ฟรึบ !
คมดาบ ! หวิดเส้นผมของคนสวมหน้ากากสิงโตแดงครึ่งใบ !!
และเสียงกระทบกันของดาบของคนที่สวมหน้ากากครึ่งใบลายเสือดำ และเสียงปรบมือโห่ร้องก็ดังสนั่นเต็มอัฒจันทร์ครึ่งวงกลมส่งเสียงให้กำลังใจคู่ต่อสู้ระหว่างสิงโตและเสือดำ และในขณะที่การต่อสู้ฝ่ายเสือดำมักจะได้เปรียบเสมอเพราะรูปร่างสันทัด และฝ่ามือหนาและใหญ่ และหลายครั้งการโจมตีก็แทบจะฟันดาบของสิงโตให้หักร่วงอยู่ร่ำไป แต่ในขณะฝ่ายของสิงโตแม้ว่ารูปร่างจะผอมบาง ฝ่ามือก็เล็กกว่าแต่ว่าก็กระชับดาบยาวราวๆ ศอกกว่าๆ ราวกับของถนัด
เสียงพนันขันต่อของฝ่ายเสือดำที่ค่อนข้างสูงลิ่วกว่าฝ่ายเป็นรองอยู่หลายขุม และเสียงตะโกนของผู้ชมโห่ร้องไล่เสือดำให้ยอมพ่ายแพ้ก็ดูเหมือนจะดังไล่เลี่ยกัน
" ดูก็รู้ว่า นางเป็นสตรี " ฮงซอกดูหนึ่งในผู้ชมบนอัฒจันทร์กระซิบถามทหารติดตาม และพวกเขายังคงสวมใส่ชุดชาวบ้านทั่วไปมาร่วมชมการแข่งขันประลองเพลงดาบบริเวณเขตหุบเขาชายแดนทางใต้
" บุตรสาวของหัวหน้าเผ่าขอรับ " ทหารติดตามคนตัวเล็กบอบบางโหนกแก้มสูงคอยรายงาน
" ไม่น่าแปลกใจ ที่มีฝีมือดาบช่างร้ายกาจเช่นนี้ " รอยยิ้มสนอกสนใจในเพลงดาบของฮงซอกดูต่อทั้งสองฝ่าย
" หน้ากากเสือว่ากันว่า จะได้มาเกี่ยวดองกับตระกูลของนาง " และทหารติดตามที่ยังคอยช่วยรายงานให้ท่านแม่ทัพอย่างฮงซอกดูฟังในขณะพวกเขายังคงซ่อนตัวปะปนกับบรรดาชนเผ่าอยู่บนอัฒจันทร์
แกร่ง แกร่ง ! ดาบของหน้ากากสิงโตร่วงหลุดจากมือ แต่ว่าก็ยังพุ่งหลบปลายดาบแหลมของหน้ากากเสือรอดได้อย่างหวุดหวิด และหน้ากากสิงโตก็พยายามวิ่งจะกระโจนไปคว้าง้าว แต่อีกฝ่ายก็ดันพุ่งมาดักได้ซะก่อน จนกระทั่งหน้ากากเสือกระโดดหนีแทบไม่ทัน แต่อีกฝ่ายยังพยายามใช้ดาบต้อนให้จนมุมจนหน้ากากสิงโตกลิ้งและร่วงหล่นออกจากลานประลอง
ตุ้มๆๆๆ
เสียงตีกลองดังขึ้นรัวๆ จนทำให้คู่ต่อสู้ต้องหยุดการประลองทันที
หน้ากากเสือหันมาถอดหน้ากาก และจึงเดินลงไปจากเวทีประลองที่สูงราวสามนิ้วครึ่งเพื่อยื่นมือลงไปช่วยหน้ากากสิงโตที่ยังประคองตัวลุกขึ้น
"เอามือสกปรกของเจ้าออกไป ! "ถ้อยคำปฏิเสธและน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพอๆ กับคนที่เป็นเจ้าของหน้ากากสิงโต
" หึๆ " แต่กลับมีรอยยิ้มจากฝ่ายผู้ชนะกลับคืนมา
" น้องหญิงของข้า ช่างมีอารมณ์ขันซะจริง " เขาหัวเราะชอบใจ แต่อีกฝ่ายกลับตรงกันข้าม
คู่ต่อสู้ของเขาพอลุกขึ้นได้ด้วยตัวเองก็เข้ามายืนประจันหน้า และภายใต้หน้ากากมีเพียงสายตาที่จงเกลียดจงชังคู่ต่อสู้ แต่ว่าในที่สุดก็ตัดสินใจถอยหลังและเดินหนีออกจากสนามประลอง
หน้ากากสิงโตเดินจ้ำๆ ด้วยความโกรธแค้นเข้าไปในป่าทึบและเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั้งภายในป่าเริ่มทยอยมืดลง และไม่นานก็ได้ยินเสียงกร๊อบๆ แกร็บๆ ของกิ่งไม้แบะใบหญ้าแห้ง หน้ากากสิงโตจึงเดินช้าลงและใช้มือคลำหามีดพกสั้นที่เหน็บ แต่ว่ากลับคลำหามีดไม่เจอ เพราะก่อนหน้าที่จะประลองเพลงดาบนั้นได้ฝากมีดสั้นไว้กับมารดา เพราะฉะนั้นจึงต้องตัดสินใจหันหลังกลับ
ฉึก !
