Chereads / ลูกหมาตัวนั้น...คือ Last Boss งั้นเหรอครับ!? / Chapter 11 - บทที่ 10 - ผู้มาเยือนที่หน้าประตู

Chapter 11 - บทที่ 10 - ผู้มาเยือนที่หน้าประตู

บทที่ 10 - ผู้มาเยือนที่หน้าประตู

.

.

"ฟิลัน!?"

ดวงตาสีเขียวสะท้อนภาพลานบ้านซึ่งเต็มไปด้วยฝูงไก่ที่กำลังแตกตื่น วาลเรียสตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเจ้าลูกหมาที่แทบจะถูกฝังอยู่ท่ามกลางเส้นขนที่ปลิวว่อน

"มันกัดไก่แล้ว! หมาป่ากัดไก่ตายหมดแล้ว!"

เสียงตะโกนที่แฝงไว้ด้วยเจตนาชั่วร้ายดังขึ้น เมื่อชายