Chereads / touch of love and my dream ( เพราะรักและฝัน) / Chapter 12 - พระชายาคนเก่ง

Chapter 12 - พระชายาคนเก่ง

" ขับปกติก็ได้นี่ ยังไงเราก็ทันไฟเขียวที่แยกข้างหน้าอยู่ดี " พัคจินอูบอกกับชเวกียุลที่ขับรถฉวัดเฉวียนและเร่งรีบอย่างถึงที่สุด

" ทำไมฉันจะต้องเชื่อเธอด้วย" เขาส่ายหน้าและพยายามจะมองกระจกหลัง

" เธอช่วยนั่งอยู่เงียบๆ ไปเหอะน่า "

" นี่เธอไม่รู้ตัวเองเลยหรือยังไง "

"ว่าเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงอะไรยังไงไปบ้าง " เขาหัวเสียกับเธอมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก และยิ่งต้องมาขับรถแบบนี้และยังจะต้องพาเธอหนีการไล่ล่า

และเธอก็เลยนั่งผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ

" ตามนั้น " เธอตอบออกมาเบาๆ สลับกลับดูกระจกมองข้างสลับกับเขาไปด้วย เวลาที่เขามุ่งความสนใจไปที่การขับขี่บนถนน เธอก็สลับมามองที่กระจกข้างแทน มิหนำซ้ำรถสองสามคันที่กำลังขับไล่ตามเธอก็เหมือนจะโดนเก็บทีละคัน

พัคจินอูสลับมองดูกระจกข้างทุกครั้งทีมีจังหวะ และก็มองเห็นรถเอสยูวีสีน้ำเงินสองคนคอยไล่บี้เก็บกวาดพวกที่ตามหลังเธอมา

ชเวกียุลพยายามขับรถหลบหลีกรถประชาชนบนท้องถนนอย่างระวัง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พยายามที่จะขับหนีพวกผู้ชายปริศนาพวกนั้นด้วย

บริเวณสี่แยกและไฟเขียวเปิดค้างไว้นานจนเลยห้านาทีเข้าไปแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนเป็นไฟแดง จนทำให้รถยนต์ที่จอดตามแยกอื่นๆ ส่งเสียงบีบแตรดังลั่น แต่ในขณะเดียวกันรถของชเวกียุลกับพัคจิอึนที่เพิ่งจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดงแค่ไม่กี่อึดใจ ไฟเขียวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในชั่วพริบตา

" ก็บอกแล้ว " พัคจินอูบ่นอุบอิบอยู่ข้างๆ

" เงียบไปเลยน่า " แต่ถึงอย่างนั้นชเวกียุลก็ยังจะหันมาและคอยบ่นเธอไม่เลิก

เพราะว่าพัคจินอูคอยกำกับเขาเรื่องขับรถโน่นนั่นนี้อยู่แทบที่จะตลอด แต่ว่าอยู่ ๆ เขาที่เพิ่งจะสังเกตว่า ทำไม ! ตอนที่ผ่านสี่แยกไฟแดงนั้นมาพอถึงตอนนี้กลับไม่มีรถตามพวกเขามาเลยสักคัน และมิหนำซ้ำถนนก็ยังจะดูโล่งๆ ผิดปกติไปอีก จนกระทั่งเขาต้องหันกลับไปมองพัคจินอูและสังเกตอากัปกริยาของเธอพร้อม ๆ ไปด้วย และพอเขาขับรถไปได้อีกสักพักก็เริ่มที่จะเห็น รถยนต์แวนสีดำหลายคนต่อหลายคันกำลังจอดเป็นกำแพงอยู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องรีบหยุดรถทันที

ชเวกียุลกำลังมองคนที่เพิ่งจะเดินลงมาจากรถแวนสีดำคันหนึ่งตรงกลาง เขาจ้องมองผู้หญิงใส่สูทสีดำทะมัดทะแมงอายุราวๆ หกสิบต้นๆ อยู่นานสองนาน และเสียงเปิดประตูรถของพัคจินอูที่เพิ่งจะเปิดประตูรถและเดินลงไปหา