คันศรปักพุ่งเฉียดใบหน้าของหน้ากากสิงโตปักเข้ากลางกิ่งไม้ใหญ่ และเพียงไม่กี่อึดใจคันศรของธนูเกือบร้อยดอกก็ทยอยพุ่งเป้ามาที่หน้ากากสิงโต แต่ทว่าความว่องไวราวกับเป็นเจ้าของป่า และเจ้าของร่างกายที่บิดได้ราวกับไร้กระดูกก็สามารถรอดพ้นจากทุกคันศร จนกระทั่งพวกที่ลักลอบเล่นงานเจ้าของหน้ากากสิงโตต่างต้องหันมาถือหอกและจับง้าวทยอยกันจู่โจมเข้ามาตีรันฟันแทง แต่เพราะเจ้าของหน้ากากคล่องแคล่วชำนาญพื้นที่ และจากคันศรที่หมายจะเอาชีวิต จนกระทั่งหน้ากากสิงโตใช้คันศรเดิมๆ พุ่งหลาวใส่พวกสุนัขลอบกัดเกือบจนจะ
สำเร็จ แต่แล้วควันไฟสีส้มกลับค่อยๆ คืบคลานเข้ามา..
ปัง ! ปังๆ
คังมินจุนและคังจูวอนยังต้องคอยวิ่งหนีการไล่ล่าจากพวกทหารที่เฝ้าห้องแล็ปลับของดารา ! ตรงบริเวณถนนร้านค้าในตัวเมืองซานหมิง และมิหนำซ้ำเสียงปืนก็ดังจนทั่วท้องถนนพลอยทำให้ผู้คนแตกตื่น
ปังๆๆ
คังจูวอนยังต้องช่วยกันยิงสกัดพวกทหารและมือปืนรับจ้างของดารา และในระหว่างที่คังจูวอนก็พยายามโทรศัพท์ติดต่อใครบางคนอย่างรีบร้อน
" อะไรนะ ! ไม่เห็นเหมือนที่คุยกันไว้ !! " คังจูวอนขึ้นเสียงต่อว่าปลายสายในขณะที่พยายามมองหารถ
" ทีแรกก็เหมือนจะง่ายๆ ที่ไหนได้ !! "
" คนของวีไอพี !! ขี้ขลาดเห็นๆ " และยังตะโกนสบทใส่โทรศัพท์รัวๆ
เอี๊ยดด..! รถตู้ทึบสีดำขับเข้ามาจอดเทียบฟุตบาตและลดกระจกลงทันที
" พี่มินจุน !! " ยุนเจอีโผล่มาพร้อมรถตู้คันนั้นและยังรีบตะโกนบอกให้สองพี่น้องคังรีบขึ้นรถ
ปัง !!
ดาราเล็งปืนหายุนเจอีทันทีที่โผล่เข้ามา
" อย่าให้ใครหน้าไหนหนีไปได้ ! " ดาราตะโกนสั่งพวกลูกน้อง จนบรรดาลูกน้องทั้งที่เป็นทหารรับจ้างและบอร์ดี้การ์ดต่างช่วยกันระดมยิงปืนเข้าใส่รถตู้ของยุนเจอีที่ใกล้จะขับหนีไป
ปังๆ
ยุนเจอีรีบเร่งขับรถและพาคังจูวอนกับคังมินจุนพากันหลบหนีดารากับลูกสมุนที่ยังคงไล่ตามรถของพวกเธอไปตามท้องถนนภายในเมืองหลวงของซานหมิง
ปังๆๆๆๆ แต่ทว่าเสียงปืนจากรถที่ขับไล่ตามพวกบรรดาลูกน้องของดาราก็ยังคงดังสนั่นไม่หยุด
บึ้ม !!!
