เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อสูทและชเวกียุลก็ล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาลศูนย์เอ็มดีสำนักงานใหญ่กำลังโทรเข้ามา และไม่นานหลังจากรับสายสีหน้าที่ดูไม่เป็นปกติและตระหนกตกใจจนต้องรีบวิ่งออกไปจากสำนักงานของห้องแล็ปเชย์รีสกะทันหัน
เลขามินโดฮยอนเดินกระสับกระส่ายอยู่บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของศูนย์ใหญ่โรงพยาบาลเอ็มดี และพอเห็นพวกบอร์ดี้การ์ดของสำนักงานหน่วยข่าวกรองที่ ๆ พวกเขากำลังพาตัวพัคจีอึนรีบร้อนเดินทางมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน
" ท่านประธาน กับ มินแจ พวกเขายังไม่ได้สติกันเลยทั้งคู่ " เลขามินรีบร้อนเดินเข้าไปหาพัคจีอินและรีบรีบร้อนบอกกับเธอ
พัคจีอึนที่พอได้ยินเรื่องนี้ และเธอที่ทำได้แต่พยักหน้ารับรู้และก้มมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
" พวกเขาอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย " เธอบอกกับเลขามินโดฮยอนทั้งๆ ที่สีหน้าของตัวเองก็ไม่ได้มั่นใจอย่างที่ปากพูดสักเท่าไหร่ แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงของชเวกียุลที่รีบร้อนวิ่งตามมาที่บริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน
ชเวกียุลหันไปสนใจพวกการ์ดจากสำนักงานหน่วยข่าวกรองแห่งชาติที่พากันอยู่จนเต็มทั่วทั้งตึกเอ็มดี แต่ก็ยังต้องรีบพาตัวเองเข้าไปที่หน้าห้องฉุกเฉินและเอาแต่มองเลขามินซ้ำๆ
" พวกเขาปลอดภัยแล้วหรือยัง " เขาถามและเหลียวหันมองที่ประตูห้องฉุกเฉินแทบที่จะตลอดเวลา แต่ว่าพอเขาหันกลับมาเจอพัคจีอึน
เธอหลบตาชเวกียุลเล็กน้อย และพยายามจะเดินหนีออกไปจากหน้าห้องฉุกเฉิน
" พ่อของฉัน กับมินแจ "
" เธอแน่ใจใช่หรือเปล่า " คำถามของชเวกียุลดังตามหลังกันมาติดๆ จนเธอต้องสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด แต่ว่าเธอเลือกที่จะไม่อยู่รอให้ชเวกียุลถามซักไซ้อะไรให้มากกว่านี้ เพราะฉะนั้นเธอถึงจำเป็นต้องตัดใจรีบเดินหนีพวกเขากลับออกไป
ภายในห้องโถงใหญ่รูปทรงวงกลมก่อสร้างด้วยครึ่งไม้ครึ่งปูน หลังคาทรงมุกแปดเหลี่ยมและภายในถูกทาทับด้วยสีฟ้าตัดกับสีแดงผสมกันเป็นแนวขวาง ตรงกลางมีบ่อน้ำผุดรูปสามเหลี่ยมทับซ้อนกันเป็นรูปดาวหกแฉกก่อขึ้นมาจากหินศิลาแลงขนาดราวๆ เส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรกับอีกเก้าเซนติเมตร และบริเวณด้านหลังน้ำผุดมีแท่นหินอ่อนสีขาวขนาดราวๆ หกศอกครึ่งและด้านบนมีรูปตราสัญลักษณ์เป็นกงล้อแห่งเวลาเป็นสัญลักษณ์โรมันซ้อนอยู่กับรูปดาวหกแฉก และแสงไฟในตะเกียงนับแล้วราวๆ สามสิบหกดวงโดยรอบห้องโถง และผู้คนที่พากันนุ่งห่มชุดสีขาวมีผ้าสีแดงพาดบ่าทั้งสองข้างก็ต่างทยอยกันเข้ามาในห้องๆ นี้
ผู้คนทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีทั้งคนชราและคนหนุ่มต่างทยอยกันเข้ามาจนเกือบจะเต็มห้องโถง และชายชราคนสุดท้ายอายุราวๆ แปดสิบปีก็กำลังถือไม้เท้าเดินควบคู่มากับเลขามินโดฮยอน และพวกเขาที่สวมใส่ชุดเหมือนกัน และเลขามินที่กำลังค่อยๆ ก้มหัวโค้งลงเล็กน้อยให้กับชายชราที่คล้ายดั่งกับว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในกลุ่ม