พัคจินอูแม้จะมีสีหน้าประหม่าอยู่บ้าง แต่ว่าเธอก็ยังคงตั้งใจที่จะเดินตรงเข้าไปหาผู้หญิงใส่สูทที่มีอายุคนนั้นใกล้ๆ และผู้หญิงคนนั้นก็ยังใช้ภาษาไทยพูดคุยกับเธอด้วย

" ต้องทำขนาดนี้เชียวเหรอ " ผู้หญิงชาวไทยวัยหกสิบที่แม้จะมีรอยย่นบนผิวหน้า แต่โครงสร้างของรูปร่างหน้าตาของเธอก็ยังดูให้ชวนหลงเสน่ห์เอามาก ๆ

" ฉันขอบอกกับเธอตามตรง " และผู้หญิงไทยคนนั้นยังพูดคุยกับเธอต่อ

" แผนของเธอ ช่างยอดเยี่ยมซะจริง ! " มิหนำซ้ำผู้หญิงไทยยังยิ้มเยาะ

" ดูเหมือนว่า จะไม่ได้จับได้แค่นกกระจอกซะด้วย ใช่หรือเปล่า ! " ผู้หญิงไทยพูดและหันจ้องมองไปที่รถคันที่พัคจินอูนั่งมา

" แค่หว่านแห ! ก็จับได้ถึงพญาอินทรีย์เชียวเหรอ " เธอยังยิ้มเยาะใส่หน้าพัคจินอู

แต่ดูท่าทางพัคจินอูกลับไม่ได้สนใจคำพูดอะไรพวกนั้นเลยสักเท่าไหร่ และเธอที่กำลังเดินผ่านผู้หญิงไทยคนนั้นในระยะที่เฉียดไหล่ของพวกเธอแค่นิดเดียว

" ท่านค่ะ " พัคจินอูที่กำลังพูดกับคนที่เพิ่งจะลดกระจกรถคันที่ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งจะเดินลงมา

" ขอบคุณมากค่ะ " พัคจินอูโน้มศีรษะขอบคุณใครบางคนหลังกระจกสีดำในรถคันนั้น และถึงจหันกลับมามองที่ผู้หญิงไทยคนนั้น ที่ๆ เธอยังคอยจ้องมองดูพัคจินอูด้วยความอับอาย แต่พัคจินอูกลับที่จะหันมาและค่อยๆ ฉีกยิ้มและยังจะพูดเป็นภาษาไทยด้วยว่า

" ฉันแค่เปล่าหว่านแห "

" เพราะฉันก็แค่... "

" หว่านแค่เศษขนมปัง ! ต่างหากละ " พัคจินอูพูดภาษาไทยด้วยอย่างชัดถ้อยชัดคำ จนผู้หญิงไทยวัยหากสิบคนนั้นยิ่งโมโหและโกรธแค้น

แต่พอเวลาที่พัคจินอูหันไปมองชเวกียุล เขาที่กำลังยืนมองเธออยู่ไกลๆ ก็แทบจะหัวร้อนเป็นไฟพร้อมจุดชนวนระเบิดเข้าให้แล้ว

ในห้องทำงานขนาดใหญ่ดูเหมือนโซฟารับรองแขกที่แสนหรูหราก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในห้องหรูหราและไร้กังวลตาม และผู้ชายวัยกลางยังเดินกระสับกระส่ายอยู่หน้าโต๊ะทำงาน กับ ป้ายกำกับประดับตำแหน่ง " ผอ.หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ " และหนำซ้ำยังต้องคอยเฝ้ามองดูเหตุการณ์ระหว่าง พัคจินอูกับท่านรองประธานชเวกียุลของเอ็มดี จนในที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้และขอยอมโบกธงขาวและจากพวกเขาสองคนออกไปจากห้องทำงานของตัวเองอย่างเงียบๆ ไปแบบนั้น เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายของทั้งพัคจินอูและก็ลูกชายของท่านประธานชเวมันแสนจะช่างบั่นทอนความตึงเครียดยิ่งซะกว่าเหนือกับใต้

" นักเขียน ก็แค่หน้ากาก " ชเวกียุลสบทลอยๆ

" ก็ใส่หน้ากากเหมือนกันนั่นแหละ " และพัคจินอูก็สบทตาม แม้ว่าระหว่างเธอกับเขากำลังนั่งจ้องหน้าตาเขม็งอยู่กันคนละฝั่ง

