Download Chereads APP
Chereads App StoreGoogle Play
Chereads

Miracle Violator

🇹🇭SparkofHope
7
chs / week
The average realized release rate over the past 30 days is 7 chs / week.
--
NOT RATINGS
227
Views
Synopsis
เหนือฟากฟ้าสามลำดับชั้นเหนือดวงดาวที่ไม่อาจเอื้อมภายใต้โลกที่เสื่อมสภาพและปรากฎไปด้วยภาพปฏิหาริย์ เปลวเพลิงไหม้กลืนกินทุกสายธารโลหิตท่ามกลางเสียงหัวเราะที่หลงระเริงภายใต้ควันมืดไร้วิญญาณ..
VIEW MORE

Chapter 1 - ฟากฟ้าสามลำดับชั้น

ร่างกายสูญสลายไปพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ร่วงหล่น ความรู้สึกกลายเป็นว่างเปล่าและถูกทอดทิ้งลงสู่ห้วงลึกที่ไม่อาจเอื้อม

หลับลึกลงสู่ห้วงเหวแห่งภวังค์ฝันไร้แววแสง

ดำดิ่งผ่านกระแสธารกระซิบกระซาก ฉุดกระชากจิตวิญญาณออกเป็นสัดส่วนและหยุดเสียงบรรเลงแห่งชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนวนเวียนภายใต้ใบหูที่ไม่อาจลืมเลือน

น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบใบหน้าที่ไร้กาย แสงสว่างไสวสะท้อนหยดน้ำ ทอแสงเรืองรองไปตามทิศทั้งสิบ ประหนึ่งประกายแสงหนึ่งจุดจากหนึ่งดวงแสง

เปรียบเสมือนความหวังและความฝันส่องสลัวขึ้นชวนให้สายตาต้องเบิกกว้าง นาๆเส้นแสงเรียงรายทับซ้อนเหนือความมืดที่พลันแตกสลายและทอดยาวออกเป็นแสงแรกของพระอาทิตย์

ปลดเปลื้องภาพภวังค์ฝันตัดเข้าสู่ภาพแห่งงานศิลป์เหนือจินตนาการ

สีครามย้อมความมืดและแสงไฟส่องสว่างไปโดยรอบ

ความเลือนลางปรากฎขึ้นเหนือความรู้สึกทางกายที่หวนคืน มือทั้งสองเปล่งปลั่งดั่งการมีอยู่ของผิวพรรณ แขนและขาเอนลงไปตามทิศทางของร่างกายที่คำนึงถึง

หนึ่งช่วงเวลาผ่านพ้น หนึ่งเสียงหยดน้ำแตกกระจายนำพาเศษเสี้ยวเสียงคำรามกู่ร้องออกเป็นพายุเหนือทั่วหล้าผ่านน่านฟ้าทั้งสามลำดับชั้น

มวลหมู่เมฆแยกตัวออกเป็นแอ่งที่ถูกกระทบขณะประสานตัวไปกับฟากฟ้าที่แตกต่าง

สีทั้งสามแบ่งแยกท้องฟ้า

โดยปรากฎชั้นฟ้าคราม ชั้นฟ้าสีม่วงและชั้นฟ้ามืด

ผ่านเศษเสี้ยวของหมู่เมฆบนชั้นฟ้าสีครามที่เคลื่อนรวมกันเป็นหมู่เมฆทึบครอบคลุมทั้งฟ้า ผ่านพ้นแสงประกายงดงามของชั้นฟ้าสีม่วงที่ส่องสว่างราวกับภาพของอวกาศยามรัตติกาล

เพียงเสี้ยววินาทีที่ร่างกายสัมผัสกับเส้นประระหว่างฟ้ามืด หมู่เมฆสีครามพุ่งตรงลงมาเป็นมือนับอนันต์ที่หิวกระหาย

แสงประกายสุดท้ายระยิบระยับเหนือขอบฟ้าที่เลือนลาง

เงาแห่งความมืดแผ่ซ่านปกคลุมทุกสรรพสิ่ง ก่อนที่แสงไฟจะก่อกำเนิดขึ้นจากความความว่างเปล่าบดบังทัศนวิสัย

แสงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นพลังงานความถี่พุ่งทะลุผ่านพ้นต้นทางของแสงที่สั่นไหว ส่องสว่างผ่านความมืดอันธการอันไร้ขอบเขต จวบจนกระทั่งมอดดับลงเมื่อความเย็นยะเยือกหยั่งลึกแตะปลายส่วนประสาทสู่การเบิกกว้างของดวงตา

...

