" หยุดนะ ! " ฮงซอกดูเอ็ดใส่จางอูรินที่กำลังก้มเก็บดอกไม้ ณ บริเวณทุ่งหญ้ากลางหุบเขาในฤดูใบไม้ผลิใบ และเขายังจำเป็นต้องคอยเหลียวซ้ายมองขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าปราศจากคนอื่นๆ และจางอูรินที่ในขณะนี้ทำได้เพียงกำดอกไม้พุ่มปุยสีขาวไว้ในอุ้งมือ และสีหน้าของหล่อนช่างดูประหลาดใจ
" ข้าน้อย..ทำอันใดผิดหรือเจ้าค่ะ" หล่อนเหลียวซ้ายแลขวาตามฮงซอกดู
" นี่เจ้า ! กำลังมองหาใครอยู่ !! " ฮงซอกดูเอ็ดใส่จางอูรินเป็นครั้งที่สอง และยังจ้องดอกไม้ในมือ
" ที่นี้เป็นลานล่าสัตว์ของเชื่อพระวงค์ ไม่ใช่ที่ ๆ เจ้าจะออกมาเดินเล่น "
" และแทนที่เจ้าจางอูริน ! จะอยู่ช่วยรับใช้พระมเหสี แต่กลับหนีมาทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ !! " เสียงของฮงซอกดูยังคงตำหนิติเตียนหล่อน
และหล่อนที่ทำเพียงยืนนิ่งไม่ขยับ และยังต้องคอยประคองดอกไม้เหล่านั้นในมือไม่ให้กลีบหลุดหรุ่ยออกมาซะก่อน
" ก่อนอื่น...ข้าไม่ได้มีสิ่งใดให้ต้องปิดบัง หรือว่ากลัวผู้ใดมาเข้าใจผิด " หล่อนสบตาแน่นิ่ง
" และข้าน้อยก็รู้ดีว่า ที่นี้คือลานล่าสัตว์ของพระราชา และพระองค์ตอนนี้ยังคงเสวยเนื้อกวางกับขุนนางและเหล่าบัณฑิต "
" และท่านหมอหญิงจอง นางบอกให้ข้าน้อยออกมาหาดอกไม้เตรียมสำหรับพระชายาในคืนนี้ " และหล่อนยังคงสบตาไม่ไหวติงจนฮงซอกดูต้องเป็นฝ่ายเลี่ยงสายตาของหล่อนซะเอง
" แถวนี้เป็นทุ่งกว้าง จะไปมีดอกไม้ถวายพระมเหสีได้ที่ไหนกัน" ฮงซอกดูเถียงข้างๆ คูๆ เพราะก็เหมือนจะรู้ตัวว่า ตนนั้นจะบังคับจางอูรินมากจนเกินไป
หล่อนมองตามสายตาฮงซอกดูทั่วทั้งลานเนินหญ้า
" ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยจะเดินให้ไกลขึ้นอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ" จางอูรินหลบสายตาและยังจะรีบร้อนเดินหนีฮงซอกดูออกไปทางอื่น
" ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า ที่นี้คือเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงค์" เขาสั่ง แต่ว่าหล่อนกลับคิดไปเองหรือไม่ว่า เขาเพียงไม่อยากให้หล่อนต้องเดินเถลไถลไปไหนไกล
" ดอกไม้ที่เจ้าต้องการจะหา เดี๋ยวข้าจะเป็นคนพาไปเอง " เมื่อพูดจบฮงซอกดูก็รีบเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าจางอูริน และหล่อนที่ก็เลยได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ค่ำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองการล่าสัตว์ของพระราชาของแคว้น และยังเป็นการฉลองตำแหน่งอัครเสนบดีฝ่ายซ้ายอย่างเช่น ท่านโจแทซอบ ในค่ำคืนบริเวณทุ่งกว้างของลานล่าสัตว์ต้นสนสามใบเรียงเป็นทิวแถว และต้นไม้อายุนับหลายสิบๆ ปีขึ้นตามบริเวณชายป่าและเทือกเขาใกล้ๆ และยังจะพอได้ยินเสียงของน้ำตกอยู่บ้างหลังที่ประทับของฝ่าบาท และไม่เพียงแต่การฉลองเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งของโจแทซอบ แต่ยังเป็นการฉลองการตั้งพระครรภ์ของพระชายาขั้นที่หนึ่งและยังเป็นน้องต่างมารดาของท่านอัครเสนบดีหมาด ๆ พระชายาขั้นที่หนึ่งแม้จะเพียงอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แต่ก็สามารถตั้งครรภ์บุตรคนแรกให้พระราชาได้รวดเร็วทันใจ และแม้จะเป็นเพียงพระสนมได้ไม่นานแต่ความสาวสะพรั่งก็ยังเป็นที่เลื่องลือ
และภายในกระโจมพักผ่อนของพระมเหสีพัคซูวอน และพระองค์ที่ทรงกำลังประดิษฐ์ประดอยของใช้ให้กับบุตรคนแรกของฝ่าบาทอย่างดีพระทัย จนกระทั่งจองคีนัมน้องสาวของหมอหญิงจองผู้เลื่องชื่อที่มีหน้าที่ทำการอารักขาได้เดินเข้ามาและเฝ้ามองพระองค์
" พระมเหสีไม่โกรธบ้างหรือเพค่ะ" คำถามของคนส่วนพระองค์จนทำให้พระองค์ทรงต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ และมองจองคีนัมผู้เป็นราชองค์รักษ์หญิง
" หม่อมฉันถามว่า พระองค์ทรงไม่รู้สึกโกรธฝ่าบาทบ้างเลยเหรอเพค่ะ " น้ำเสียงที่ดูจริงจังของราชองค์รักษ์หญิงส่วนพระองค์พลอยทำให้พระนางยิ้มกริ่ม
พระนางที่ยังทรงก้มปักลวดลายมังกรสีทองบนเสื้อคลุมตัวน้อย
" ข้ารู้ ! ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรนะ จองคีนัม "
" แต่ว่า " และพระองค์ยังทรงเงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้มให้กับราชองค์รักของพระองค์ และยังทรงพระเมตตา
" เจ้าอยู่กับข้ามานานเท่าไหร่แล้ว " พระนางทรงถามตอบดูบ้าง
จองคีนัมยิ่งฟังตำคอบก็ยิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
" ทำไมทรงถามหม่อมฉัน "
" เพราะความเมตตาของฝ่าบาท "
" และความเมตตาของพระองค์ ตั้งแต่ทรงเป็นพระชายาได้ไม่นาน หม่อมฉัน ! " จองคีนัมหยุดคิด และในที่สุดนางก็เพิ่งจะนึกออกขึ้นมาจนได้
" หม่อมฉันขอพูดในฐานะเพื่อนได้หรือไม่เพค่ะ "
" สามหาว !!! " เสียงของสังกุลสูงสุดที่อยู่ด้วยถึงกับตวาดลั่นกระโจมที่ราชองค์รักพูดจาไร้สาระ
" ไม่เป็นไร " แต่พระองค์กลับทรงอนุญาต และทรงเหลียวมองจองคีนัมอย่างทรงเอ็นดู
จองคีนัมรู้ตัวว่าทรงทำการมิอันควร แต่ว่านางก็อยากจะพูดในความรู้สึกของปุถุชนคนทั่วๆ ไป
" หม่อมฉันเห็น พระสนมใช้เสน่ห์ยั่วยวนฝ่าบาท เพราะแบบนี้พระสนมถึงได้ทรงพระครรภ์ได้เร็วถึงเพียงนี้ "
" สามหาว !!! " เสียงเตือนของซังกุงสูงสุดดังเอ็ดตะโรขึ้นมาเป็าครั้งที่สอง จนกระทั่งจองคีนัมต้องหันมาระวังคำพูดคำจาเสียใหม่
และพระองค์ก็ทรงหันมาทรงสนอกสนใจในท่าทีและคำแนะนำของราชองค์รักอย่างทรงคาดไม่ถึงว่า คนของพระองค์จะทรงมองพระสนมของฝ่าบาทเป็นคนเยี่ยงนั้นไปซะได้
