บทที่ 4 - วันที่แสนวุ่นวาย
.
.
วาลเรียสเร่งฝีเท้าผ่านถนนที่เริ่มว่างเปล่า แสงอาทิตย์จากเบื้องบนค่อยๆ อ่อนจางลง เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาที่เป็นเส้นแบ่งของกลางวันและกลางคืน
เด็กหนุ่มหอบหายใจน้อยๆ เมื่อออกแรงวิ่งมาโดยไม่หยุดพัก แต่เมื่อคิดถึงตัวต้นเหตุซึ่งนอนแปะอยู่ที่บ้านด้วยท่าทีหมดสภาพแล้วเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะหยุดพัก มือสั่นๆ เอื้อมไปผลักบานประตูที่ไม่เคยลงกลอนตรงหน้า
ประตูไม้สีเข้มที่มีร่องรอยของการใช้งานมานานเปิดออกตามแรง โคมเรืองแสงที่อยู่ด้านในสว่างขึ้นเมื่อได้รับการกระตุ้น
แสงนวลเผยให้เห็นภายในบ้านหลังเล็กซึ่งมีสภาพใกล้เคียงกับห้องสมุดมากกว่าที่อยู่อาศัย วาลเรียสเดินอ้อมกองหนังสือที่ตนเองขนลงมาเตรียมทำความสะอาดตั้งแต่หลายวันก่อน มุ่งตรงไปยังชั้นหนังสือที่เรียงรายสูงแทบจรดเพดานทันที
"นี่ลายมือเหรอเนี่ย!?"
เด็กหนุ่มโอดครวญเมื่อเห็นตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนกระดาษแผ่นเล็ก กระดาษหน้าตาคล้ายๆ กันนี้พบได้ทั่วไปตามขอบมุมของชั้นไม้สีเข้ม ราวกับทำหน้าที่เป็นตัวนำทางเพื่อช่วยในการค้นหาหนังสือที่ต้องการ
เสียแต่ผู้ที่เขียนมันขึ้นมา คล้ายไม่ใส่ใจว่าคนอื่นจะสามารถอ่านลายมือของตนเองออกหรือไม่
วาลเรียสพยายามแกะลายเส้นซึ่งยึกยือราวกับกองไส้เดือนขดเข้าหากันอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็พอจะพบเบาะแสที่ตนต้องการ
หลังคว้าหนังสือที่น่าจะใช้การได้มาสองสามเล่ม เขาพลิกหน่ึงในนั้นออกอ่านขณะที่หนีบเล่มที่เหลือไว้ในอ้อมแขน สองเท้ามุ่งตรงไปยังร้านขายยาที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
"เดี๋ยวๆๆ รอแป๊บครับคุณหมอ!"
เด็กหนุ่มส่งเสียงนำหน้าไปก่อน อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายชะงักไปด้วยความตกใจ แทรกตัวเองเข้าไปในร้านที่กำลังจะปิดได้อย่างฉิวเฉียด
"บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่หมอ...ใครป่วยเป็นอะไรล่ะ?"
เจ้าของร้านผู้มีสีหน้าทดท้อบ่นกับตนเองเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับคนตรงหน้าอย่างปลงๆ
"จะว่าใครก็...เอ่อ...แบบว่ามีแผลเลือดออกน่ะครับ"
วาลเรียสนึกถึงคนป่วยหน้าขนที่บ้านตนเอง แล้วก็รู้สึกไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไงดีไปชั่วขณะ
"เก็บตัวอะไรมาเลี้ยงอีกแล้ว? หวังว่าจะไม่ใช่ลูกไก่ของข้างบ้าน หรือตัวอะไรแปลกๆ ..."
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาคลางแคลงใจของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มทำได้เพียงหัวเราะกลบเกลื่อน
"บอกอีกรอบเผื่อลืม ร้านฉันขายยาคนไม่ใช่ยาสัตว์ แล้วก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะใช้ได้ผลหรือทำให้มันแย่ลงกว่าเดิม"
ชายวัยกลางคนเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
"ผมเข้าใจครับ แค่อยากขอแบ่งพวกสมุนไพรที่ช่วยห้ามเลือดมาสักหน่อย ผ้าพันแผล แล้วก็เอ่อ..."
เจ้าของร้านขายยาเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านโบกมือไปมาเป็นเชิงตัดบท
"เอาล่ะๆ ! เดี๋ยวจะลองหาดูให้ตามที่ขอ เช็คดูดีๆ แล้วกันว่าไม่มีของแสลงกับเจ้าหนูนั่น ให้ตายสิ..."
