บทที่ 6 - ภารกิจ :
.
.
วาลเรียสรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกตะกุยอย่างไม่เบาแรงนัก
"เอ๊ะ? โอย…"
เด็กหนุ่มส่งเสียงในลำคอเบาๆ ขณะยันตัวลุกขึ้น ศีรษะที่ยังปวดหนึบถูกหลงลืมไปชั่วคราวเมื่อเห็นสิ่งที่นั่งอยู่บนตักตนได้ถนัดตา
"ว่าไงครับ? หิวแล้วเหรอเจ้าตัวแสบ"
ลูกสุนัขสีเทาดำซึ่งปีนขึ้นมานั่งบนตัวคนอื่นอย่างถือสิทธิ์เชิดปลายจมูกขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่
ผ้าพันแผลซึ่งเคยพันทบอยู่บนตัวหลุดหล่นจากตำแหน่งที่ควรจะเป็น ลากยาวตั้งแต่ใต้โต๊ะที่เคยนอนอยู่มาจนถึงโซฟา ผ้าที่เคยปูไว้รองนอนก็ประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างกันนัก
ดวงตาสีเหลืองอ่อนเงยขึ้นมองเด็กหนุ่มซึ่งมีสีหน้าราวกับคนนอนไม่เต็มอิ่ม มันหรี่ตาลงน้อยๆ ก่อนจะยอมอยู่นิ่งๆ เงยหน้ารับฝ่ามือที่ถูกส่งมาตรงข้างลำคอราวกับจะหยั่งเชิง
วาลเรียสขยับนิ้วเกาเจ้าลูกหมาเบาๆ แปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาอีกแล้ว
คงจะมาอ้อนขออาหารละมั้ง?
เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นโดยอุ้มลูกสุนัขเอาไว้ เขาปล่อยมันลงในกองผ้าที่อีกฝ่ายยึดเป็นที่นอนของตัวเอง ก่อนจะเดินไปยังห้องครัวอีกครั้งทั้งที่ในหัวยังรู้สึกวิงเวียนนิดๆ
ดวงตาสีเขียวสะท้อนแสงแดดยามบ่ายแก่ซึ่งเริ่มผ่อนความร้อนแรงลง เวลาคล้ายจะผ่านไปเพียงไม่นานนัก แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้วก็ไม่รู้
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขจดจ่อกับอาหารง่ายๆ ตรงหน้าจนแทบไม่สนใจจะมองดูกัน เจ้าก้อนขนมุดหน้าลงไปในชามขณะที่ประกายบางอย่างวาบผ่านแววตา
ถึงจะฉลาดแสนรู้เพียงใดมันก็เป็นเพียงลูกสัตว์ตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่อาจบอกเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้ว่า อีกฝ่ายหมดสติไปถึงหนึ่งวันเต็ม
"เอ้า เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว"
วาลเรียสลูบหัวเล็กๆ อย่างเบามือ ขนอ่อนและใบหูนุ่มนิ่มนั้นให้สัมผัสที่ดีจนเขาเกือบจะเคลิ้มไปวูบหนึ่ง
อันที่จริง การที่เจ้าหมาซึ่งต่อต้านการเช็ดตัวทำแผลแม้แต่ในตอนที่สลบไม่ได้สติเปลี่ยนท่าทีเป็นว่าง่ายขนาดนี้ เขาก็ชักรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตื่นดีอย่างไรชอบกล
ระหว่างที่เขานอนหลับไป มีใครมาแอบเปลี่ยนเจ้าก้อนขนที่น่ารักว่าง่ายมาวางแทนตัวเดิมหรือยังไง?
ในห้องนอนมีของที่แตกหักง่ายแถมยังไม่ได้จัดเรียงดีๆ เก็บอยู่เต็มไปหมด วาลเรียสไม่กล้าพาลูกสุนัขเข้าไปนอนด้วยในห้อง ดังนั้นจึงลงเอยที่การนอนบนโซฟาอีกคืนหนึ่ง
เด็กหนุ่มลูบหัวลูบหางเจ้าหมาที่ยืนนิ่งราวกับเชื่องมือคนมาหลายปีด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เขาคิดว่ามันจะยอมมานอนข้างๆ ด้วยซ้ำ จนรู้สึกเหมือนอกหักหน่อยๆ ยามเจ้าตัวเล็กคาบผ้าปูตรงไปยังมุมหนึ่งของบ้าน
"ไม่ขึ้นมาตรงนี้จริงๆ เหรอ เบาะนิ่มนะ? ผมนอนไม่ดิ้นด้วย…"
วาลเรียสต่อรองกับเจ้าหมาที่ตะแคงหันก้นให้อย่างไม่ไยดี ท่าทางราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะนอนตรงนี้ไม่ขยับไปไหนทั้งนั้น
ดวงตาสีเขียวทอประกายขบขันบางเบา เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอนบ้างแม้จะรู้สึกไม่ง่วงเท่าไหร่ แอบอมยิ้มอยู่เงียบๆ คนเดียวท่ามกลางความมืดที่เริ่มปกคลุมในยามราตรี
เจ้าก้อนขนน่ารักขนาดนี้ จะเป็น 'สัตว์อสูรดุร้าย' ได้ยังไงกัน?