" คีนัม " แต่ทว่าน้ำเสียงก็ยังทรงเปี่ยมด้วยน้ำพระทัยอันกว้างขวาง
" เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้ามากเพียงใด "
" แล้วเจ้า เวลามองข้าแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างละ " มิหนำซ้ำพระองค์ยังทรงตั้งคำถาม และทรงมองเห็นสีหน้าของจองคีองนัมและแววตาเป็นประกายที่มองมาทางพระองค์
จองคีนัมมีแววตาที่ละมุนและสว่างไสวขึ้นมา
"พระเมหสี ! พระมเหสีเพค่ะ " และเสียงเล็กเสียงน้อยของนางต่างพากันทำให้บรรดาซังกุลสูงสูดและสาวใช้ต่างพากันอดกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้จริงๆ
" คิดจะทรงแกล้งหม่อมฉัน หรือว่าเพราะไม่รู้จริงๆ อย่างงั้นใช่ไหม "
" พระองค์อาจจะทรงไม่รู้ จริงๆ แล้วฝ่าบาททรงชอบเสด็จมาแอบดูพระองค์ที่ตำหนักบ่อยๆ "
" ขอประธานอภัยเพค่ะ หม่อมฉันพูดมากเกินไปแล้ว " เพราะรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดมากเกินไปจนต้องรีบหันมาสำรวมกิริยาต่อหน้าพระพักตร์เสียใหม่
แต่ทว่าพระองค์กลับทรงหลบสายตาของจองคีนัม และทรงหันกลับมาก้มหน้าก้มตาปักชุดมังกรตัวน้อยๆ บนฝ่ามือ
" จางอูริน ข้าใช้ให้นางไปหาดอกไม้ ทำไมป่านนี้จึงยังไม่กลับ " และพระองค์ยังทรงทำทีว่าไม่ได้ยินคำพูดของจองคีนัมในเรื่องสุดท้าย
จองคีนัมพอรู้ตัวว่าตนพูดมากเพียงใด เพราะฉะนั้นจึงได้รีบอาสาออกไปตามหาสาวใช้ของท่านแม่ทัพฮงซอกดูให้พระมเหสีพัคซูวอนในทันที
" พระมเหสี ! " ฮงซอกดูแปลกใจปนสงสัยที่เห็นพระมเหสีทรงเสด็จออกมาประทับบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลจากที่ประทับพอสมควร
" ท่านแม่ทัพ " และพระมเหสีที่ทรงหันไปทอดพระเนตรฮงซอกดูและก็จางอูรินที่หอบดอกไม้เต็มตระกร้าใบไม้เดินตามหลังมา
" ดอกไม้งดงามจริงๆ เลยนะ จางอูริน " และพระองค์ยังทรงทอดพระเนตรดอกไม้ของจางอูรินและชื่นชม
แต่เมื่อจองคีนัมเห็นจางอูรินอยู่กับแม่ทัพก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขาทั้งคู่
" เจ้าหายไปไหนตั้งนาน รู้หรือเปล่าว่า ข้ากับพระมเหสีตั้งใจออกมารอเจ้า " นางดูท่าทางเป็นห่วงจางอูรินจริงๆ
แต่ว่าฮงซอกดูกลับเข้าไปขอประทานอภัยให้จางอูรินในทันที
" ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ พระมเหสี "
" เพราะจางอูรินบอกหม่อมฉันว่า ทรงอยากได้ดอกไม้เพื่อถวายฝ่าบาท "
" และนางเองก็ไม่คุ้นเคยกับลานล่าสัตว์ หม่อมฉันจึงได้ช่วยนางพะยะค่ะ " ฮงซอกดูได้รายงานรายระเอียดต่างๆ แทนจางอูริน เพราะฉะนั้นหล่อนจึงได้นำตระกร้าใบไม้เข้าไปถวาย
พระองค์ทรงก้มมองและยิ้มแย้มและจึงทรงตรัสให้จองคีนัมนำดอกไม้ไปให้ซังกุงเพื่อเตรียมน้ำอาบถวายฝ่าบาท