เงาของอีกฝ่ายหายไปหลังร้านพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ ตามด้วยเสียงรื้อของอย่างจริงจังผิดกับท่าทีไม่เต็มใจของเจ้าตัว
"ขอบคุณมากครับ!"
วาลเรียสโค้งตัวให้อีกฝ่ายอย่างซาบซึ้ง เขากระเถิบไปใกล้เคาน์เตอร์ไม้ที่กั้นระหว่างส่วนหน้าที่มีไว้รับรองลูกค้า และด้านหลังที่เต็มไปด้วยชั้นวางของซึ่งมีขวดยาวางเรียงราย
เด็กหนุ่มพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็วขณะพยายามค้นหาสิ่งที่ต้องการ แม้จะหยาบและฉาบฉวยไปบ้างเมื่อเขายังไม่รู้แม้แต่สายพันธุ์ที่แน่ชัดของเจ้าตัวเล็ก แต่ก็คงดีกว่าไม่มีข้อมูลอะไรในมือเลย
เจ้าของร้านหอบขวดยาและห่อกระดาษจำนวนหนึ่งกลับมาจากด้านหลัง เขาเหลือบมองท่าทีลุกลี้ลุกลนยามเด็กหนุ่มรีบปิดหนังสือในมือลงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อยยามเห็นรายชื่อพืชสองสามชนิดบนสมุดจดที่ใช้ในร้าน
"ถ้ามีเท่านี้คงจะใช้ยาชุดนี้ได้ วิธีใช้แปะไว้ให้หมดแล้ว แต่ถ้ามีไข้ขึ้นมาให้คอยเช็ดลดความร้อนตรงส่วนที่ไม่มีขนด้วย ยานี่ออกฤทธิ์ช้าแต่เป็นตัวที่อ่อนสุดแล้ว..."
วาลเรียสสะดุ้งน้อยๆ ยามได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าคนที่มองมาด้วยแววตาคมกริบไปเสียอย่างนั้น
เจ้าของร้านผู้สามารถคาดเดาอะไรบางอย่างได้เพียงแค่เห็นรายการสมุนไพรที่ห้ามใช้กับสัตว์สายพันธุ์นั้นๆ กำชับคำอีกยืดยาว ก่อนจะยอมรับเหรียญเงินที่ถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ไม้เพียงครึ่งเดียว
"ไปๆ รีบกลับให้ถึงบ้านก่อนจะมืด ขวดไหนไม่ได้ใช้ก็ค่อยเอามาคืน ส่วนห่อนั้นถ้าพรุ่งนี้ขายไม่ออกก็จะทิ้งอยู่แล้ว..."
เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้ากลับบ้านด้วยความตื้นตันใจ แม้อีกฝ่ายจะบอกปัดว่าไม่ชอบพวกสัตว์หน้าขน แต่ถ้าเจ้าตัวเล็กหายดีเมื่อไหร่ คงต้องพามาขอบคุณที่ร้านสักครั้ง
.
เจ้าลูกหมายังนอนอยู่ที่เดิมเหมือนตอนที่เขาออกไป สองตาปิดสนิทแต่เนื้อตัวกลับสั่นเทา มันขดตัวเข้าหากันจนกลายเป็นก้อนกลมคล้ายกำลังรู้สึกหนาว
วาลเรียสอุทานเบาๆ เมื่ออุณหภูมิที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือนั้นกลับตรงกันข้าม ผิวเนื้อใต้เส้นขนหนานั้นร้อนราวกับผิงไฟมานานเกินไปไม่มีผิด
ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะเป็นไข้เสียแล้ว
ข้าวของที่เพิ่งหอบหิ้วมาถูกวางกระจายไปคนละทิศ เขารีบยกถังน้ำกับผ้ามาแบบด่วนจี๋ ก่อนจะพบว่าคนไข้ของตนไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย
เจ้าหมาคล้ายจะรู้สึกหนาวเข้าไปถึงความฝัน ร่างเล็กๆ จึงดิ้นรนหนีผ้าชุบน้ำที่ค่อนข้างเย็นไปตามสัญชาตญาณ เล่นเอาเด็กหนุ่มปาดเหงื่อไปหลายยกกว่าจะหาทางออกที่ลงตัวได้
วาลเรียสเร่งความร้อนจากเตาผิงเพื่อรักษาความอบอุ่นภายในบ้าน เขาเอาผ้าห่มผืนเก่าห่อตัวลูกหมาเอาไว้จนเกือบมิด เหลือแค่ปลายเท้ากับศีรษะเล็กๆ ที่โผล่ออกมา แล้วค่อยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดลดความร้อนบริเวณอุ้งเท้าและใบหู
เด็กหนุ่มนั่งลงแกะห่อผ้าที่ได้มาจากร้านขายยาเมื่อเจ้าหมาตัวเย็นลงเล็กน้อย หลังไล่อ่านสรรพคุณของตัวยาแต่ละชนิด สุดท้ายก็หยิบใบสมุนไพรสดที่อยู่ในห่อกระดาษขึ้นมา