เสียงยางล้อรถระเบิดแต่ไม่ใช่เป็นของรถตู้คันสีดำ เพราะฉะนั้นทุกๆ คนในรถตู้ของยุนเจอีที่ต่างพากันหันหลังกลับไปดูและเห็นรถของพวกลูกสมุนดารากำลังถูกลอบยิงจนเกิดระเบิด
" เกิดอะไรขึ้น ! " มินจุนสงสัยและมองหน้าของยุนเจอีกันทั้งพี่ทั้งน้อง
" แล้วทำไมถึงเพิ่งโผล่มา !! " คังคนพี่มองหน้ายุนเจอีอย่างหัวเสีย
ยุนเจอีเหลือบมองคังจูวอนผ่านกระจกมองหลัง
"พวกเขาเป็นคนของอาซาลา " ยุนเจอีตอบข้อสงสัยของพวกเขาทั้งคู่
แต่ว่าคังมินจุนที่เพิ่งจะสังเกตกล่องบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์สี่ถึงห้ากล่องข้างในรถตู้
" วัคซีนเชย์รีส ! " ยุนเจอีบอกพวกเขา
" นี่ก็หมายความว่า ลัทธิอาซาล่าก็ต้องการวัคซีนนี่เหมือนๆ กัน ! " คังจูวอนที่แทบไม่อยากจะเชื่อว่า ลัทธิแปลกๆ ลับที่แท้มีจุดมุ่งหมายก็คือวัคซีน
" เธอคิดอะไรอยู่ ถึงส่งวัคซีนมาที่นี้ พัคจินอู !"
" เธอต้องบ้าไปแล้วจริงๆ " คังจูวอนถึงกับหันมาบ่นพล่ามอยู่คนเดียว
แต่ว่าระหว่างที่อยากจะบอกอะไรต่อมิอะไรกับสองพี่น้องคัง แต่ว่ายุนเจอีก็ยังต้องระมัดระวังและรีบพาพวกเขาไปที่ๆ ปลอดภัยให้ได้ซะก่อน !
" จางอูริน ! " เสียงของหมอหญิงจองเรียกหาหล่อนในขณะที่เห็นหล่อนนั่งอยู่ในห้องทรงน้ำของฝ่าบาท
" เจ้าค่ะ ! " หล่อนเพิ่งจะรู้สึกตัวจนต้องเหลียวหันกลับไป
"พอดีว่า ข้าน้อยกำลังเข้ามาดูความเรียบร้อยเจ้าค่ะ " หล่อนตั้งสติและตอบคำถาม
หมอหญิงจองพยักหน้าเล็กน้อย และจึงเดินเข้าไปสังเกตสำรวจตามร่างกายของจางอูริน
" ข้าตามหาเจ้าซะทั่ว "
" ข้านะ ตั้งใจจะมาตรวจดูอาการให้ เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า " หมอหญิงจองสอบถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
หล่อนหลบสายตาเล็กน้อยก่อนตอบคำถามของท่านหมอหญิง
" เอ่อ ! คือว่า " แต่ว่าหล่อนก็พยายามไม่ให้ถูกจับได้
" คนร้ายตีหัวข้าน้อยจนสลบไป แต่พวกนั้นคงเข้าใจว่า ข้าน้อยตายแล้ว "
" ก็เลยทิ้งข้าน้อยไว้กลางป่า แล้วหนีไปเจ้าค่ะ ! " หล่อนกำลังโกหกนาง
หมอหญิงจองกลับรู้สึกกังวลและกลับยิ่งสงสัย
" น่าแปลกจริงๆ "
" ทำไมคนร้ายพวกนั้น ต้องจับตัวเจ้าไปด้วย ทั้งๆ ที่คนร้ายพวกนั้นต้องการจะฆ่าข้า " หมอหญิงที่พยายามคิดหาเหตุและผล
" แล้วเหตุใด คนร้ายพวกนั้นถึงคิดที่จะทำร้ายพวกท่าน " หล่อนหันมารีบซักไซ้ และยังสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง
หมอหญิงจองทำหน้าครุ่นคิดและยังเดินเข้ามาและนั่งลงใกล้จางอูรินตรงที่มีแจกันลายครามปักดอกไม้งดงาม
