่งเศษแก้วนับหมื่น
แผ่ขยายความหนาวเย็นทะลุผิวกายสร้างความปวดร้าวเหนือใบหน้าที่สิ้นหวัง
ปฏิหาริย์ไร้ซึ่งตัวตนและชีวิตที่สับสนจบลงเป็นเพียงตัวหนังสือหนึ่งภาพเขียน
หนึ่งสัมผัสที่เยือกเย็นแผ่ซ่านกอดรัดต้นขาสัมผัสผ่านลำคอด้วยแรงกดดันที่หนักหน่วงก่อนที่ภาพทุกสิ่งจะจมดิ่งลงสู่ความมืด
ภายใต้ภาพสีทึบย้อมม่วงที่ไร้แววแสง พื้นหลังสีมืดประดุจฝันร้ายใต้น้ำเปรียบเสมือนภาพของงานวาดที่กำลังเผยถึงห้วงลึกแห่งความหวาดกลัว
ความมืดจอมปลอมฉาบไปด้วยสีม่วงจางราวกับแสงสว่างจากผิวน้ำ
ไร้ซึ่งแสงสะท้อนจากฟองอากาศโดยรอบริมฝีปากราวกับทุกสิ่งถูกกลืนกินโดยห้วงเหวแห่งน้ำลึกสู่ความเงียบงันที่ไม่อาจหยั่งถึง
จวบจนฉากสีม่วงเลือนหายและถูกแทนที่ด้วยวังวนความมืดที่บิดเบี้ยว กลายเป็นกระแสคลื่นหมุนวนแห่งห้วงเหวใต้น้ำที่มืดมิด
ร่างหนึ่งถูกกลืนหายไปในความเงียบงัน จมดิ่งลงอย่างไร้สุ่มเสียงแห่งความคิด ชีวิตถูกปลดปล่อยจากสัมผัสของโลก
ร่างกายถูกทิ้งให้เผชิญกับความมืดที่แหลกสลายกลายเป็นอนุภาคหนึ่งที่เลือนลาง มลายหายไปในกระแสนิรันดร์แห่งความตาย
เสียงกระดิ่งดังขึ้นไปทั่วน่านน้ำ
แสงไฟจุดเล็กๆกระจายออกไปโดยรอบ แปรเปลี่ยนห้วงลึกแห่งความมืดให้กลายเป็นภาพของห้วงอวกาศเปรียบเสมือนแสงไฟเหล่านั้นเป็นดาวฤกษ์ท่ามกลางความเย็นยะเยือกของน้ำลึก
แสงเหล่านั้นเดินทางเข้ามาใกล้ความรู้สึก มันฉุดร่างของเขาขึ้นจากความมืดที่ไม่อาจหวนคืน
ภาพทั้งหมดยังคงเลือนลางแต่สัมผัสของแสงเหล่านั้นยังคงอ่อนนุ่มและแผ่ซ่านความอบอุ่นผ่านผิวกายที่ใกล้ชิดเปลี่ยนร่างดั่งศพของชายหนุ่มให้กลับมาร้อนผ่าวดั่งการมีอยู่ของชีวิต
ความรู้สึกของมือเหล่านี้แสดงถึงนิ้วทั้งห้าและผิวนุ่มบริเวณแขนที่กำลังกอดรัดแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มไว้แน่น
ช่วงเวลาที่ยาวนานผ่านพ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งอย่างไม่สามารถเชื่อสายตา ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นหายใจอย่างบ้าคลั่งขณะเสียงกระดิ่งจบลง
แสงตะวันสาดทออาบใบหน้าที่มืดคลึ้ม
กลิ่นแรกของอารมณ์ชำระล้างชีวิตและกลิ่นอายของลมทะเลเจือจางผ่านแสงแดดปลอบประโลมจิตวิญญาณของชายหนุ่มที่กำลังสับสน
เพียงชั่วครู่ที่สายตาสอดส่องไปโดยรอบ เขาเห็นเพียงเส้นผมสีดำยาวที่สยายออกและเรือนร่างที่เปล่งปลั่งพุ่งตรงสู่ใต้ผิวน้ำ
เสียงหัวใจยังคงเต้นเป็นกลองรัว อุณหภูมิของร่างกายปลุกเร้าจิตวิญญาณให้รู้สึกถึงการมีชีวิต
