บทที่ 10 - ผู้มาเยือนที่หน้าประตู
.
.
"ฟิลัน!?"
ดวงตาสีเขียวสะท้อนภาพลานบ้านซึ่งเต็มไปด้วยฝูงไก่ที่กำลังแตกตื่น วาลเรียสตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเจ้าลูกหมาที่แทบจะถูกฝังอยู่ท่ามกลางเส้นขนที่ปลิวว่อน
"มันกัดไก่แล้ว! หมาป่ากัดไก่ตายหมดแล้ว!"
เสียงตะโกนที่แฝงไว้ด้วยเจตนาชั่วร้ายดังขึ้น เมื่อชายฉกรรจ์ถลันเข้ามาชิดแนวรั้วได้ ท่อนไม้ในมือก็ยกขึ้นฟาดมั่วซั่วไปหมด เสียงกรีดร้องของแม่ไก่และเสียงคำรามของลูกสุนัขดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
"หยุดนะ!"
เด็กหนุ่มใจหายวาบเมื่อเห็นการกระทำของคนตรงหน้า ความโกรธแล่นขึ้นเป็นริ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มสมใจฉีกขึ้นบนมุมปากของชายที่เพิ่งมีเรื่องกระทบกระทั่งกันไปในคืนนั้น
วาลเรียสถลันเข้าไปขวางหน้าพวกก้อนขนที่แตกกระเจิงด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่ทันคิด ท่อนไม้ฟาดลงบนตัวของเขาหลายครั้ง แม้จะไม่ได้ใช้สกิลเสริมพลังแต่ก็ทำให้เจ็บปวดให้ไม่น้อย
"กรร!"
ฟิลันขู่คำรามยามเห็นเด็กหนุ่มถูกทำร้าย เจ้าลูกหมาตะกุยตะกายจะเข้าไปจัดการชายที่เข้ามาหาเรื่องกันถึงถิ่น แต่กลับโดนขวางไว้ด้วยฝูงไก่ที่วิ่งเตลิดไปมาทุกทิศทาง จนลูกสุนัขแทบจะจมหายไปในฝูงแม่ไก่สูงท่วมหัวซึ่งกำลังเสียขวัญ
"เกิดอะไรขึ้น!?"
"กรี๊ดด!!"
"หลีกไป!"
เหล่าชาวบ้านที่ตามเสียงเอะอะมาอีกครั้งล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ โดยเฉพาะกับหญิงเจ้าของฝูงไก่ซึ่งอาศัยอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก นางถลันเข้ามาทันทีด้วยสีหน้าไม่น่ามอง
"ไปให้พ้นนะ! เจ้าตัวน่ารังเกียจนี่!"
หญิงวัยกลางคนถกกระโปรงวิ่งมาอย่างรวดเร็ว มือคว้าพลั่วยาวที่พิงอยู่ด้านข้างได้ก็ตวัดฟาดไปทันที เฉียดหางเจ้าลูกหมาที่กำลังตะเกียกตะกายออกมาจากฝูงไก่ไปเพียงนิดเดียว
"อย่าตีมันนะครับ!"
วาลเรียสพุ่งเข้าไปแย่งพลั่วด้ามยาวจากมืออีกฝ่าย ในจังหวะเดียวกับที่ลูกสุนัขดิ้นหลุดออกมาได้ในสภาพกระเซอะกระเซิง ขนไก่ติดเต็มตัวราวกับเพิ่งผ่านการฟัดเหล่าแม่ไก่มาอย่างถึงใจ
"จะรอให้ไก่ฉันตายหมดก่อนรึไง!? ปล่อยนะ!"
ต่อหน้าหญิงซึ่งกำลังกรีดร้องอย่างเสียขวัญแต่เรี่ยวแรงกลับไม่ผ่อนลงแม้แต่น้อย ยื้อยุดกันไปมาอยู่นาน จนต้องอาศัยเพื่อนบ้านเข้ามาช่วยแยกอีกฝ่ายออกไป
"เข้าบ้านไปก่อน ไป!"
