ฝนตกหนักเมื่อมองผ่านกระจกในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลจิตเวช เด็กหญิงที่สวมชุดผู้ป่วยกำลังยืนมองท้องฟ้าและสายฝนผ่านกระจกห้องของเธอในโรงพยาบาลบนชั้นเกือบสูงที่สุดของที่นี้ และเธอที่สามารถยืนมองสายฝนได้เป็นเวลาชั่วโมง ๆ
เป็นเวลาร่วมๆ หกเดือนแล้ว ที่เธอไม่ได้ออกไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เป็นเวลาหกเดือนแล้วที่เธอจำต้องอยู่รับการรักษาจากคุณหมอที่แสนดีและก็สวยมากๆ คอยดูแลเธอ และทดสอบอะไรต่อมิอะไรกับเธอตั้งมากมาย
เด็กหญิงที่อยากจะออกไปกระโดดโลดเต้นกับพี่ชายท่ามกลางสายฝนชุ่มช่ำ และได้ไปโรงเรียนกับเพื่อน ๆ และวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่น และที่ยังเฝ้านึกถึง...เด็กผู้ชาย 2 คนนั้นด้วยที่พวกเขาเคยโดยฟ้าผ่าพร้อมกันในตอนนั้น....
แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหญิงคนนี้ที่เพีงจะอายุ 12 ปี และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องกลับมาที่ห้อง ๆ นี้ในโรงพยาบาลจิตเภชซะเมื่อไหร่ และเธอที่กำลังยืนครุ่นคิดอย่างหนักถึงหนักมากที่สุด และเกินความคิดของเด็กที่กำลังจะเข้าโรงเรียนมัธยมเป็นปีแรกของตัวเองว่า...ถ้าขืนเธอยังทำเรื่องแบบนี้ต่อไป แล้วใครกันละที่จะเจ็บปวดมากที่สุด
" แม่ค่ะ" เสียงสะอื้นเล็กๆ ที่ค่อย ๆ ผ่านออกมาจากลำคอ
" หนู ! ขอโทษนะคะแม่"
เด็กหญิงที่รีดปาดน้ำตาทันทีที่ไหลออกมา เธอพยายามทำราวกับว่า..ถ้าหากเธอร้องไห้ออกมาตอนนี้ เพราะฉะนั้นมันก็เท่ากับว่า ...เธอกำลังโกหกคนอื่นอยู่จริง !!!!
สายฝนที่ยังหลั่งไหล่ลงมาจากท้องฟ้าสีแดงเข้มที่ไม่มีทีท่าว่า พวกมันจะหยุดจองจำพวกเขาสองคนไว้ในปราสาท
ค่ำคืนบนยอดปราสาทที่ท้องฟ้าราวเหมือนกับถูกฉาบด้วยเลือดนกอายุห้าร้อยปี ! แม้กระทั่งลายคลื่นบนท้องฟ้าก็ยังดูเหมือนปีกนกอายุครึ่งพันปี พวกนกยักษ์ที่พากันโบกสะบัดพัดด้วยแรงปีกอันแข่งแกร่งทำให้เกิดฝนและลมพายุกระหน่ำ
และ..ค่ำคืนอันเหน็บหนาวบนบัลลังก์ในปราสาทก็เช่นกัน เจ้าผู้ครองบัลลังก์และยังจะเป็นเจ้าชีวิตอันทรงพลัง ชายหนุ่มผู้นั่งบนบัลลังก์ตั่งทองที่โอ่อา รูปงาม และดูเกรงขามกว่าชายใดใต้หล้า
และ...ชายหนุ่มเบื้องขวา ผู้เป็นดั่งแม่ทัพปีกขวาคู่พระทัย ชายหนุ่มวัยรุ่นรูปงามรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นเจ้าครองนครอันศิวิไลต์
ค่ำคืนนั้น ! ครานั้น...ลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรงในคืนเดือนท้องฟ้าสีเลือด สตรีสาวร่างเล็กผู้ใส่เสื่อเกราะเฉกเช่นชายชาติทหารหมอบกราบอยู่แทบเท้าใต้บัลลังก์ และเสียงสะอื้นไห้เพื่อร้องขอชีวิตอันสิ้นหวังของพี่สาวที่ถูกขังอยู่ในห้องหอของพระราชา และเพียงแวบเดียวที่ๆ พระราชาไม่รับฟังคำอ้อนวอนเพื่อปล่อยสตรีพี่สาวของหล่อนให้เป็นอิสระออกจากวังวนข้าราชบริพารฝ่ายใน ที่เป็นเพียงสถานที่ไว้ให้สำหรับคนใจคับแคบ
และคราเดียวกัน...ปลายดาบของนักรบหญิงที่เป็นห่วงและรักพี่สาวตนอย่างสุดจะหาไม่ ! บัดนี้..คมดาบได้พาดถึงคอพระราชา !!!
ทันใดนั้น...ผู้ดั่งเป็นองครักษ์ปีกขวาคู่ใจพระราชาไม่นิ่งนอนใจได้แกว่งดาบเข้าหา และปลายดาบก็พาดผ่านหน้าพระราชาหยุดที่หัวใจหล่อนเจ้า
ทันทีที่หล่อนโดนดาบแทงทะลุที่หัวใจดวงน้อย ครานั้น...เสียงอ้อนวอนอันสุดซึ้งคอยแต่จะก้องกังวาลไปทั่วท้องพระโรงและต่อเบื้องหน้าของราชองครักษ์ฝีมือดีดุจเทพสงครามว่า
" ยอมเฉือนหัวใจตน เพื่อรับใช้พระราชา ยอมสละชีวิตคนที่ตนรัก ก็เพื่อพระราชา แล้วต่อจากนี้..ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร "
เสียงอ้อนวอนที่ฝั่งรากหยั่งลึกไว้ด้วยความเคียดแค้น แววตาที่หันไปมองเบื้องบนพระพักตร์ของพระราชาที่แสนนิ่งดูดาย ความเย็นชา และไร้ซึ่งความปราณีอันใด หล่อนผู้เป็นนักรบที่เคยข้างกายคนหนึ่งจึงต้องตายจมกองเลือดใต้ตั่ง...พระราชา
ครั้นยามดึกสงัด ! ข่าวสารการสิ้นชีพของน้องสาวของหญิงนางหนึ่งที่ถูกขังในห้องหอพระราชาแพร่สะพัด หญิงสาวรูปร่างสะคราญ เส้นผมงดงามราวกับนกยูงรำแพน ใบหน้าที่สวดสดงดงามราวกับเทพธิดารังสรรค์ แต่บัดนี้....แววตาดูเศร้าสร้อย รอยหยดน้ำตาเปรอะเปื้อนไปตามร่องแก้มอันอวบอิ่ม เพราะการจากไปของน้องสาวผู้น่าเวทนา
และเหนือสิ่งอื่นใด....ชายของตนอันเป็นที่รักยิ่ง คน ๆ นั้นได้สังหารหล่อนด้วยน้ำมือที่เคยโอบอุ้มกันมาแต่เยาว์วัย
เพราะเฉกเช่นนั้น...หญิงสาวถึงได้รีบเรียกคืนสติอันแสนโหดร้าย และได้ครุ่นคิดไตร่ตรองสักสองสามตลบว่า.. ถ้ารีบด่วนตายตอนนี้เสีย เพียงไม่นานผู้คนในราชวังก็จะอยู่กันอย่างสุขสบาย ไร้สิ้นซึ่งชื่อเสียงคุณงามความดีของครอบครัว
แต่ถ้าหาก...เธอเลือกที่จะฝืนและอดทนกล้ำกลืนเป็นขวากหนามขวางอำนาจราชองครักษ์ผู้ที่เฝ้าเพียรบอกว่า เขาไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูงเฉกเช่นนั้นเล้า
" บัดนี้ เวลาของการแก้แค้นได้มาถึงเจ้าแล้ว " หญิงสาวคุกเข่าสาบานต่อสวรรค์ !!!