แม้จะมียาลดไข้แบบน้ำมาด้วย แต่วาลเรียสไม่กล้าเสี่ยงป้อนอะไรเข้าปากลูกหมาที่ยังสลบไม่ได้สติ ตัวเลือกจึงมีเพียงการดูแลบาดแผลภายนอกก่อนเท่านั้น
เขาใช้ช้อนบดสมุนไพรใบอวบสองสามใบในชามเล็กผสมกับน้ำและยาที่ใช้ทาแผลสด หลังกรองเอาแต่ของเหลวสีเขียวหนืดๆ ออกมาได้ชามหนึ่ง จึงค่อยหันไปจัดการกับเจ้าหมาที่ยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่อีกทาง
ก้อนขนสีขมุกขมอมดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังเช็ดตัวไปหลายรอบ วาลเรียสกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าหลายผืนและมีดโกน เขาค่อยๆ โกนขนบริเวณปากแผลออกอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยล้างเศษขนและคราบเลือดที่แห้งติดอยู่ออกด้วยน้ำสะอาด
"ชู่ว อดทนนิดนึงนะครับคนเก่ง ใกล้เสร็จแล้วๆ "
เด็กหนุ่มเอ่ยปลอบเจ้าหมาที่สี่ขาเกร็งสะบัดน้อยๆ คล้ายอยากดิ้นหนี ขณะค่อยๆ ทายาที่เพิ่งเตรียมเสร็จลงบนบาดแผลฉกรรจ์ทั้งสองจุด
กว่าจะพันผ้าพันแผลและเช็ดตัวให้ลูกหมาเรียบร้อย วาลเรียสรู้สึกเหนื่อยยิ่งว่าตอนออกไปทำไร่ครึ่งค่อนวันเสียอีก
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาใช้เท้าเขี่ยผ้าที่ใช้แล้วไปกองรวมกันอย่างส่งเดช กะว่าค่อยให้ตัวเขาในวันพรุ่งนี้เก็บไปซักให้ด้วยก็แล้วกัน
ขณะกำลังคิดว่าจะไปนั่งพักที่โซฟาสักหน่อย เสียงร้องครางผสมกับสำลักไอก็ดังมาจากกองผ้านิ่มๆ
วาลเรียสดีดตัวลุกขึ้นทันที
มองดูเจ้าหมาที่ร้องครางงี้ดๆ สลับกับไอเป็นระยะ เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลองใช้ปลายช้อนแตะน้ำในถ้วย แล้วแตะๆ ลงบนปลายลิ้นสีชมพูที่แลบออกมาจากปากน้อยๆ นั่นเบาๆ
ป้อนน้ำกันด้วยท่าทีทุลักทุเลอยู่นาน ในที่สุดเจ้าหมาที่หายคอแห้งก็เลิกไอ วาลเรียสหันไปหยิบหนังสือที่กองอยู่ข้างๆ ขึ้นมาพลิกดูอีกรอบ
แม้ว่าหน้าตาของลูกสุนัขตรงหน้าจะดูไม่เหมือนภาพที่เขียนอยู่ในคู่มือดูแลสัตว์เลี้ยงเล่มนี้เท่าไหร่ แต่เขาคิดว่ามันก็น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง
อ่านไปได้สองสามหน้า เสียงครวญครางเบาๆ ที่ฟังดูน่าสงสารก็ดังขึ้นอีกครั้ง
วาลเรียสซึ่งเพิ่งได้นั่งพักหายใจโซเซลุกขึ้น ก่อนจะต้องวิ่งวุ่นอีกครั้งหลังเอื้อมไปตรวจสอบก้อนขนที่บิดตัวไปมาอย่างอยู่ไม่สุข
เจ้าลูกหมาตัวร้อนอีกแล้ว!
.
แสงอาทิตย์ส่องผ่านบานหน้าต่าง ทำให้ห้องที่เพิ่งจะมืดลงเพียงไม่นานค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาสีเหลืองอ่อนปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ร่างเล็กๆ พยายามขยับตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง
ลูกหมาสีเทากระดำกระด่างเหลียวมองรอบข้างอย่างหวาดระแวง แม้จะจำไม่ได้ว่าตัวเองสลบไปตอนไหน แต่อย่างไรก็ไม่น่าจะใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมที่มันเห็นอยู่ตอนนี้แน่นอน
กลิ่นฉุนติดจะเหม็นเขียวหน่อยๆ ลอยฟุ้งไปทั่ว รบกวนการดมกลิ่นของมันเสียจนรู้สึกอยากจะจาม แถมดูเหมือนว่าต้นตอของกลิ่นดังกล่าวจะมาจากตัวมันเองเสียด้วย
เจ้าหมาส่งเสียงขู่ในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวจากตรงปลายหางตา ขนสั้นๆ บริเวณหลังคอชี้ตั้งขึ้นด้วยความตื่นตระหนก พยายามกระถดตัวหนีไปอีกด้านของโต๊ะโดยลากเอาทั้งผ้าพันแผลและผ้าที่ปูรองอยู่ใต้ตัวของมันไปด้วย
"ตื่นแล้วเหรอเจ้าหนู…ระวัง!"