สติหวนคืนกลับมาอย่างครบถ้วนอีกครั้ง
แขนและขายังคงขยับเขยื้อนไปตามการควบคุมของความสับสนปะปนความหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ชีวิตขวนขวายถึงลมหายใจและร่างกายต้องการความอบอุ่นเพื่อมีชีวิต
แขนทั้งสองข้างว่ายทวนกระแสน้ำ ผ่านผิวน้ำที่เยือกแข็งตะเกียกตะกายเกยขึ้นบนฟากฝั่ง
เสียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้น
น้ำทะเลถูกอาเจียนลงสู่เม็ดทรายเหนือหาดแห่งหนึ่ง ร่างกายเกลือกกลิ้งและควานหาบาดแผลบริเวณต้นแขนสัมผัสลงมาถึงฝ่ามือ
เมื่อรับรู้ว่าทุกสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นทำให้อาการทั้งหมดโถมลงบนลมหายใจที่ร้อนผ่าวผ่านช่องปากที่เย็นยะเยือก
เส้นผมและเครื่องแต่งกายที่เปียกโชกเป็นหลักฐานถึงการว่ายน้ำที่ทรมาณ แต่ในสถานการณ์หลังจากสูดหายใจอยู่หลายครั้งเพื่อระงับความร้อนลน
สติสัมปชัญญะจึงเริ่มเรียบเรียงภาพทุกสิ่งผ่านดวงตาที่โชกไปด้วยประสบการณ์ หลังจากตื่นขึ้นเหนือฟากฟ้าที่แบ่งออกเป็นสามลำดับชั้นภาพที่สยดสยองจึงเริ่มต้นขึ้นเหนือผิวน้ำที่แตกต่างจากความเป็นจริง
มวลหมู่ดาวเรียงรายส่องประกายอยู่เหนือฟากฟ้ายามรุ่งสางซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากฟ้ามืดสู่การนับวันใหม่
แสงประกายงดงามล้วนมาจากหมู่เมฆบนฟากฟ้าสีม่วงและเหนือขึ้นไปนั้นถูกครอบคลุมไปด้วยพื้นหลังอาณาเขตกว้างใหญ่ของฟากฟ้าสีครามที่มีความกว้างของอาณาเขตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับชั้นฟ้าสีอื่น
เสี้ยวความคิดที่สงสัยและประหลาดใจในเวลาหนึ่งร้อยเรียงกันเป็นเสียงขับขานของหัวใจ ลมหนาวผ่านพ้นและแสงอุ่นสาดส่อง ทุกสิ่งล้วนสวยงามแตกต่างจากสิ่งที่ควรจะเป็น
ชายหนุ่มในสภาพที่เปียกโชกยืนขึ้นพลางแหงนมองภาพบนฟ้าที่ชวนหลงใหล เส้นผมสีดำเจือน้ำตาลที่เปียกโชกพัดโชยไปตามกระแสลมเฉกเช่นเดียวกับชายเสื้อเชิ้ตสีขาว
เสื้อของเขากลายเป็นไร้ค่าและไม่สามารถปกปิดร่างกายหรือกันลมหนาว กางเกงสีดำของเขากลายเป็นเพียงตัวถ่วงที่มากไปด้วยน้ำหนักในสภาพที่หนักหน่วงไปทั้งจิตใจและร่างกาย
ดวงตาที่มืดคลึ้มถูกล่อลวงด้วยสีที่หลากหลายและเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีสองปีกบนฟากฟ้า จนกระทั่งเสียงของลมหายใจกลายเป็นติดขัดและร้อนลน
คำอธิบายเป็นสิ่งไม่ตายตัวเมื่อมันไร้ซึ่งข้อเท็จจริง ภาพทุกสิ่งอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์คนหนึ่ง