ฟองอากาศต่างพรั่งพรูออกมาจากโพรงจมูก ร่างกายตะเกียกตะกายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

รสชาติเค็มเอ่อนองท่วมท้นทั้งลำคอเมื่อรับรู้ถึงความหนักหน่วงผ่านความเปียกชุ่มและสับสน

ลมหายใจอันร้อนผ่าวดังถี่รัว สายตาลุกลนวูบวาบควานหาชายฝั่งที่ใกล้เคียง

มุมมองโดยรอบตัดสลับกับความมืดที่ไร้ความหวัง

ผิวน้ำที่มืดครึ้มบดบังทัศนวิสัย คลื่นทะเลเคลื่อนตัวสูงและลดระดับต่ำลงมันพัดพาร่างของเขาออกไปนอกพื้นที่ใกล้ชายฝั่งและส่งเสียงกรีดร้องออกเป็นเสียงของหญิงสาว

เสียงที่แหลมสูงท่วมท้นไปด้วยความทรมาณยังคงไล่ตามหลัง สัมผัสประหลาดเกาะยึดไปทั่วร่างกายปานบางสิ่งกำลังฉุดกระชาก

ความหนาวเย็นกัดกินผิวหนังออกเป็นรอยร้าวสีเลือด แสงสีม่วงของน้ำทะเลส่องสว่างขึ้นเมื่อกระทบกับร่างกาย

ภายในช่วงเวลาที่สบสนและทรมาณ ร่างกายที่ไม่สามารถต่อต้านกระแสคลื่นกลายเป็นมีความหวังเมื่อพบเห็นแสงไฟสว่างหนึ่งเดียวเบื้องหน้า

ร่างกายที่เคลือบไปด้วยสะเก็ดน้ำแข็งกลายเป็นบ้าคลั่ง จิตวิญญาณนำพาให้แขนทั้งสองให้ตะหวัดว่ายพุ่งตรงไปยังทิศทางของเสี้ยวแสงที่เลือนลาง

ภาพเบื้องหน้าเริ่มเลือนลางลง ระดับของคลื่นเริ่มอยู่เหนือการต่อต้านของมนุษย์คนหนึ่ง ชีวิตตกอยู่ในอันตรายความตายเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ตลอดเวลาและเขากำลังท้าทายมันเพื่อความยุติธรรมของตนเอง

ผิวพรรณบริเวณแขนฉีกขาดออกภายใต้รอยร้าวกลายเป็นรอยแตกกระจายที่ตกกระทบไปโดยรอบดั่งเศษแก้วนับหมื่น

แผ่ขยายความหนาวเย็นทะลุผิวกายสร้างความปวดร้าวเหนือใบหน้าที่สิ้นหวัง

ปฏิหาริย์ไร้ซึ่งตัวตนและชีวิตที่สับสนจบลงเป็นเพียงตัวหนังสือหนึ่งภาพเขียน

หนึ่งสัมผัสที่เยือกเย็นแผ่ซ่านกอดรัดต้นขาสัมผัสผ่านลำคอด้วยแรงกดดันที่หนักหน่วงก่อนที่ภาพทุกสิ่งจะจมดิ่งลงสู่ความมืด

ภายใต้ภาพสีทึบย้อมม่วงที่ไร้แววแสง พื้นหลังสีมืดประดุจฝันร้ายใต้น้ำเปรียบเสมือนภาพของงานวาดที่กำลังเผยถึงห้วงลึกแห่งความหวาดกลัว

ความมืดจอมปลอมฉาบไปด้วยสีม่วงจางราวกับแสงสว่างจากผิวน้ำ

ไร้ซึ่งแสงสะท้อนจากฟองอากาศโดยรอบริมฝีปากราวกับทุกสิ่งถูกกลืนกินโดยห้วงเหวแห่งน้ำลึกสู่ความเงียบงันที่ไม่อาจหยั่งถึง

จวบจนฉากสีม่วงเลือนหายและถูกแทนที่ด้วยวังวนความมืดที่บิดเบี้ยว กลายเป็นกระแสคลื่นหมุนวนแห่งห้วงเหวใต้น้ำที่มืดมิด

ร่างหนึ่งถูกกลืนหายไปในความเงียบงัน จมดิ่งลงอย่างไร้สุ่มเสียงแห่งความคิด ชีวิตถูกปลดปล่อยจากสัมผัสของโลก

ร่างกายถูกทิ้งให้เผชิญกับความมืดที่แหลกสลายกลายเป็นอนุภาคหนึ่งที่เลือนลาง มลายหายไปในกระแสนิรันดร์แห่งความตาย

เสียงกระดิ่งดังขึ้นไปทั่วน่านน้ำ

แสงไฟจุดเล็กๆกระจายออกไปโดยรอบ แปรเปลี่ยนห้วงลึกแห่งความมืดให้กลายเป็นภาพของห้วงอวกาศเปรียบเสมือนแสงไฟเหล่านั้นเป็นดาวฤกษ์ท่ามกลางความเย็นยะเยือกของน้ำลึก