" นักวิเคราะห์ทางทหาร " เธอว่า

และเขาพยักหน้าไปหนึ่งครั้ง

" แล้วเธอละ พัคจินอู " เขาว่าย้อน

" เธอเป็นใคร และมีหน้าที่อะไรในรัฐบาลของที่นี้" และยังคงตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องกับเธอ พัคจินอูเบือนหน้าหลบสายตาไม่ตอบ

" หรือว่า...เธอจะเป็น "

" เด็กคนนั้น "

" เด็กผู้หญิงที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน " และเขายังคงตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญพอถึงตอนนี้เขากลับมีท่าทีที่ไม่มั่นใจ

พัคจินอูไม่ตอบแต่กลับรีบลุกขึ้น แต่ครั้งพอจะก้าวเท้าและหันหลังให้ แต่ว่าเขาก็ยังคงมีคำถามให้กับเธอไม่ยอมหยุด

"เด็กคนนั้น ไม่ได้หายตัวไปอย่างนั้นสินะ ! " เขาพยายามเดินตามพัคจินอู

" แต่ว่าเด็กคนนั้น รัฐบาลของที่นี้ "

" พยายามที่จะซ่อนเด็กคนนั้นเอาไว้อยู่ต่างหาก "

" ซ่อนจากความโสมม และโหดร้ายของโลกใบนี้ ที่มันเน่าเฟะ "

" จนเกิดกว่าพวกเขาจะแก้ไขให้มันถูกต้องที่สุด " เขามองตามหลังพัคจินอูไป แต่เธอกลับไม่หันมาสบตาและมองตอบ

พัคจินอูตัดสินใจที่จะเดินหนี แต่ว่าเธอก็ไม่กล้าตัดสินใจและถึงกับต้องยอมหันกลับมามองชเวกียุล

" แต่ถ้าหากพวกเขาไม่พยายามที่จะซ่อนเด็กคนนั้นไว้ละ " เธอยอมมองสบตาของชเวกียุล และแม้ว่าบางทีต้องยอมอดกลั้นน้ำตาเอาไว้บ้างก็ตามที

" เด็กคนนั้น "

" หรือว่า คนบางคน "

" ก็คงจะถูกใครหลายๆ คนหาผลประโยชน์ "

" ไม่ใช่ หรือยังไง " เธอถามๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาจะตอบว่าอะไร และเธอที่มองเห็นเขากล้ำกลืนคำ ๆ นั้นอยู่ตรงหน้า

พัคจินอูไม่อยู่รอรอฟังคำตอบของชเวกียุล ถึงแม้ว่ารู้ดีว่า ถ้าหากเธอคิดที่จะยังเดินก้าวเท้าหนี แต่ถึงอย่างไงก็คงจะหนีไม่พ้นจริงๆ

" ผลประโยชน์พวกนั้น " เขาพูดตามหลัง

" มันก็เป็นแค่ภาพลงตา "

" การตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้น ต่างหาก "

" ที่เป็นเรื่องจริง !!! " เขาตั้งใจพูดคำนั้นออกมาจริงๆ แม้ไม่รู้ว่า พัคจินอูจะคิดกับเขาอีกอย่างไงก็ตาม

เสียงนาฬิกาแขวนภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการของหน่วยข่าวกรอง พวกมันที่กำลังส่งเสียงดังบอกเวลาอย่างชัดเจนเป็นวินาที เป็นนาที แต่กลับกลายเป็นว่า..คนทั้งสองคน ชเวกียุล และพัคจินอู พวกเขาสองคนกลับฟังเสียงพวกมันเหมือน..เสียงของหัวใจของคนที่กำลังเต้นสลับกันไปมา

ปีเศษที่ราชองค์รักฮงซอกดูได้ย้ายมาอยู่ชายแดนทางทิศใต้ ฮงซอกดูที่ยังคงยืนอยู่เหนือป้อมปราการแม้ว่าค่ำคืนที่ฝนตกหนักและลมพายุแรง เขาที่ยังคงยืนมองพวกทหารจากทางใต้ที่พยายามประชิดบุกเข้าโจมตี