"ขอบใจเจ้ามากจริงๆ จางอูิน แล้วก็ท่านแม่ทัพ " พระองค์ทรงขอบอกขอบใจพวกเขา และยังทรงหันไปทอดพระเนตรพระจันทร์กลมโตสุกสว่างบนท้องฟ้า
" ค่ำคืนนี้ ข้ารู้สึกใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ "
" ท่านแม่ทัพว่า จะมีเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับฝ่าบาทหรือเปล่า " พระองค์ทรงดูครุ่นคิด และสายพระเนตรซึ่งดูทรงกังวล
"เหตุใดจึงทรงคิดเช่นนั้น หรือว่าจะทรงประชวร " ฮงซอกดูเริ่มมีสีหน้ากังวล
" ให้หม่อมฉัน ไปตามหมอหลวงจองให้มาตรวจพระอาการดีหรือไม่พะยะค่ะ" และยังเสนอแข่งขันให้พระองค์ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันจางอูรินก็เริ่มที่จะขยับและถอยออกมาให้ห่างๆ
" ไม่ต้องหรอก " พระองค์ปฏิเสธทันที
" เจ้าไม่ต้องไปตามหมอหลวงให้ข้า จางอูริน " และพระองค์ยังทรงรู้ทันทีด้วยว่า คนของท่านแม่ทัพนั้นหวังดีจะรีบไปตามหมอหลวงจองซูวอนทันทีที่ฮงซอกดูเอ่ยปาก
จางอูรินโค้งอย่างนอบน้อมและทำตามรับสั่งทันทีเช่นเดียวกันกับฮงซอกดู แต่ว่าสายตาของหล่อนกลับชำเลืองมองไปเห็นโจแทซอบที่กำลังเดินเข้ามา
" ท่านอัครเสนบดี " จางอูรินรีบร่นถอยหลังและคาระวะ และหล่อนหอบหิ้วตระกร้าเดินกลับเข้าไปรอที่ประทับ
" ไม่ยักรู้ว่า ฮงซอกดู เจ้าก็มาอยู่ที่นี้ด้วย " โจแทซอบเดินยิ้มแย้มเข้ามา และสีหน้าของพระมเหสีก็ทรงดูสดชื่นขึ้นมา
" เป็นเพราะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอัครเสนบดี ถึงได้กล้าเอ่ยชื่อท่านแม่ทัพตรงๆ ซินะ " พระมเหสีทรงแกล้งตำหนิตำเตียนโจแทซอบ แต่ทว่ากลับทรงได้ยินทั้งโจแทซอบและฮงซอกดูหัวเราะเสียดังลั่น
" ขอทรงอภัยให้หม่อมฉันจะได้หรือไม่พะยะค่ะ " และโจแทซอบที่ยังคงยิ้มและโค้งเกือบๆ จะเท่ามุมฉากให้พระองค์
" เอาเถอะพวกเจ้า ข้าเห็นพวกเจ้าทำงานให้ฝ่าบาทแบบนี้แล้ว " พระองค์ทรงยิ้มแย้มให้กับพวกเขาทั้งสองคน
" ถึงข้อต้องตายก็คงไม่มีอะไรให้เป็นห่วงอีก " และยังทรงพอพระทัยในตัวของโจแทซอบและฮงซอกดูมากยิ่งๆ ขึ้น
" พระมเหสี ! " ฮงซอกดูที่เริ่มรู้สึกสงสัยในพระดำรัส
" เหตุใดทรงถึงตรัสเยี่ยงนี้ " และโจแทซอบก็พูดเสริม และยังจะเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ กับพระองค์ และดูใกล้จนเกินไป
ฮงซอกดูที่พอสังเกตเห็น แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะตำหนิเพราะโจแทซอบที่เป็นถึงอัครเสนบดี เพราะฉะนั้นย่อมรู้ดีว่า สิ่งใดควรมิควรอยู่แล้ว
" ถ้าอย่างไง เสด็จกลับข้างในก่อนดีไหมพะยะคะ ข้างนอกนี้ลมแรงอาจจะทำให้ทรงประชวรได้ง่าย " เพราะฉะนั้นเขาถึงได้รีบตัดบท