มันเกือบพรากชีวิตที่ไม่ทราบสิ่งใดในคราเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบ
วิคเตอร์ เวเบอร์ เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเองด้วยความใฝ่ฝันที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากงานที่ไร้ค่า จากผลการกระทำหนึ่งที่ทำให้อนาคตของเขาจบลงจากสายอาชีพทางการเมืองสู่พลเมืองหาเช้ากินค่ำ แต่สุดท้ายหลังจากผลอยหลับจากการนั่งอยู่ในร้านกาแฟเป็นระยะเวลานานแสงของจอแล็ปท็อปก็กลายเป็นดับวูบและทุกสิ่งจึงเริ่มต้นขึ้น
สายตามองออกไปโดยรอบกายเหนือชายฝั่งขึ้นไปล้วนพบแต่ผืนป่าสีเขียวขจีและผืนหญ้าที่สะพัดไปตามกระแสลม
ร่างกายที่โซเซพยายามเดินผ่านป่าที่อุดสมบูรณ์ เสียงของนกร้องบรรเลงและผีเสื้อบินไปตามทุ่งดอกไม้ สรรพสิ่งล้วนแผ่คลื่นความอบอุ่นผ่านร่างกายที่เปียกโชกให้กลับมาอยู่ในสถานะภาพคงที่
เรื่องแปลกประหลาดยังคงวนเวียนอยู่ภายในศีรษะ
ภาพเหล่านั้นยังคงกดส่วนประสาทและส่งความเจ็บปวดที่ยังคงวนเวียนบริเวณหน้าผาก ดวงตาที่คงที่เริ่มสั่นไหว ความพร่ามัวเกิดขึ้นและจบลงอยู่หลายครา
ร่างกายเอนเอียงปานสิ้นลมหายใจ สุดเสี้ยวลมปอดที่ยากลำบากหลังของชายหนุ่มประทับพิงต้นไม้ขูดรูดลงมาขณะใบไม้ต่างร่วงหล่นปกคลุมผืนหญ้า
มือหนึ่งกุมหน้าผาก อีกมือประทับลงบนผืนแผ่นไม้และยันร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้น กระทั่งเหงื่อหยดหนึ่งร่วงหล่นอาบหน้าผากแตะสัมผัสปลายขนตาจึงสามารถสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ได้อีกครั้ง
ก่อนที่จะส่งเสียงไอที่แหบแห้งออกมาจากลำคอ
ขาที่สั่นไหวประคองร่างกายที่เหนื่อยหน่ายแบกรับความรู้สึกปานร่างกายกำลังถูกสูบวิญญาณหรืออายุไขไปทั้งสิ้นเสีย
แม้เป็นความคิดที่ไร้ซึ่งภาพพจน์ทางความเป็นจริง แต่ยังคงเป็นความรู้สึกที่สามารถเปรียบเทียบจากการรับรู้ผ่านความเข้าใจภายใต้จิตใจ
หลายๆสิ่งไม่สมเหตุสมผล จวบจนกระทั่งเมื่อแหงนมองฟ้าเหนือกิ่งก้านต้นไม้ที่ร้อยพันกันอย่างลึกลับ แสงของท้องฟ้าเหล่านั้นยังคงเป็นเช่นเดิม
แรงกายดับวูบแขนและขาทรุดตัวลงด้วยความอ่อนแรงเมื่อถูกจิตใจของตนด้อยค่าความพยายามที่ไร้ซึ่งความหวัง
ความคิดกลายเป็นสิ่งกัดกร่อนจิตใจ ความก้าวหน้าทางความคิดไม่ต่างจากการวนเวียนภายในความมืดที่ไม่อาจคลำหาแสง
ร่างกายถูกปล่อยทิ้งในสภาพที่ไม่อาจต่อต้าน
หนังตาหย่อนลงขณะศรีษะเอนลงสู่พื้น
...