เขาหันไปตะโกนบอกเจ้าลูกหมาซึ่งมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ฟิลันจะกระโจนผ่านบานประตูที่เปิดอ้าอยู่อย่างรู้ความ
วุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ กว่าฝูงไก่ที่กำลังแตกตื่นจะกลับเข้าสู่ความสงบ
มองดูแม่ไก่ที่ยืนเบียดกันขาสั่น ขนสีเปรอะหลุดกระจายไปทั่วลานบ้าน สีหน้าของหญิงวัยกลางคนยิ่งดูก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นทุกที
"ไอ้หมานั่นกระโดดเข้ามาก่อน! เห็นฝูงไก่เยอะแยะขนาดนี้สันดานบ้าเลือดมันเลยโผล่น่ะสิ!"
ชายฉกรรจ์โพล่งขึ้นก่อนด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่วาลเรียสกลับเห็นประกายของความพึงพอใจแฝงอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย
"ขอโทษ? ทุกคนก็เห็นว่าเมื่อกี้ไก่วิ่งอยู่เต็มลานบ้าน ใน-เขต-รั้ว-บ้าน-ของ-ผม…ผมต้องถามมากกว่าว่าคุณต้อนไก่ยังไง ให้หลุดเข้ามาในบ้านคนอื่นเขาทั้งฝูง?"
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองคนที่รับงานต้อนไก่ ซ้ำยังเลือกต้อนแม่ไก่ตัวอ้วนพีทั้งฝูงผ่านหน้าบ้านของเขา ในช่วงเวลาที่ฟิลันออกไปวิ่งเล่นด้านนอกได้อย่างแม่นยำอีก
ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญ!
"ก็ไอ้หมาตัวนั้นมันทำให้ไก่ตื่นกันไปหมด! ทั้งที่ฉันต้อนมาได้ดีๆ ตลอดทาง ถ้าไม่มีหมาป่าอยู่ในหมู่บ้านมันจะวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง!?"
"กล่าวหากันนี่!? หมาบ้านผมเชื่อฟังมาก ถ้าผมสั่งซ้ายไม่มีทางไปขวา คุณลองเบิกตาดูสิว่ามีไก่โดนกัดจริงๆ สักครึ่งตัวมั้ย…"
วาลเรียสเถียงกลับอย่างดุเดือด ก่อนจะโดนขัดโดยเสียงตวาดของหญิงเจ้าของไก่
"เงียบซะ! ถึงจะไม่โดนกัดก็จริง แต่แม่ไก่ฉันทั้งช้ำทั้งเสียขวัญไปหมด พวกนายจะรับผิดชอบยังไง?"
หญิงวัยกลางคนเงยขึ้นมองคู่กรณีทั้งสองคน หลังจากตรวจสอบฝูงไก่ของตนเองครบทุกตัว
แม้จะไม่มีแผลเลือดสาดกระจายจากคมเขี้ยวหมาป่าอย่างที่นางหวาดหวั่น แต่ดูจากอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ และท่าทีตื่นกลัวของพวกมันแล้ว แม่ไก่เหล่านี้คงจะไม่วางไข่ไปสักพัก
"ถามไอ้เด็กนี่สิ! ดันเก็บตัวกระหายเลือดแบบนี้เอาไว้ในบ้าน…"
"ว่าไงนะ!? คุณต่างหากที่ทำภารกิจล้มเหลวเองแล้วมาพาลโทษคนอื่น…"
"เงียบ!"
เจ้าของไก่กรีดเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง รอบข้างเงียบกริบไม่เว้นแม้แต่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูอยู่ด้านหลัง
หญิงวัยกลางคนซึ่งเหลืออดกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยกนิ้วชี้กราดไปทีละคนอย่างไม่ไว้หน้า
"นายทำภารกิจล้มเหลว! ฉันจะปรับเงินจากนายสองเท่าจากค่าตอบแทนที่เราตกลงกันไว้ แล้วหลังจากนี้ไม่ต้องเสนอหน้ามารับเควสอะไรจากฉันอีก!"
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่กลับไม่เอ่ยคัดค้าน เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่แท้จริง เท่ากับเข้าไปใกล้รางวัล 200 เหรียญเงินอีกก้าว ค่าปรับเล็กน้อยเท่านี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
"ส่วนนาย! ไม่ว่ายังไงหมาตัวนั้นก็ทำให้ไก่ตกใจจริงๆ ฉันจะเรียกค่าเสียหายเท่ากับค่าปรับจากภารกิจ!"
วาลเรียสเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่อีกฝ่ายเรียกร้องมา
"แต่นี่มันมากเกินไป…"
"ไม่มีแต่! ถ้าเลี้ยงแล้วไม่มีปัญญาคุม ก็เอาหมาป่าตัวนั้นไสหัวออกไปจากหมู่บ้านซะ!"