โจแทซอบเหลือบมองฮงซอกดูเล็กน้อย และถึงจะพยักหน้าเห็นด้วย
" เวลานี้ ฝ่าบาททรงดื่มสังสรรค์เพราะความดีใจจะได้พระโอรสคนแรก "
" หม่อมฉันว่า พระองค์ก็ควรจะเข้าไปร่วมยินดีกับเหล่าขุนนางและบัณฑิตด้วยนะพะยะค่ะ" โจแทซอบชำเลืองมองสีหน้าพระมเหสีและฮงซอกดู และพระองค์ที่ทรงพยักหน้าเล็กน้อยและยอมเสด็จกลับ
" โจแทซอบ ! " ฮงซอกดูรีบเรียกเขาทันทีที่เห็นโจแทซอบจะตามพระมเหสีกลับไปยังที่ประทับ
" เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าก็รีบพูดมาเร็วเข้า คืนนี้ข้ายังมีเรื่องอะไรให้ต้องทำอีกหลายอย่าง " น้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยสนทนาด้วยของโจแทซอบ และการชักสีหน้าว่ารำคาญเขาของโจแทซอบที่เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ฮงซอกดูก็เลยต้องเดินเข้ามาหาใกล้ๆ และมองโจแทซอบอย่างเป็นห่วง
" ถ้าหากได้กลับวังหลวง พวกเราหาเวลาว่างไปดื่มกันดีไหม " แต่แววตาของฮงซอกดูก็ยังดูฉันมิตรมากกว่าโจแทซอบที่แววตาอยากตัดขาดการมิตรกับเขา
"ฮ่า ๆ " และโจแทซอบยังแสร้างหัวเราะร่า
" ได้สิ ! "
" ข้าต้องดื่มกับเจ้าให้หัวทิ่มตำกันไปเลย ฮ่า ๆ " เสียงหัวเราะชอบอกอกชอบใจใหญ่ของโจแทซอบกลับทยอยดังขึั้นเรื่อยๆ
และหลังจากที่หันมาตบไหล่ของเขาเบาๆ โจแทซอบก็เดินยิ้มกริ่มและยังคอยเดินติดตามพระมเหสีเสด็จกลับที่ประทับจริงๆ
" ฝ่าบาท ! " พระมเหสีทรงดูแปลกพระทัยอยู่บ้างที่ทรงเห็นฝ่าบาททรงบรรทมอยู่ในที่ประทับของพระองค์ แต่ทว่าพระองค์ที่ทรงไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ฝ่าบาทให้มากจนเกินไปหนัก เพราะกลัวว่าฝ่าบาทจะทรงตื่นจากบรรทมได้
และพระองค์ยังทรงเหลียวมองบรรดาสังกุงและทรงบอกให้พวกนางในพากันกลับออกไปจากที่ประทับให้หมดเพราะทรงเกรงว่า เพราะพวกนางจะทรงทำให้ตื่นจากบรรทมได้ และพระองค์ยังทรงทอดพระเนตรเห็นตระกร้าดอกไม้ของจางอูรินที่วางอยู่บนโต๊ะกลางที่ประทับแทนที่พวกนางจะนำไปเตรียมไว้ที่ประทับของฝ่าบาท
แต่พระองค์ยังทรงรีบตระเตรียมจุดกำยานเพื่อที่จะทรงไล่แมลงตัวเล็กตัวน้อยเพื่อจะขจัดความรำคาญของฝ่าบาทในขณะที่ยังทรงบรรทมในกระโจมที่ประทับ และฝ่าบาทก็ยังทรงพลิกพระวรกายจนทำให้ผ้าคลุมบรรทมเคลื่อนไหลลงและอาจจะทำให้พระอุระเย็นขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นพระองค์ถึงได้ทรงค่อยๆ เสด็จเข้าไปยืนใกล้ๆ แท่นบรรทมและจะจัดแจงผ้าคลุมบรรทมเสียใหม่
พระมเหสีพัคซูวอนทรงขยับผ้าคลุมบรรทมอย่างช้าๆ เพื่อที่จะไม่เป็นการรบกวน แต่บางครั้งบางคราพระองค์ก็อดที่จะแอบมองพระพักตร์ของฝ่าบาทในยามหลับไม่ได้เอาเสียเลย และจนพระองค์ทรงย้อนนึกถึงหนแรกที่ได้เจอกับฝ่าบาท และครั้งนั้นก็เป็นงานล่าสัตว์ของเชื้อพระวงค์แบบนี้ และรู้สึกว่าตอนนั้นทั้งสองพระองค์ยังทรงเยาว์วัยนัก