" ท่านรองแม่ทัพ !!! " เสียงของทหารชั้นผู้น้อยรีบมารายงานกับเขา และเรียกเขาว่า ท่านรองแม่ทัพอย่างเต็มปากเต็มคำ ทหารชั้นผู้น้อยที่รีบเร่งกระหือมารายงานความคืบหน้าของทหารอีกฝ่ายว่า แม้ว่าจะเจอฝนตกและลมพายุ พวกเหล่าทหารจากฝั่งตรงข้ามก็ไม่ลดละที่จะข้ามแม่น้ำเข้ามาโจมตีพวกตน

ว่าแต่ฮงซอกดูกลับไม่ดูแยแสกับคำเรียกของพวกทหารเหล่านั้นแม้แต่เพียงสักเล็กน้อย เขาเพียงแต่กำวังว่า เมื่อใดท่านแม่ทัพจะรีบกลับจากเมืองหลวงที่เวลานี้เกิดกบฏ

ฮงซอกคงยืนมองพวกทหารจากฝั่งตรงข้ามอย่างถ้วนถี่ เพราะถ้าหากไม่ทำสงครามให้รู้แพ้รู้ชนะ ตัวของเขาเองคงไม่อาจไปช่วยท่านแม่ทัพที่เมืองหลวงเพื่อปราบกบฏได้ ครั้งนั้นเขาจึงตัดสินใจออกอุบายดังนี้ว่า

ให้พวกตนแสร้งว่ามีทหารหนีทัพ สาเหตุเพราะเสบียงนั้นขาดแคลนอย่างหนักประกอบกับลมพายุสร้างความเสียหายกับเสบียง และถ้าหากพวกทหารของฝ่ายตนทำให้ฝ่ายนั้นเชื่อใจได้ว่า ขณะนี้พวกทหารฝ่ายตนกำลังหนีตายมากขึ้นจากการขาดแคลนอาหารได้สักเล็กน้อยละก็ อาจจะเป็นไปได้ว่า ทหารฝ่ายตรงกันข้ามอาจจะพากันชะล้าใจจนกูฏระเบียบในกองทัพลดหย่อนกำลังการตรึงกำลังพลเพียงครึ่ง และพอถึงเวลานั้นยามที่ทหารฝ่ายตรงกันข้ามต่างพากันอิ่มเอมกับเสบียงอาหารของตนจนขาดการป้องกันที่ดีก็ให้ทหารที่แอบอ้างว่าหนีทัพของฝ่ายพวกตนจึงลักลอบวางยาในเสบียงของพวกทหารฝั่งตรงกันข้ามเสีย

แต่ทว่า...ในแผนการของฮงซอกดูก็กลับได้ความช่วยเหลือจากนางโลมจากเมืองเล็กๆ แถบชายแดน เพียงเพราะนางโลมผู้นั่นเล่าความยากจนและคับคั่งแค้นในใจต่อทหารฝ่ายตรงกันข้าม และก็การช่วยชีวิตของฮงซอกดูที่คอยช่วยนางโลมผู้นั้นให้รอดตายจากน้ำมือของรองแม่ทัพของทหารฝ่ายตรงกันข้าม

ฮงซอกดูได้นำทัพกลับเมืองหลวงหลักจากชนะศึกสงครามจากเขตชายแดนตอนใต้ และชื่อเสียงของเขายังดังขจรกระจายไปทั่วแผ่นดินคาบสมุทรตะวันออก และเมื่อถึงประตูเมืองหลวงข่าวคราวของการเกิดกบฏในเมืองหลวงก็เป็นอันปรากฏว่า องค์รัชทายาทได้ก่อกบฏต่อพระบิดาของตน และองค์ราชทายาทได้สถาปนาตนเป็นพระราชาสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว

พิธีต้อนรับเหล่าทหารที่กลับจากชายแดนซึ่งถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา อีกทั้งพระราชายังทรงมีรับสั่งให้ตบรางวัลบรรดาเหล่าทหารที่สร้างคุณงามความดีให้กับประเทศชาติอย่างทั่วถึง และรวมไปถึงอดีตราชองครักษ์ฮงซอกดูที่เวลานี้กำลังจะถูกแต่งตั้งอยู่ในท้องพระโรงหลวง

พระราชาที่มีรับสั่งต่อหน้าข้าราชบริพารในท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์ว่า

" ต่อไปนี้ ฮงซอกดูจะเป็นแม่ทัพนายกองที่เก่งที่สุดของประชาชน " พระราชาทรงตรัสกับฮงซอกดูที่หมอบคลานอยู่เบื้องหน้า