.
เด็กหนุ่มถอนหายใจใส่ชามซุปที่มีแต่ผักของตนเองด้วยท่าทีเซื่องซึม โดยมีลูกหมายืนหูลู่หางตกยืนอยู่ข้างๆ
"ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ความผิดของฟิลันสักหน่อย จริงไหมครับ?"
วาลเรียสก้มลงลูบหัวเจ้าก้อนขนซึ่งมีท่าทีสลดหดหู่อย่างเห็นได้ชัด ถือโอกาสตรวจสอบดูอีกทีว่าลูกสุนัขของตนบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
"ไม่ได้โดนหมอนั่นฟาดเอาใช่ไหม? จริงๆ เลย ไม่รู้ทำไมถึงมาหาเรื่องกันไม่ยอมเลิก…"
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำขณะไล่ปลายนิ้วผ่านกลุ่มขนสีเทาดำ เมื่อเหลือบไปเห็นรอยช้ำบนท่อนแขนของอีกฝ่าย ฟิลันพลันแยกเขี้ยวน้อยๆ อย่างไม่สบอารมณ์
"ผมก็ประมาทเกินไปเหมือนกัน หลังจากนี้คงต้องระวังตัวมากขึ้น…"
วาลเรียสสบเข้ากับดวงตาสีเหลืองอ่อนซึ่งเงยขึ้นมอง เขาคลี่ยิ้มให้เจ้าลูกหมาที่แสนน่ารักของตนเอง
"เรามาพยายามไปด้วยกันเถอะ นะ?"
หลังจากวันนั้น ท่าทีของชาวบ้านก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หากไม่หลีกหนีหายหน้าไปเลย บางคนก็เพียรเข้ามาพูดคุยกับวาลเรียสเสียยืดยาว แต่จับใจความได้เพียงว่าเมื่อไหร่จะเอาลูกสุนัขที่หายดีแล้วออกไปจากเขตหมู่บ้านเสียที
"มันยังไม่หายสนิทดีเลยครับ อาจจะเป็นในป่าลึกๆ หน่อย ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ…"
เด็กหนุ่มพยายามหลบเลี่ยงเพื่อประวิงเวลาออกไป แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่เขากลับรู้สึกเคยชินที่จะมีเจ้าลูกหมาตัวนี้อยู่ในชีวิตเสียแล้ว
บ้านหลังเล็กที่ไม่เคยรู้สึกว่ากว้างเกินไป ตอนนี้เขากลับนึกภาพตอนที่ไม่มีลูกสุนัขสีเทายืนรออยู่ด้านหลังบานประตูไม่ออก
แม้แต่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามยังเดินมาพูดคุยอยู่หลายครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ต่อหน้าครอบครัวซึ่งมีเด็กเล็กอยู่ในบ้าน วาลเรียสเข้าใจความกังวลของพวกเขาดี
ท่ามกลางข่าวลือที่ถูกใส่สีตีไข่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ฟิลันแทบจะกลายเป็นหมาป่าดุร้ายกระหายเลือดตัวหนึ่งไปแล้ว เหลือแค่ยังไม่ได้ย่องเข้าไปขย้ำผู้คนในบ้านในยามดึกดื่นเท่านั้น
ทางฝั่งลูกสุนัขนั้นพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมว่าง่ายที่สุด ตอนนี้มันไม่กลัวว่าวาลเรียสจะหันมาทุบตีหรือทอดทิ้งตนเองแล้ว แต่ตัวมันกลับพาปัญหามาให้อีกฝ่ายแทนเสียอย่างนั้น
เจ้าลูกหมานอนหมอบอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาสีเหลืองสะท้อนภาพของคนที่เผลอนอนหลับไปบนโซฟาทั้งที่ยังมีหน้งสือเปิดค้างอยู่บนตัก
ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
ขณะที่หนึ่งคนหนึ่งสุนัขต่างตกอยู่ในความคิดของตน อีกด้านหนึ่ง เหล่าชาวบ้านที่กังวลใจกับเรื่องดังกล่าวก็รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
"ต้องเกลี้ยกล่อมยังไงดีถึงจะยอมเอาหมาป่านั่นไปทิ้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ…"
"ปกติเจ้าหนูนั่นก็เก็บสัตว์ตัวนู้นตัวนี้มาเลี้ยงไปเรื่อยอยู่แล้ว เดี๋ยวเลิกเห่อก็ปล่อยไปเอง…"
"เมื่อไหร่ล่ะ? ถึงจะตัวเล็กแต่ก็เป็นหมาป่า แน่ใจได้ยังไงว่าจู่ๆ มันจะไม่ลุกขึ้นมาไล่กัดคนในหมู่บ้าน?"