รอยยิ้มแสนอ่อนโยนพระองค์ที่คองจยหมอบให้กับฝ่าบาทในยามหลับ จนพระองค์อดเสียไม่ได้ที่จะจ้องมองฝ่าบาทด้วยความห่วงใยจากใจจริง แต่ว่าเมื่อทรงรู้ตัวว่าอยู่ใกล้ฝ่าบาทมากจนเกินไปแล้ว
พระมเหสีค่อยๆ ถอยห่างจากพระแท่นบรรทมของฝ่าบาท แต่แล้วอยู่ๆ พระหัตถ์ก็ถูกดึงรั้งไว้ด้วยพระหัตถ์จากฝ่าบาท
"ข้าคงดื่มมากไปจริงๆ " และแม้ว่าฝ่าบาทยังคงหลับตาแต่ฝ่าพระหัตถ์ก็ยังคงรั้งจับมือของพระมเหสีพัคซูวอน
" ถึงได้เผลอเดินเข้ามาพักกายในที่ของเจ้า พัคซูยอน " และฝ่าบาทที่ทรงค่อยๆ ลืมพระเนตรขึ้นมาและยังทรงพลิกตัวกลับมาแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยพระหัตถ์ลงง่ายๆ
พระมเหสีที่พยายามทรงเก็บพระอาการไม่ให้ฝ่าบาทจับได้ว่า จริงๆ แล้วพระองค์รู้สึกตกพระทัยมากเพียงใดที่ได้รู้ว่าจริงๆ ฝ่าบาททรงแกล้งบรรทม
" เพราะฤทธิ์สุรา ทำให้คนเราไขว่เขว้มากถึงเพียงนี้ได้ "
" ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันจะลองดื่มให้มากพอๆ กับฝ่าบาทดูบ้าง หม่อมฉัน " และพระองค์ก็ทรงเหลียวหันมองพระเนตรของฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมา และในขณะเดียวกันก็พยายามจะดึงมือให้หลุดจากพระหัตถ์ของฝ่าบาท
" หม่อมฉัน ! จะได้ไม่ต้องคอยย้ำๆ กับตัวเองว่า เป็นใคร และคิดจะทำอะไรก็ได้ " พระองค์ทรงมองฝ่าบาท และเช่นเดียวกันฝ่าบาทก็ทรงมองพระองค์
ฝ่าบาทแทนที่จะทรงปล่อยพระหัตถ์จากพระมเหสี ทั้งๆ ที่ภายในหัวกำลังสั่งให้ต้องทรงผละจากพัคซูวอนได้แล้วสักที แต่ว่ามือของตนกลับไม่ทำตามคำสั่ง
" เจ้าคงอยากกลับไปเป็นเด็กสาวที่แสนฉลาดเฉลียว ที่ชื่อพัคซูวอน "
" แต่ข้าต้องเสียใจกับเจ้าจริงๆ " และน่าแปลกที่พระสุรเสียงของฝ่าบาทก็ทรงดูเอ็นดูพระองค์
" เพราะถ้าหากเจ้าอยากเมามายให้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ต้องเมามายอยู่กับข้าคนเดียวเท่านั้น "
" และถ้าหากเจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ เจ้า ! พัคซูวอน " และมิหนำซ้ำสายพระเนตรจากฝ่าบาทก็ยังทรงเฝ้ามองพระมเหสีอย่างสุกใสและเปล่งปลั่งกว่าครั้งไหน ๆ จนสายพระเนตรของฝ่าบาทแทบจะหลอมหัวใจหญิงสาวพัคซูวอนให้ยอมถวายร่างพลีกายอยู่ในพระหัตถ์เอาได้
" และถ้าหากเจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ " แต่ทว่าพระสุรเสียงของฝ่าบาทที่ฟังดูแผ่วลงไปทุกที ๆ
พระมเหสีที่ทรงรั้งแต่จะปลุกสติของตนให้ตื่น และไม่อยากยอมให้ฝ่าบาททรงทำให้ตนตายใจ