แสงเหล่านั้นเดินทางเข้ามาใกล้ความรู้สึก มันฉุดร่างของเขาขึ้นจากความมืดที่ไม่อาจหวนคืน

ภาพทั้งหมดยังคงเลือนลางแต่สัมผัสของแสงเหล่านั้นยังคงอ่อนนุ่มและแผ่ซ่านความอบอุ่นผ่านผิวกายที่ใกล้ชิดเปลี่ยนร่างดั่งศพของชายหนุ่มให้กลับมาร้อนผ่าวดั่งการมีอยู่ของชีวิต

ความรู้สึกของมือเหล่านี้แสดงถึงนิ้วทั้งห้าและผิวนุ่มบริเวณแขนที่กำลังกอดรัดแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มไว้แน่น

ช่วงเวลาที่ยาวนานผ่านพ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งอย่างไม่สามารถเชื่อสายตา ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นหายใจอย่างบ้าคลั่งขณะเสียงกระดิ่งจบลง

แสงตะวันสาดทออาบใบหน้าที่มืดคลึ้ม

กลิ่นแรกของอารมณ์ชำระล้างชีวิตและกลิ่นอายของลมทะเลเจือจางผ่านแสงแดดปลอบประโลมจิตวิญญาณของชายหนุ่มที่กำลังสับสน

เพียงชั่วครู่ที่สายตาสอดส่องไปโดยรอบ เขาเห็นเพียงเส้นผมสีดำยาวที่สยายออกและเรือนร่างที่เปล่งปลั่งพุ่งตรงสู่ใต้ผิวน้ำ

เสียงหัวใจยังคงเต้นเป็นกลองรัว อุณหภูมิของร่างกายปลุกเร้าจิตวิญญาณให้รู้สึกถึงการมีชีวิต

สติหวนคืนกลับมาอย่างครบถ้วนอีกครั้ง

แขนและขายังคงขยับเขยื้อนไปตามการควบคุมของความสับสนปะปนความหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ชีวิตขวนขวายถึงลมหายใจและร่างกายต้องการความอบอุ่นเพื่อมีชีวิต

แขนทั้งสองข้างว่ายทวนกระแสน้ำ ผ่านผิวน้ำที่เยือกแข็งตะเกียกตะกายเกยขึ้นบนฟากฝั่ง

เสียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้น

น้ำทะเลถูกอาเจียนลงสู่เม็ดทรายเหนือหาดแห่งหนึ่ง ร่างกายเกลือกกลิ้งและควานหาบาดแผลบริเวณต้นแขนสัมผัสลงมาถึงฝ่ามือ

เมื่อรับรู้ว่าทุกสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นทำให้อาการทั้งหมดโถมลงบนลมหายใจที่ร้อนผ่าวผ่านช่องปากที่เย็นยะเยือก

เส้นผมและเครื่องแต่งกายที่เปียกโชกเป็นหลักฐานถึงการว่ายน้ำที่ทรมาณ แต่ในสถานการณ์หลังจากสูดหายใจอยู่หลายครั้งเพื่อระงับความร้อนลน

สติสัมปชัญญะจึงเริ่มเรียบเรียงภาพทุกสิ่งผ่านดวงตาที่โชกไปด้วยประสบการณ์ หลังจากตื่นขึ้นเหนือฟากฟ้าที่แบ่งออกเป็นสามลำดับชั้นภาพที่สยดสยองจึงเริ่มต้นขึ้นเหนือผิวน้ำที่แตกต่างจากความเป็นจริง

มวลหมู่ดาวเรียงรายส่องประกายอยู่เหนือฟากฟ้ายามรุ่งสางซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากฟ้ามืดสู่การนับวันใหม่

แสงประกายงดงามล้วนมาจากหมู่เมฆบนฟากฟ้าสีม่วงและเหนือขึ้นไปนั้นถูกครอบคลุมไปด้วยพื้นหลังอาณาเขตกว้างใหญ่ของฟากฟ้าสีครามที่มีความกว้างของอาณาเขตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับชั้นฟ้าสีอื่น

เสี้ยวความคิดที่สงสัยและประหลาดใจในเวลาหนึ่งร้อยเรียงกันเป็นเสียงขับขานของหัวใจ ลมหนาวผ่านพ้นและแสงอุ่นสาดส่อง ทุกสิ่งล้วนสวยงามแตกต่างจากสิ่งที่ควรจะเป็น

ชายหนุ่มในสภาพที่เปียกโชกยืนขึ้นพลางแหงนมองภาพบนฟ้าที่ชวนหลงใหล เส้นผมสีดำเจือน้ำตาลที่เปียกโชกพัดโชยไปตามกระแสลมเฉกเช่นเดียวกับชายเสื้อเชิ้ตสีขาว