"คิดมากไปรึเปล่า…"
"ที่บ้านไม่มีสัตว์เลี้ยงกับเด็กเล็กก็พูดได้สิ! คราวก่อนไก่ฝูงนั้น…"
"น่ากลัวเกินไป จับไปปล่อยไกลๆ เถอะ"
"แล้วใครจะเป็นคนเข้าไปจับ…"
หลังการพูดคุยครั้งนั้น ไม่กี่วันต่อมา นายพรานคนหนึ่งก็ถูกเชิญมาที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้
ชายในชุดขอบหนังทะมัดทะแมงสะพายสัมภาระไว่บนบ่า เดินทอดน่องไปตามถนนที่ไม่มีแม้แต่แมวสักตัวด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
"หมาป่า?"
คนต่างเมืองเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขายังไม่เคยเจอหมู่บ้านที่เงียบสงบขนาดนี้มาก่อน พอได้ยินเนื้อหาของภารกิจเข้าจึงช่วยไม่ได้ที่จะคลางแคลงใจ
นายพรานนั่งฟังเหล่าชาวบ้านที่แย่งกันพูดด้วยสีหน้าแตกตื่นพลางยกมือขึ้นลูบคาง แม้จะแอบคิดว่าคราวนี้ตนโดนหลอกมาจับหมาขี้เรื้อนผอมแห้งสักตัวแน่แล้ว แต่ไหนๆ ก็ดีกว่าต้องกลับไปมือเปล่า
"ก็ได้ ฉันตกลงรับภารกิจนี้"
ชายหนุ่มกดรับเควสกำจัดสัตว์ร้ายซึ่งชาวบ้านรวบรวมเงินมาคนละเล็กละน้อยสำหรับจ่ายเป็นค่าตอบแทน
มองดูชาวบ้านที่ตื่นเต้นยินดีราวกับมีพระผู้ช่วยให้รอดมาโปรด สลับกับเงินรางวัลที่ถือว่าน้อยนิดจนน่าสงสารเมื่อเทียบกับภารกิจที่ผ่านมาของตนเอง นายพรานเริ่มไม่รู้ว่าตนควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกไปดี
.
ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นเป้าหมายในภารกิจเป็นครั้งแรก
"นี่มัน…"
นายพรานซึ่งซุ่มมองเป้าหมายจากที่ไกลๆ เผลอเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย ยามเห็นเงาร่างสีขมุกขมอมเดินออกมาจากบ้านหลังน้อย
แม้จะยังตัวเล็กเกินไปสักหน่อย แต่ดูจากโครงสร้างร่างกายและลักษณะสีขนอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ลูกหมาตัวนี้เป็นหมาป่าสีเทาไม่ผิดแน่
ปกติมอนสเตอร์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอย่างหมาป่าสีเทาจะอาศัยอยู่ค่อนไปทางเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระดับเลเวลโดยเฉลี่ยค่อนข้างสูงทั้งฝั่งของมนุษย์และสัตว์อสูร นานๆ ทีเหล่านายพรานซึ่งตระเวนอยู่แถบตอนใต้ถึงจะมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ สักครั้ง
ซ้ำยังดูเหมือนจะเป็นลูกหมาอายุน้อยที่บังเอิญหลงฝูงมาเพียงลำพัง…
คนต่างเมืองจ้องมองลูกสุนัขด้วยดวงตาวาววับ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีสกิลฝึกสัตว์ แต่ถ้าสามารถจับมันไปให้นักฝึกสัตว์ในเมืองช่วยประทับตราให้ เขาก็จะได้สัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังคำสั่งมาใช้งานได้ไม่ยาก
สำหรับนายพรานคนหนึ่งแล้ว การมีสัตว์นักล่าอย่างหมาป่าสีเทาอยู่ในครอบครองนั้น สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้อย่างมากเลยทีเดียว