และแม้ว่า ฮงซอกดูจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมายกับพระราชาคนใหม่ของตน แต่ทว่า อดีตท่านแม่ทัพใหญ่ของประเทศนี้ก็ได้ถูกอวยยศและแต่งตั้งเป็นอัครเสนบดีเบื้องซ้ายไปแล้ว

วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีพระราชทานตำแหน่งแก่ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในท้องพระโรง ฮงซอกดูที่กำลังเดินงุ่นง่านตามหาใครสักคนไปทั่ววังหลวง และความเงอะงะของฮงซอกดูบางครั้งเขาก็ยังสะดุดหินบริเวณพระราชวังอยู่ร่ำไปซะอย่างนั้นด้วย

"ท่านแม่ทัพ " เสียงใสๆ ของหญิงสาวดังแว่วผ่านหูฮงซอกดูอยู่ไกล ๆ บริเวณเขตพระตำหนักพระมเหสี และเขาที่รีบเหลียวหลัง

" จองซูวอน !! " ฮงซอกดูเอ่ยชื่อเมื่อเห็นหญิงอันปรารถนา

จองซูวอนยิ้มอย่างเร้าร้อนและเดินเข้าหาฮงซอกดูอย่างไม่ลังเล เธอเอ่ยคำคิดถึงมากมายให้กับท่านแม่ทัพคนใหม่อย่างฮงซอกดู แต่ทว่าเขากลับปฏิเสธคำชมนั้นและบอกเพียงว่า

" ข้ายังคงเป็นทาศฮงผู้ต่ำต่อยของเจ้า จองซูวอน " ถ้อยคำอันชวนให้ใจอ่อนของฮงซอกดูต่อหน้าหมอหญิงสาวสะพรั่ง

เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบของแม่ทัพหมาด ๆ และหมอหญิงหมาด ๆ ดังไกลไปจนถึงพระตำหนักพระมเหสีเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันโจแทซอบที่กำลังเดินเล่นอยู่กับพระมเหสีบริเวณหน้าพระตำหนัก โจแทซอบที่กล่าวถึงความกังวลใจของเขากับพระมเหสีว่า

"ถ้าหาก ตำแหน่งองค์รัชทายาทจากพระองค์ยังคงว่างเปล่า " โจแทซอบน้ำเสียงเคร่งขรึมเอาเรื่อง

" ตำแหน่งพระมเหสี ก็คงจะเหมือนน้ำชาในเหยือกก็เป็นแน่ " โจแทซอบที่ยิ่งเตือนก็ยิ่งเป็นกังวลหนักมากขึ้นกว่าเดิม

พระมเหสียิ้มๆ แต่แววตาที่ยังคงดูเศร้าและอ้างว้างเฉกเช่นเดิม

" โจแทซอบ " น้ำเสียงแสนราบเรียบของพราะนางตอบโจแทซอบ

" ตลกที่เจ้า อยากให้ข้าสร้างความสัมพันธ์กับพระราชาแบบนั้น " พระนางทรงฝืนยิ้ม

" ทั้ง ๆ ที่ เจ้าก็รู้ว่า พระราชาก็ทรงจะฝืนพระองค์มากเช่นไร " และยังทรงฝืนยิ้ม แต่ระหว่างที่โจแทซอบหันหน้าหลบสายตาของพระองค์

" น้ำชา...นั้นแสนจืดชืด "

" จะใส่ดอกไม้ หรือ โสมชั้นดี "

" แต่ถ้าไร้อารมณ์ความรู้สึก พวกเขาก็พร้อมที่จะเทมันทิ้งได้เสมอ " พระมเหสีที่ยังทรงฝืนยิ้มแย้มได้อยู่ และแม้ว่าโจแทซอบจะพยายามฝืนยิ้มกลับก็ตาม

" ข้าเป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาทมาก็หลายปี "

" แต่ไม่เห็นพระองค์ครั้งไหนเลย ที่เหมือนกับเมื่อวานในท้องพระโรง" โจแทซอบทำท่าครุ่นคิด