เสื้อของเขากลายเป็นไร้ค่าและไม่สามารถปกปิดร่างกายหรือกันลมหนาว กางเกงสีดำของเขากลายเป็นเพียงตัวถ่วงที่มากไปด้วยน้ำหนักในสภาพที่หนักหน่วงไปทั้งจิตใจและร่างกาย

ดวงตาที่มืดคลึ้มถูกล่อลวงด้วยสีที่หลากหลายและเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีสองปีกบนฟากฟ้า จนกระทั่งเสียงของลมหายใจกลายเป็นติดขัดและร้อนลน

คำอธิบายเป็นสิ่งไม่ตายตัวเมื่อมันไร้ซึ่งข้อเท็จจริง ภาพทุกสิ่งอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์คนหนึ่ง

มันเกือบพรากชีวิตที่ไม่ทราบสิ่งใดในคราเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบ

วิคเตอร์ เวเบอร์ เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเองด้วยความใฝ่ฝันที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากงานที่ไร้ค่า จากผลการกระทำหนึ่งที่ทำให้อนาคตของเขาจบลงจากสายอาชีพทางการเมืองสู่พลเมืองหาเช้ากินค่ำ แต่สุดท้ายหลังจากผลอยหลับจากการนั่งอยู่ในร้านกาแฟเป็นระยะเวลานานแสงของจอแล็ปท็อปก็กลายเป็นดับวูบและทุกสิ่งจึงเริ่มต้นขึ้น

สายตามองออกไปโดยรอบกายเหนือชายฝั่งขึ้นไปล้วนพบแต่ผืนป่าสีเขียวขจีและผืนหญ้าที่สะพัดไปตามกระแสลม

ร่างกายที่โซเซพยายามเดินผ่านป่าที่อุดสมบูรณ์ เสียงของนกร้องบรรเลงและผีเสื้อบินไปตามทุ่งดอกไม้ สรรพสิ่งล้วนแผ่คลื่นความอบอุ่นผ่านร่างกายที่เปียกโชกให้กลับมาอยู่ในสถานะภาพคงที่

เรื่องแปลกประหลาดยังคงวนเวียนอยู่ภายในศีรษะ

ภาพเหล่านั้นยังคงกดส่วนประสาทและส่งความเจ็บปวดที่ยังคงวนเวียนบริเวณหน้าผาก ดวงตาที่คงที่เริ่มสั่นไหว ความพร่ามัวเกิดขึ้นและจบลงอยู่หลายครา

ร่างกายเอนเอียงปานสิ้นลมหายใจ สุดเสี้ยวลมปอดที่ยากลำบากหลังของชายหนุ่มประทับพิงต้นไม้ขูดรูดลงมาขณะใบไม้ต่างร่วงหล่นปกคลุมผืนหญ้า

มือหนึ่งกุมหน้าผาก อีกมือประทับลงบนผืนแผ่นไม้และยันร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้น กระทั่งเหงื่อหยดหนึ่งร่วงหล่นอาบหน้าผากแตะสัมผัสปลายขนตาจึงสามารถสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ได้อีกครั้ง

ก่อนที่จะส่งเสียงไอที่แหบแห้งออกมาจากลำคอ

ขาที่สั่นไหวประคองร่างกายที่เหนื่อยหน่ายแบกรับความรู้สึกปานร่างกายกำลังถูกสูบวิญญาณหรืออายุไขไปทั้งสิ้นเสีย

แม้เป็นความคิดที่ไร้ซึ่งภาพพจน์ทางความเป็นจริง แต่ยังคงเป็นความรู้สึกที่สามารถเปรียบเทียบจากการรับรู้ผ่านความเข้าใจภายใต้จิตใจ

หลายๆสิ่งไม่สมเหตุสมผล จวบจนกระทั่งเมื่อแหงนมองฟ้าเหนือกิ่งก้านต้นไม้ที่ร้อยพันกันอย่างลึกลับ แสงของท้องฟ้าเหล่านั้นยังคงเป็นเช่นเดิม

แรงกายดับวูบแขนและขาทรุดตัวลงด้วยความอ่อนแรงเมื่อถูกจิตใจของตนด้อยค่าความพยายามที่ไร้ซึ่งความหวัง

ความคิดกลายเป็นสิ่งกัดกร่อนจิตใจ ความก้าวหน้าทางความคิดไม่ต่างจากการวนเวียนภายในความมืดที่ไม่อาจคลำหาแสง

ร่างกายถูกปล่อยทิ้งในสภาพที่ไม่อาจต่อต้าน

หนังตาหย่อนลงขณะศรีษะเอนลงสู่พื้น

...