.
"แดดร้อนเกินไปเหรอเนี่ย…"
เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเองขณะเดินสำรวจไร่ยามเช้า ใบผักอ่อนบางส่วนดูแห้งเหี่ยวอย่างไรชอบกล สองมือก็ขยับรดน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติด้วยสีหน้าพิศวง
วาลเรียสเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่เริ่มลอยขึ้นสูงบนท้องฟ้าสีคราม หลังใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการดูแลพืชผัก เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปในหมู่บ้านสักหน่อย
นอกจากไปรับภารกิจเล็กๆ น้อยๆ จากชาวบ้านแล้ว เขายังต้องเอายาที่ใช้ไม่หมดไปคืนที่ร้าน แวะไปยืมหนังสือเพิ่มอีกเล่มสองเล่ม แล้วก็…ซื้ออาหารกลับมาเผื่อเจ้าหมาที่กินเก่งยิ่งกว่าตัวเองด้วย
ลูกสุนัขเริ่มเดินไปมาในบ้านเองได้แล้ว แม้จะต้องลากขาข้างที่บาดเจ็บไปด้วยช้าๆ แต่ก็ดูดีกว่าวันแรกที่เจอกันมากโข
เด็กหนุ่มก้มมองเจ้าหมาที่เริ่มสำรวจโน่นนี่ไปทั่วอย่างไม่แน่ใจนัก โดยเฉพาะตอนที่มันเริ่มยื่นจมูกไปดมกองของที่วางระเกะระกะอยู่รอบโซฟาตัวยาว
"อยู่บ้านตัวเดียวอย่าซนนะ!"
วาลเรียสพะวักพะวงอยู่นานก่อนจะยอมก้าวออกจากบ้านด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก แม้ว่าจะไม่อยากปล่อยเจ้าก้อนขนอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่มีตัวเลือกให้มากนัก
มือหนึ่งกระชับห่อผ้าที่สะพายอยู่บนบ่าขณะเดินไปบนถนนสายเล็ก ตอนนี้เขาทำได้เพียงรีบจัดการธุระทุกอย่างแล้วกลับมาให้เร็วที่สุดเท่านั้น!
หวังว่าข้าวของในบ้านคงจะไม่เละเทะจนเกินไปตอนที่เขากลับมา…
.
"ขอบคุณมากครับ! ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อน…"
เด็กหนุ่มก้มศีรษะขอบคุณเมื่อเหรียญเงินที่เป็นรางวัลจากภารกิจครั้งนี้ถูกส่งเข้ามาในบัญชีของตน เขาเกือบจะลืมคืนผ้ากันเปื้อนและถุงมือที่ใช้ในการทำความสะอาดครั้งนี้แล้วหากผู้เป็นเจ้าของร้านไม่ทักขึ้นมาก่อน
"จะรีบร้อนไปไหนเนี่ย? คราวนี้เก็บลูกนกมาเลี้ยงอีกแล้วเหรอ?"
เจ้าของร้านรับส่งจดหมายเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"อ่าฮะๆ ก็ทำนองนั้นละครับ…"
วาลเรียสซึ่งแอบสะดุ้งน้อยๆ หัวเราะกลบเกลื่อน
"ถ้ามันโตแล้วก็…อ่า ช่างเถอะๆ ! ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน"
ชายวัยกลางคนยักไหล่เบาๆ ขณะจัดเรียงกรงนกที่ขัดสะอาดแล้วให้เป็นระเบียบ เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงขอตัวจากมาด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนหน่อยๆ
วาลเรียสซึ่งเพิ่งดีใจกับยอดเงินที่เพิ่งได้รับมา แทบจะรู้สึกห่อเหี่ยวลงในพริบตายามต้องจ่ายค่าอาหารซึ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"นี่เก็บตัวอะไรมาเลี้ยงอีกล่ะ? ไม่ยอมเข็ดเลยสินะคนเรา…"
คนเป็นแม่ค้าเอ่ยปากหยอกล้อเด็กหนุ่มซึ่งมาซื้อของเยอะกว่าปกติเกือบสองเท่า ก่อนจะเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ยามเห็นสีหน้าที่แทบหดเหลือสองนิ้วของอีกฝ่าย
"มีส่วนที่ไม่สวยอยู่นิดหน่อย แถมให้ก็แล้วกัน อย่าลืมพาเจ้าตัวเล็กมาอวดบ้างล่ะ!"