" ข้า..." และดูเหมือนว่าสายตาของหมอหญิงจองก็เปลี่ยนไปคล้ายเหมือนคนลังเล
" ก็คงจะไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้า " หมอหญิงจองตอบและแอบฉุกคิด
" เห็นอะไรหรือเจ้าค่ะ " หล่อนที่สงสัยขึ้นมาหลายสิ่ง
แต่ว่าหมอหญิงจองกลับเงียบลง และจึงหันมาส่ายหน้าช้าๆ
"ข้าเห็นคนพวกนั้นปล้นสะดมชาวบ้าน "
" ก็คงอยากจะข้าปิดปากพวกเราก็เท่านั้น " และนางที่พยายามยิ้ม
" เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็โล่งอก " และยังพยายามเข้าไปปลอบจางอูรินที่กำลังเอาแต่ยืนก้มหน้า
" ข้าต้องไปเข้าเฝ้าพระมเหสี เจ้าก็รีบเก็บข้าวของและเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว " หมอหญิงจองล่ำลาและกลับออกไปจากห้องสรงน้ำของฝ่าบาท
และหล่อนที่กำลังมองตามหลังของหมอหญิงจองตามไปติดๆ และกำลังคิดอ่านใจของนางออกให้ได้ว่า เหตุใดนางถึงได้พูดปด
ถ่ำแห่งหนึ่งบริเวณริมแม่น้ำ และจางอูรินที่ค่อยๆ เดินถือคบเพลิงเข้าไปในถ่ำในกลางดึก
" ท่านแม่ทัพ " จางอูรินเห็นฮงซอกดู และทหารติดตามร่างเล็กที่กำลังทรมานคนๆ หนึงอยู่ และบาดแผลตามเนื้อตัวที่ก็เกิดมาจากการเฆี่ยนตี
" มาแล้วรึ ! " ฮงซอกดูพยักหน้า และเข้าไปรับคบเพลิงจากมือจางอูริน และนำไปเสียบตั้งไว้ใกล้ๆ
แต่ว่าหล่อนก็เดินเข้าไปยืนใกล้ๆ กับทหารที่คอยติดตามฮงซอกดู และยืนมองคราบเลือดเกรอะกรังตามเนื้อตัวและใบหน้าของผู้ต้องสงสัย
" จนป่านนี้ ก็ยังไม่ยอมปริปาก" หล่อนมองหน้าคนร้าย
" ข้าไม่อยากรู้หรอกว่า เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด "
" เพราะเมื่อเจ้าตาย คนพวกนั้นก็จะมาหาข้าเอง ข้าพูดถูกหรือไม่ ! " หล่อนยังคอยพูดจากับผู้ต้องสงสัยที่ก่อนหน้านี้พยายามจะฆ่าหมอหญิงจองซูวอน
" ข้าให้กุกชอล ! ทรมานเขาทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ให้บอกชื่อก็ไม่ยอมปริปากสักคำ " ฮงซอกดูหันไปทางทหารที่ติดตาม และนายทหารที่ยังคอยโค้งคำนับให้
" ตอนที่ค้นตัวคนร้ายก็ไม่เจอหละกฐานอะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนของเผ่าทางเหนือขอรับ ! " และคำพูดคำจาค่อนข้างจะนอบน้อมของทหารติดตามคนนี้ที่ไม่ได้มีให้เฉพาะท่านแม่ทัพฮงซอกดู จนทำให้หล่อนต้องหันมาทำสายตาตำหนิ
" ข้าจะต้องขอร้องว่าให้เจ้า เรียกข้าว่าจางอูรินอีกอย่างนั่นหรือเปล่า กุกชอล ! " และก็ตามมาด้วยถ้อยคำติเตียนจากหล่อนต่อนายทหารที่มีชื่อว่า คังกุกชอลจนทำให้เขาต้องหันมาและโค้งคำนับแทนคำขอโทษ