" อาซาลา " ดูเหมือนว่าเลขามินจะใช้คำทักทายนี้แก่ผู้อาวุโสกว่า และคนอื่นๆ ก็ต่างพร้อมใจกันพูดคำว่า " อาซาลา " อย่างพร้อมเพรียง
และผู้ชายที่ดูท่าทางอาวุโสก็ได้พยุงตัวด้วยไม่เท้าค่อยๆ ย่างก้าวออกมาบริเวณหน้าแท่นตราสัญลักษณ์ สีหน้าที่ดูมุ่งมั่น รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นแต่ก็ไม่ได้จริงใจ ตีนกาบนหน้าผากเป็นร่องลึกที่เห็นถนัดจากแสงสว่าผ่านตะเกียงข้างหลัง สีผมขาวโผนทั่วทั้งศีรษะและหัวไม้เท้ารูปมอมตัวสีเขียว
" โครงการเชย์รีส ใกล้จะสำเร็จแล้วใช่ไหม " ผู้ชายแก่ๆ ค่อยๆ หันหน้าไปถามเลขามินโดฮยอนที่คอยยืนฟังอยู่ใกล้ๆ และเขาก็พยักหน้าให้ชายชราผู้นั้น
" มันจะสำเร็จได้ยังไง ถ้าไม่มีพวกเราช่วยเหลือ "
" ประธานเอ็มดี และลูกชายคนโต ตอนนี้ "
" พวกเขาเข้าโรงพยาบาล เพราะได้รับเชื้อไวรัส " เลขามินเวลาพูดหรืออธิบายก็ยังค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาทีละนิด ๆ
" ดีมาก " ผู้ชายแก่คนเดิมหัวเราะออกมาเบาๆ และในระหว่างที่ยิ้มก็ได้เดินเข้าหาแท่นกงล้อแห่งเวลา
" อาซาลา " ทุกๆ คนพร้อมใจกันเอ่ยคำๆ นี้ขึ้นมาอีกครั้ง และมิหนำซ้ำชายแก่ก็ยังคอยจ้องมองทะลุเข้าไปในดวงดาวหกแฉก และทุก ๆ คนก็หลับตา
ชายแก่สูดลมหายใจยาวเฮือกถึงสองเฮือกใหญ่ๆ
" เด็กคนนั้นกลับมาแล้ว "
" โรคภัยและสิ่งชั่วร้ายจะค่อยๆ จางหายเพราะเขา "
" ได้โปรดหมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พวกเราทุกคน และ "
" นำทางให้เด็กคนนั้นได้กลับคืนสู่...โลก " ชายแก่ยังคงหลับตาและอธิฐานต่อหน้าแท่นบูชาของพวกเหล่า " อาซาลา "
พัคจินอูกำลังยืนมองประตูห้องแล็ปของเชย์รีสซึ่งตอนนี้ยังคงมีนักวิจัยคนอื่นๆ ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง เธอกำมือแน่นและเริ่มมีน้ำตาซึมออกมาจนใกล้จะล้นขอบตาจนต้องรีบปาดทิ้ง
" ไปเจอฉันที่ห้อง " ชเวกียุลที่แอบเดินมาไม่ให้สุ่มให้เสียงและแอบยืนมองพัคจินอูอยู่นานสองนานตัดสินใจเรียกให้เธอไปหา
พัคจินอูไม่ได้สะดุ้งกับคำเรียกหาของชเวกียุลเลย แต่เพียงนิ่งเงียบและรีบปาดน้ำตาให้หมดออกไปก่อนก็เท่านั้น
ภายในห้องทำงานของรองประธานเอ็มดีอย่างชเวกียุล และเขาที่เอาแต่ยืนออกไปนอกกระจกและมองไปจนทะลุภูเขา และรอฟังเสียงการเดินเอื่อยๆ ของเธอที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามา และพัคจินอูก็ยืนอย่างไม่มั่นอกมั่นใจต่อหน้าคนๆ นี้เป็นหนที่สอง เพราะหนแรกก็ตั้งแต่พลาดพลั้งแตะมือของชเวกียุลในลิฟต์ที่อพาร์ตเมนท์ และนั่นก็คงจะเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกกลัวกับการมองเห็นอดีต
" อยากจะคุยกับฉันในฐานะเลขา หรือว่าอะไร " พัคจินอูพยายามพูดออกไปแม้ว่าใจของตัวเองกำลังคิดที่จะถามว่า ถ้ารู้ความจริงก็แค่พูดออกมา
" ฉันก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัว " เธอคิดแล้วถึงได้พูดออกมา แต่ว่ามือก็ยังคงกำเอาไว้แน่น เธอได้ยินเสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงของชเวกียุลเข้าให้แล้ว และเสียงนั่นทำให้ถึงกับผวา
และเขาก็หันกลับมาและจ้องมองตรงไปที่เธออย่างไม่มีอะไรต้องสงสัยกันอีก
" การแข่งขันเพิ่งจะเริ่ม "
" เธออย่าเพิ่งยอมแพ้สิ "
" พัคจินอู ! " รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเชวกียุลที่เหมือนจะระเบิดออกมาใส่หน้าของพัคจินอูเข้าให้ !