หญิงวัยกลางคนขิยบตาด้วยท่าทีขี้เล่นขณะโกยเอาเศษเนื้อข้างเขียงใส่ถุง สุดท้ายยังห่อกระดูกที่เลาะเนื้อออกจนเกือบหมดแล้วให้อีกชิ้นใหญ่
วาลเรียสเดินกลับบ้านโดยหอบของพะรุงพะรังรอบตัว ในใจอุ่นวาบยามสัมผัสถึงน้ำใจและความปรารถนาดีที่เหล่าชาวบ้านมีต่อตน จนแอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมานิดหน่อย
ก่อนหน้านี้เขาเคยเก็บสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยมาดูแลอยู่หลายตัว เจ้าก้อนขนเหล่านั้นถ้าไม่ซนเกินไปก็พยศเกินไป จนชาวบ้านเลเวล 0 ซ้ำยังไร้สกิลฝึกสัตว์อย่างเขาเอาไม่อยู่ สุดท้ายก็ต้องปล่อยหรือยกให้คนอื่นเลี้ยงต่อ
เรื่องที่เขาเก็บเจ้าตัวเล็กไว้ในบ้านแตกออกมาเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่รู้คนอื่นจะว่าอย่างไรหากรู้ว่าคราวนี้ เขากำลังเลี้ยงลูกหมาที่อาจจะเติบโตไปเป็นสัตว์อสูรในอนาคตเอาไว้ตัวหนึ่ง
.
สภาพในบ้านที่เรียบร้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้วาลเรียสรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาสีเขียวกวาดมองรอบห้อง ก่อนจะจับจ้องไปยังเจ้าหมาที่นอนกระดิกหางน้อยๆ ราวกับกำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่
"เก่งมากครับเจ้าตัวเล็ก เดี๋ยววันนี้มีของอร่อยให้กินนะ"
เด็กหนุ่มก้มลงลูบหัวเจ้าก้อนขนอย่างปลื้มใจ ก่อนจะตรงเข้าครัวไปจัดการมื้อเย็นทันที
กระดูกชิ้นใหญ่ถูกต้มในหม้อก่อนเป็นอันดับแรก วาลเรียสจัดการลวกน้ำทิ้งหนึ่งรอบก่อนจะปิดฝาเคี่ยวน้ำแกงด้วยไฟอ่อน เขาหันไปผัดหัวมันที่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำในกระทะ ใส่ทั้งผักแห้งและผักสดเพิ่มไปอีกนิดหน่อยก่อนจะยกลงจากเตา
หม้อใบเล็กถูกยกขึ้นวางข้างกัน เด็กหนุ่มหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไป หลังเคี่ยวรวมกับน้ำต้มกระดูกที่แบ่งมานิดหน่อยจนเนื้อเริ่มเปื่อยดีแล้ว เขายังตอกไข่ใส่ลงไปอีกหนึ่งฟองก่อนจะยกลงจากเตา
วาลเรียสตักแบ่งส่วนของลูกหมาออกมาใส่ชาม ก่อนจะยุ่งอยู่กับการปรุงรสเนื้อตุ๋นส่วนของตัวเอง แม้ว่าการใส่เครื่องปรุงลงไปทีหลังจะทำให้รสชาติไม่เข้าเนื้อดีนัก แต่ถ้าต้องแยกทำทีละหม้อก็กลัวว่าเจ้าก้อนขนจะรอไม่ไหวเสียก่อน
"งี้ด"
ลูกสุนัขสีเทาดำส่งเสียงมาจากใต้โต๊ะ มันมีท่าทีกระวนกระวายมาตั้งแต่เริ่มเคี่ยวน้ำต้มกระดูกแล้ว ยิ่งตอนนี้กลิ่นหอมของเนื้อลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน น้ำลายเลยแทบจะไหลหยดลงมาจากมุมปากอยู่รอมร่อ
"ใจเย็นๆ ผมไม่แย่งนายกินหรอกน่า…"
เสียงของเด็กหนุ่มแทบจะลอยไม่เข้าหูเจ้าหมาที่ก้มลงกินแบบไม่ลืมหูลืมตา
แม้จะเปื่อยไปนิดแต่รสชาติของเนื้อที่กระจายไปทั่วโพรงปากนั้นให้ความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ น้ำเคี่ยวกระดูกที่ใช้ต้มยิ่งทำให้รสชาติเข้มข้นถึงใจมากขึ้น เมื่อรวมกับไข่แดงนุ่มนิ่มหอมมันที่ลวกสุกกำลังดีด้านบนแล้ว ยิ่งทำให้เจ้าลูกหมาตื่นเต้นจนแทบจะกลืนลิ้นของตัวเองลงไปด้วย
มื้อนั้นจบลงที่ลูกสุนัขนอนแผ่หราอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข หน้าท้องเล็กๆ คล้ายจะป่องขึ้นมานิดหน่อย จนคนที่มองอยู่ด้านข้างเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
"นี่กินเยอะเกินไปหรือเปล่าเนี่ย คราวหน้าลดสักหน่อย…"
"ฮื่อ!"