" ตอนเป็นรัชทายาท พระองค์ทรงสุขุมและรักษามารยาทได้อย่างดีเยี่ยม และนอบน้อม แต่ทว่า.." และเขายังหันกลับมามองที่พระพักตร์ของพระมเหสี

" ตอนนี้พระองค์กลายเป็นพระราชา ที่แม้แต่สายพระเนตรก็ช่างดู...อันตราย " โจแทซอบที่ครุ่นคิดและพูดสิ่งที่คิดได้อย่างเปิดเผยต่อหน้าพระนาง

พระมเหสีทรงเปลี่ยนสีพระพักตร์ให้ดูสงบและใคร่ครวญตามโจแทซอบอยู่ครู่หนึ่ง

" กาลเวลาของคนโหยหาอำนาจช่าง....น่ากลัวซะเหลือเกิน " พระนางคิดทบทวน

" บ่อยครั้ง "

" อดีตองค์รัชทายาททรงมองหน้าข้าราวกับเศษดินใต้ฝ่าพระบาท แต่ว่า.." พระนางที่ทรงเหมือนจะหวนคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดก่อนหน้าหนี้

" คืนที่พระองค์ตัดสินใจที่จะก่อกบฏ "

" องค์รัชทายาทได้มาหาข้ากลางดึก และทรงพูดสิ่งที่ผิดแผกไปจากนิสัยของพระองค์ว่า.."

" จะทรงทำให้ข้าอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ " พระนางที่ทรงถอดถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและยังหวนนึกถึงคืนนั้นว่า คืนนั้นค่ำคืนที่ท้องฟ้าไร้หมู่ดาวเมฆามีเพียงความดำทะมึนอยู่เหนือเมืองหลวง ความเงียบสงัดภายในประตูพระราชวังและเหล่าทหารราชองครักษ์ที่แทบหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ในเขตพระราชวัง คืนนั้นองค์ชายรัชทายาทรีบเสด็จไปที่ตำหนักของพระชายาโดยมีเพียงท่านแม่ทัพที่เพิ่งกลับมาจากชายแดนได้เพียงไม่กี่ชั่วยามกับบรรดาเหล่าทหารนับร้อยนับพันมาห้อมล้อมเขตพระตำหนักของพระชายา

ครืด... !!

องค์รัชทายาทที่ทรงรีบเปิดประตูพระตำหนักของพระชายาด้วยพระองค์ ในขณะที่พระชายายังคงตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เลวร้ายในพระราชวัง

" พัคซูยอน ! " องค์รัชทายาทที่ทรงรีบร้อนเข้าไปหา แต่ทว่าพระชายาของพระองค์กลับเลือกที่จะถอยร่นไม่ยอมให้พระองค์ทรงเข้าใกล้

" ฝ่าบาท ! " และเสียงสั่นเคลือของพระชายาต่อหน้าพระองค์ แต่ครั้นที่พระชายาจะทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมา องค์รัชทายาทก็กลับมีคำสั่งให้พระชายาและเหล่านางกำนัลสนิทให้พากันรีบออกจากวังไปกับเหล่าทหารของท่านแม่ทัพ

แม้ว่าสายพระเนตรขององค์รัชทายาทจะทรงดูเป็นกังวล แต่ทว่าสายพระเนตรของพระชายาของตนกลับแข็งกร้าวยิ่งหนัก

" เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้ " พระชายาทรงตั้งคำถามแม้ว่าเนื้อตัวจะสั่นเทา และแม้เพียงองค์รัชทายาทจะไม่ยอมสบตาของพระองค์

" ข้ามาที่นี้ เพื่อจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ พัคซูยอน "

" ทั้งหมดที่ข้าทำ ก็เพื่อประเทศชาติ และเจ้า " แต่ว่าหนนี้ องค์รัชทายาทกลับทรงมองพระชายาของตนอย่างลังเล

" ข้าจะนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ และเจ้า "

" จะอยู่เหนือบัลลังก์ของข้า ! แต่ว่า " องค์รัชทายาทที่ทรงพยายามที่จะขยับเข้าหา แม้พระหัตถ์ยังคงต้องคอยกุมเอาไว้เผื่อความเผลอไผล

" ที่ข้าทำไปทั้งหมด ก็เพียงเพราะรักษาชีวิตไพร่ฟ้าของข้าก็เพียงเท่านั้น "