" แล้วพระองค์ทรงคิดว่า คนอย่างหม่อมฉันอยากจะทำอะไรเล่าเพค่ะ " แต่ลึก ๆ แล้วพระองค์ก็อยากจะรู้พระทัยจากฝ่าบาท และแม้ว่าสายพระเนตรที่ยังคงจ้องมองกันราวๆ กับค้นหาก้นบึ้งของหัวใจของคนทั้งสองแล้ว
" ฝ่าบาท ! ทรงรู้ใจของหม่อมฉันแน่จริงๆ หรือเพค่ะ " พระองค์ทรงตัั้งใจรอฟังคำเฉลยของฝ่าบาทด้วยใจจดจ่อ
ฝ่าบาทที่ยังทรงหันมาและสายพระเนตรที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความอดทนอดกลั้นขึ้นมาซะดื้อ ๆ
"ข้า ! " ฝ่าบาทที่ทรงอยากตรัสความจริง แต่แล้วอยู่ๆ ก็ทรงลุกจากที่ประทับ และค่อยๆ ปรับสีพระพักตร์ให้ดูเมินเฉยและยอมลดพระหัตถ์ลงเอง
" ข้า ! จะไปรู้ใจคนอย่างเจ้าได้เยี่ยงไร เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล ! " ฝ่าบาททรงประชดประชันด้วยการเค้นคำโกหก
" คงสร่างเมาแล้วซินะเพค่ะ " พระองค์ประชดและสะบัดมือออกจากฝ่าบาทได้จนสำเร็จ และสีหน้าของพระองค์ก็หันมาทรงเมินเฉยต่อหน้าพระพักตร์อีกครา
" ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันก็อยากจะขอห้องของหม่อมฉันคืน "
" เพราะป่านนี้ พระสนมของพระองค์คงออกตามหาให้ทั่วแล้ว " ถ้อยคำพูดจาประชดประชันที่พลอยทำให้คนฟังเริ่มจะรู้สึกตัว
" ข้า !! " ฝ่าบาททรงเกือบจะพลั้งปาก
" ใช่ ! เพราะฤทธิ์สุราแท้ ๆ ข้าถึงได้ทำตัวเลอะเลือน " และน้ำเสียงประชดประชันให้ใครบางคนฟังเช่นกัน
" กลิ่นดอกไม้ในห้องเจ้าก็เหมือนจะส่งกลิ่นฉุนเหลือเกิน ! " ฝ่าบาททรงรู้สึกแปลกพระทัยจนต้องเหลียวหาต้นตอของกลิ่นฉุนแรงๆ พวกนั้นทันที
พระมเหสีทรงเหลียวมองตามและเห็นฝ่าบาทผุดลุกขึ้นเดินตรงไปที่ตระกล้าที่สานจากใบไม้ของจางอูริน และภายในนั้นมีดอกไม้หน้าตาแปลก ๆ
"จางอูริน ! คนอย่างนางไม่น่าสับเพล่าเก็บดอกไม้ที่มีกลิ่นฉุนถึงเพียงนี้มาได้ " พระองค์คิดสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ จางอูรินถึงได้เก็บดอกไม้กลิ่นแรงมาถวาย จนพระองค์สองคนต่างทรงเข้าไปมองตระกล้าใบไม้ใกล้ๆ จนเห็นกระดาษม้วนซ่อนอยู่
ฝ่าบาทและพระมเหสีต่างทรงเหลียวมองหน้ากันทันที และฝ่าบาทก็ยังทรงรีบนำกระดาษม้วนขึ้นมาและทอดพระเนตรอย่างตั้งอกตั้งใจ พระองค์ที่ยังมองตามสายพระเนตรของฝ่าบาทและรับรู้ได้ถึงความตกพระทัย และต่างคนก็ยังต่างได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกกระโจม จนกระทั่งฝ่าบาททรงเอาตัวมาบังพระมเหสีเอาไว้และยังทรงกุมมือของพระมเหสีเอาไว้ให้แน่นอีกครั้ง
และฮงซอกดูที่วิ่งถือดาบรีบร้อนเข้ามาข้างในกระโจม
" ฝ่าบาท ! ทรงปลอดภัยดีใช่ไหมพะยะค่ะ ! " ฮงซอกดูรีบร้อนเข้ามาถวายบังคม และยพาเหล่าทหารเข้ามาอารักขา
" มีคนเห็นสัตว์ประหลาดเข้ามาในเขตล่าสัตว์พะยะค่ะ" ฮงซอกดูถวายรายงาน และหันไปสั่งให้พวกทหารถวายอารักขาและพาฝ่าบาทกลับพระราชวังทันที !