วาลเรียสอึ้งมองลูกหมาซึ่งส่งเสียงประท้วงขึ้นมาทันควันราวกับฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
"แน่นอนว่าไม่ปล่อยให้นายอด! แต่กินมากไประวังจะท้องแตกเอานา"
เด็กหนุ่มยื่นนิ้วไปจิ้มพุงน้อยๆ ได้สองสามทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพลิกตัวหนี ปล่อยให้มนุษย์เพียงคนเดียวยืนอมยิ้ม
สัมผัสนุ่มนิ่มแบบนี้ดีกว่าซี่โครงผอมแห้งเป็นไหนๆ !
วาลเรียสซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการทำงานชูมือขึ้นฟ้า ไม่ว่ายังไงเขาก็จะขุนเจ้าลูกหมาผอมแห้งให้กลายเป็นก้อนขนฟูฟ่องให้ได้!
.
แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เด็กหนุ่มเอนหลังอยู่บนโซฟายาวพร้อมกับหนังสือตั้งใหม่ มือพลิกหน้ากระดาษไปทีละแผ่นอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับเรื่องราวที่ร้อยเรียงขึ้นจากตัวอักษร
วาลเรียสใช้เวลาช่วงเย็นไปกับการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ เช่นเดียวกับเจ้าลูกหมาที่ขดตัวนอนอยู่ข้างๆ เมื่อครู่
สัมผัสของก้อนขนซึ่งเข้ามานอนซุกอยู่ข้างๆ ด้วยตัวเองนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มอยากจะหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ แต่เมื่อเจ้าลูกหมาผล็อยหลับไป เขาก็ต้องตัดใจอุ้มเจ้าตัวเล็กที่หลับไม่รู้เรื่องกลับไปนอนตรงกองผ้าของมัน
ลูกหมาตัวเล็กขดตัวนอนอยู่บนผืนผ้านิ่ม วาลเรียสนั่งมองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะผละจากมา
ดวงตาสีเขียวสะท้อนเงาสีแดงอยู่ครึ่งหนึ่ง หน้าต่างสถานะซึ่งมองเห็นเฉพาะผู้เป็นเจ้าของกางอยู่ข้างตัวแทบจะตลอดเวลา เช่นเดียวกับภารกิจด่วนพิเศษซึ่งกะพริบไหวอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะลองกดปุ่มยกเลิกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม
วาลเรียสนั่งลงอ่านหนังสือต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองเมินภารกิจแสนสำคัญจากระบบไปอย่างไม่ไยดี
แม้เด็กหนุ่มจะมีท่าทีสงบนิ่งเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น
เสียงที่ให้ความรู้สึกหยาบกระด้างแทรกแทงเข้ามาในการรับรู้ของวาลเรียสอีกครั้ง
"...ปรับเพิ่มรางวัลครั้งที่สิบสอง สำหรับภารกิจ : กำจัด 'ตัวอ่อนของสัตว์อสูรที่บาดเจ็บ' ในเขตหมู่บ้าน ก่อนที่มันจะเติบโตไปเป็น 'สัตว์อสูรดุร้าย' ผู้ถูกเลือกโปรดกดยืนยันเพื่อรับภารกิจ…"
หลังศีรษะเริ่มรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เด็กหนุ่มสูดลมหายใจรวบรวมความคิดที่กระเจิดกระเจิง เอ่ยถามตัวตนที่อยู่เหนือความเข้าใจทั้งปวงอย่างบ้าบิ่น
"ทำไมถึงต้องฆ่ามันด้วยล่ะครับ?"