" และเจ้า พัคซูยอน ! " องค์รัชทายาททรงฝืนพระทัยในขณะที่เฝ้ามองพระชายาของตน

" เจ้าอย่าหวังแม้แต่จะคิดว่าจะนั่งอยู่คู่บัลลังก์กับข้าได้ในที่สุด ! "

" รักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ซะ !!! " องค์รัชทายาทที่ทรงเลือกใช้น้ำเสียงที่เย็นชาและดุดันเข้าหาพระชายา

ผืนฟ้าเหนือพระราชวังหลังคืนปราบดาภิเษกอวยยศเถลิงราชย์พระราชาและพระมเหสีพระองค์ใหม่ ฮงซอกดูที่เพิ่งได้รับตำแหน่งแม่ทัพหมาดๆ คืนนั้นเขาได้ออกมายืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ที่พระราชาเพิ่งประทานเป็นของขวัญในวันรับตำแหน่งแม่ทัพของเมืองอย่างเป็นทางการ

ค่ำคืนหนึ่งนางโลมจากชายแดนที่ฮงซอกดูได้พากลับมามาด้วย หล่อนได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชาวเมืองหลวงจริงๆ และกลิ่มหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบหินเบาบางที่ชวนให้แตะปลายจมูกของฮงอซอกดูทำให้ต้องจนหันไปหา

คำกล่าวแรกที่ฮงซอกดูเอ่ยวาจากับหล่อนหลังจากเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงนานแรมเดือน

"จงปฏิบัติตัวของเจ้าให้ดั่งผ้าสะอาด " ฮงซอกดูใช้หางตามองหล่อนแค่เพียงวูบหนึ่งเท่านั้น และคิดเสียว่าจะพึงเดินเลี่ยงกลับเข้าบ้าน

แต่ก็อย่างว่า หล่อนที่พยายามจะสานต่อ

" แม้จักเป็นเพียงคืนเดียวที่เผลอไผล่ไปเพราะฤทธิ์แรงสุราจอกนั้นแล้ว " คำพูดของหล่อนที่ช่างแสนจะกระทบหูของฮงซอกดูจนเขาต้องชะงัก

" เจ้ารู้สึกบอบช้ำ ! " ฮงซอกดูชำเลืองหันมองหล่อนที่มีท่าทีที่มีความหวัง

" กับข้า "

" จริง ๆ หรือเปล่า " ฮงซอกดูเพ่งมองหล่อนสักครู่ และดูท่าทีของหล่อนที่ยังคงเก็บอาการกระหายในตัวของเขาเสียไม่ได้

และอดเสียไม่ได้ที่หล่อนจะเงยหน้าและสบตาฮงซอกดู

" ไม่ว่าคืนนั้น "

" ท่านแม่ทัพจะร้องเรียกหาผู้ใดในยามหลับ "

" แต่...ว่า "

" เพียงขอให้ข้า...ได้อยู่เคียงข้างท่านใกล้ๆ ไม่ว่า..." หล่อนหลบสายตาลง

"ข้าจะเป็นเพียงเศษชิ้นเนื้อที่ท่านอยากจะลองกินบ้างเป็นบางเวลา " แต่แล้วหล่อนที่จำต้องฝืนเงยหน้าขึ้นสบตาของฮงซอกดูอย่างจริงจัง

ฮงซอกดูที่คราวนี้มีสีหน้าตระหนก

" นี่เจ้า !! "

" คิดที่จะลดศักดิ์ศรีเพียงนี้เชียวหรืออย่างไง " เขาที่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หล่อนที่ยังคงยืนยันด้วยสีหน้าและแววตาที่มั่นคงไม่เปลี่ยน

"ความรักของ...ข้า "

" ช่างเรียบง่ายนัก เจ้าค่ะ" หล่อนตอบ

" เหตุใดข้าต้องถามหาเหตุผลของท่านแม่ทัพเล่า "

"ในเมื่อ...ข้ายอมท่านตั้งแต่แรกแล้ว" หล่อนตอบฮงซอกดูที่ยังคงมองดูหล่อนด้วยความสงสารเท่านั้น และเขาก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะเอื้อมมือมาจับเพื่อปลอบประโลม

" จางอูริน ! " ฮงซอกดูถึงกับเอ่ยชื่อนางโลมผู้นั้น !!!