" ต้องขออภัย ! " ทหารที่หล่อนเรียกว่า กุกชอลยังคงพยายามคำนับแลดูเหมือนการให้เกียรติ
" แต่ว่าตอนที่ท่านจับตัวเขา ท่านได้เห็นบางอย่างผิดปกติอีกหรือไม่ " ทหารคังกุกชอบพยายามช่วยตั้งสมมติฐาน
จางอูรินพยายามนึกให้ออกว่าหลังจากที่ตนไล่ตามกลุ่มคนร้ายที่พยายามจะจับตัวกลุ่มของหมอหญิงจองซูวอนแล้ว และคนร้ายพวกนั้นมีอะไรที่น่าสงสัยอยู่อีก
" กุกชอล เจ้าอยากจะบอกอะไรกับเรากันแน่ " เพราะฉะนั้นหล่อนจึงอยากที่จะรู้
ฮงซอกดูก็เลยต้องเดินเข้ามาหาใกล้ๆ และยังคอยใช้ดาบชี้ไปที่นิ้วมือนิ้วเท้าของคนร้าย และให้จางอูรินสังเกตบริเวณสีผิวดำคล้ำไหม้ๆ ที่ปลายนิ้วมือ
" ไข้มรณะดำ ! " คำอุทานสุดเสียงของจางอูรินก็ด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด
" เป็นไปได้ยังไงกัน !! " และน้ำเสียงตกอกตกใจ และแววตาจากความสงสัยได้กลายเป็นความเศร้าสลดหดหู่
" เจ้าติดโรคร้าย ! เพราะฉะนั้นพวกเจ้าถึงได้ต้องการหมอไปรักษา " จางอูรินพยายามเข้าไปสอบสวนพวกของคนร้ายใกล้ๆ และคนร้ายที่พอได้ยินคำว่า ไข้มรณะดำก็รีบหันมาทันที
" เจ้า !! รู้วิธีรักษามันหรือไม่ !! " คำพูดจาติดๆ ขัดๆ ของคนร้ายพลอยทำให้จางอูรินร้อนใจจนพยายามจะเข้าไปช่วยแก้หมัด
" นี่เจ้า ! กำลังจะทำอะไร !! " ฮงซอกดูพยายามร้องห้าม
" คุณหนู ! ไม่ได้นะขอรับ !! " แต่ว่าคังกุกชอลทหาาติดตามฮงซอกดูกลับยิ่งเป็นห่วงจนเผลอเรียกจางอูรินว่า คุณหนูออกไป
" เขากำลังจะตาย หากไม่ช่วยลดไข้ให้เขา ๆ อาจจะตายได้ ! " แต่หล่อนกลับไม่สนใจ และพยายามเข้าไปช่วยแก้หมัดของคนร้าย
แต่ว่าฮงซอกดูที่อดทนดูต่อไปไม่ไหว และรีบปรี่เข้าไปช่วยจางอูรินประคองคนร้ายและจับนอนราบบนพื้นถ่ำ และในขณะนั้นทหารติดตามก็เลยต้องรีบเข้ามาช่วยกัน
" ไข้มรณะดำ เมื่อก่อนที่หมู่บ้านของเจ้าก็เคยเกิดโรคระบาด " และฮงซอกดูที่ยังคอยตรวจสอบที่มาที่ไปของโรคร้าย และยังจะหันไปขอคำปรึกษาจากจางอูรินด้วย
" โรคนี้ร้ายแรงมากพวกมันจะกัดกินอวัยวะภายใน และผิวหนัง "
" ถ้าไม่รีบรักษาอาจจะต้องตายภายใน 3 ถึง 5 วัน " และหล่อนที่คอยอธิบาย และยังหันหน้ากลับมาขอร้องพวกเขา
" รักษาชีวิตคนก่อน " จางอูรินขอร้องฮงซอกดู แต่อีกฝ่ายกลับดูลังเล
ฮงซอกดูมีสีหน้าที่หนักอกหนักใจ แม้ใจลึกๆ ก็เห็นด้วยก็ตาม
"จองซูวอน ! ข้าจะให้นางมาพัวพันกำลังเรื่องของพวกเราไม่ได้เด็ดขาด " แต่ว่ามิหนำซ้ำเขายังต้องการที่จะกำชับจางอูรินไม่ให้ทำอะไรวู่วาม
หล่อนพยักหน้า แต่ว่าคังกุกชอลกลับไม่เห็นด้วย
" ท่านแม่ทัพ ! " และคังกุกชอลที่ยังคงพยายามคัดค้านพวกเขาทั้งคู่