" เธอ...ต้องตายเท่านั้น พัคจินอู !! " เสียงพึมพำของชเวกียุลในขณะที่เขากำลังยืนอาบน้ำภายใต้ฟักบัวขนาดใหญ่และละอองน้ำอุ่นที่เกาะกระจก
บนดาดฟ้าค่าเฟ่ 123 พัคจินอูกำลังยื่นเหม่อลอยและมองทอดสายตาออกไปไกลๆ ผ่านยอดตึกสูงและผู้คนเดินขวักไขว่ข้างล่างบริเวณหน้าคาเฟ่และก็รถลาในช่วงสายๆ และตอนนี้เธอยังจำคำพูดของชเวกียุลที่ๆ เขาเคยพูดกับเธอเมื่อวันก่อนว่า จริงๆ แล้วการแข่งขันระหว่างเขาและเธอเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
" นายเป็นใครกันแน่ " พัคจินอูพึมพำกับตัวเอง และพยายามจะคิดให้ออกให้ได้ว่า เธอกำลังลืมเรื่องอะไรระหว่างพวกเธอกันแน่นะ
" พี่ครับ ! " คังจูวอนรีบร้อนเดินขึ้นมาที่ดาดฟ้า
" วีไอพี ส่งข้อความมาอีกแล้วครับ " และคังจูวอนเดินเข้ามาบอกใกล้ๆ แต่ว่าสีหน้าของพวกเขาก็ดูเป็นกังวลเมื่อเห็นเธอแสยะยิ้ม
พัคจินอูแสยะยิ้มเล็ก ๆ และเหลียวมองคังจูวอนที่ๆ พวกเขากำลังยืนตัวตรงหลังแอ่น และนิ้วมือทั้งสิบนิ้วก็แทบจะชิดติดแนบลำตัว
" คังจูวอน คังมินจุน" เธอมองหน้าพวกเขาและแววตาอย่างฉันท์มิตร แต่ทว่าคังจูวอนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากลับหลบสายตาของพวกเธอ
" พวกนายอยู่กับฉันมานานเท่าไหร่กันนะ " และเธอก็ยังพยายามที่จะฝืนยิ้มออกมาให้ได้
" เจ็ดปี ที่พวกเราสองคนอยู่ที่นี้ " คังจูวอนตอบคำถามโดยไม่กล้าสบตา แต่ว่าในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังกำมือแน่น
เธอพยักหน้าและพยายามจะเดินเข้าหา แต่พวกเขากลับเขถิบถอยหนี
" ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจพวกนาย " เธอฝืนยิ้มและคอยสังเกตไปที่มือของคังจูวอนเป็นระยะๆ
" เอาเป็นว่า เรื่องวีไอพี "
" ฉันจะไปเจอเขา " เธอให้คำตอบคังจูวอน และเห็นสีหน้าพวกเขาที่ค่อยๆ คลายความเป็นกังวลเรื่องนั้นลงได้
คังจูวอนโค้งเล็กน้อยให้กับพัคจินอู แต่ในตอนที่เธอจะเดินผ่านเขาไป
" โครงการเชย์รียส์นั่น "
" มันจะต้องสำเร็จ ใช่ไหมครับพี่พัคจินอู " คังจูวอนยังคลายความสงสัยเรื่องๆ นี้ไม่เคยได้
พัคจินอูหยุดฟังคำถาม แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหันกลับมาตอบ และเธอเพียงแต่ยืนหันหลังให้คังจูวอน
" ตอนนี้ ประธานเอ็มดี และพี่มินแจ"
" กำลังป่วยหนักเพราะได้รับเชื้อไวรัส ตอนไปที่ฝูเจี้ยน " และเธอก็เหมือนจะแอบถอนหายใจหนักๆ ออกมาให้คังจูวอนได้ยินจนได้
" ฉันจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่า เพราะอะไรพวกเขาถึงได้รับเชื้อไวรัส "
" เพราะเวลามันผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว "
" เพราะฉะนั้น พวกเราต้องรีบหาสาเหตุให้ได้ว่า ทำไมอยู่ๆ พวกเขาถึงติดเชื้อนั่น " พัคจินอูเพียงแต่กำชับเรื่องงานให้กับคังจูวอน และมิหนำซ้ำเธอยังรีบเดินหนีพวกเขาไป
คังจูวอนนิ่งฟังเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วอยู่ๆ ก็รีบวิ่งลงบันไดดาดฟ้ากลับออกไปอย่างรีบร้อนด้วยเหมือน ๆ กัน