วาลเรียสที่เพิ่งสะลึมสะลือตื่นขึ้นสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าก้อนขนที่เก็บมาไถตัวเองไปจนเกือบสุดขอบโต๊ะ สองมือที่ยื่นออกไปหมายจะคว้าจับชะงักอยู่กลางทาง เมื่อได้ยินเสียงขู่คำรามอย่างดุร้ายไม่เข้ากับขนาดตัวของอีกฝ่าย
"เอ้าๆ ใจเย็นๆ กลับมานอนคุยกันดีๆ ก่อน"
เด็กหนุ่มค่อนข้างแน่ใจว่าเจ้าหมาน่าจะยังเดินหรือกระโดดไม่ได้ในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มีผ้าพันแผลที่เขาพันไว้อย่างสุดฝีมือ(มั่วๆ ซั่วๆ )ติดอยู่บนร่าง เลยทำใจกล้ายื่นมือไปดึงชายผ้าปู ลากลูกหมาที่พยายามดิ้นหนีกลับมาไว้กลางโต๊ะ ก่อนจะถอยไปสองสามก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง
ต่อหน้าลูกสุนัขที่แยกเขี้ยวพองขนใส่ด้วยท่าทีหวาดระแวงสุดๆ วาลเรียสเก็บอาการอยากขยำขนนิ่มๆ พวกนั้นกลับลงลิ้นชักไปก่อน ขณะออกปากเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวเล็กที่พยายามพองขนจนดูฟูไปทั้งตัวทั้งที่ยังบาดเจ็บ
"ผมไปเจอนายนอนสลบอยู่ตรงชายป่า เลยอยากจะช่วยทำแผลให้เฉยๆ ไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีนะ!"
หลังพูดหว่านล้อมอยู่พักใหญ่ วาลเรียสที่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเจ้าหมาตัวนี้มากนัก ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมหมอบลงช้าๆ แม้ว่าจะยังคงความระแวดระวังไว้เต็มเปี่ยมก็ตาม
ไม่รู้ว่าลูกหมาตัวนี้ฉลาดมาก หรือแค่เหนื่อยเกินกว่าจะหาทางหลบหนีจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วกันแน่
เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินไปในเขตห้องครัวอย่างช้าๆ โดยมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตามไป เขารินนมสดที่พอจะมีเหลืออยู่ในบ้านให้ตัวเองกับเจ้าตัวเล็กคนละถ้วย ตามด้วยน้ำเปล่า
วาลเรียสวางถ้วยก้นแบนเอาไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ก่อนจะรีบออกไปรดน้ำผักที่ปลูกไว้เมื่อเห็นว่าวันนี้เผลอตื่นสายกว่าทุกครั้ง
นอกจากรดน้ำแล้วยังต้องตักน้ำไปชดเชยส่วนที่ใช้หมดอย่างรวดเร็วเมื่อคืนก่อนด้วย เด็กหนุ่มชาวไร่ก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างบ่อน้ำจนหยาดเหงื่อซึมชื้น แอบมองลูกหมาที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังผ่านบานหน้าต่าง
หลังตั้งท่าหวาดระแวงอยู่ครึ่งค่อนวัน เจ้าลูกหมาที่เริ่มคอแห้งก็ยื่นคอไปดมๆ ถ้วยที่ถูกทิ้งไว้ให้ด้วยท่าทีไม่แน่ใจ
มันเมินถ้วยที่ใส่นมไว้แทบจะทันที หลังดื่มน้ำจนพร่องไปเล็กน้อย ก้อนขนสีเทากระดำกระด่างก็กระถดตัวกลับไปนอนที่เดิม
วาลเรียสขมวดคิ้วเล็กน้อย ขนาดเขาที่ไม่ได้กินมื้อเช้ายังเริ่มหิวขึ้นมาหน่อยๆ แล้วเจ้าลูกหมาบาดเจ็บที่ไม่รู้ว่าได้กินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มาถึงตอนนี้จะไม่รู้สึกหิวได้ยังไง?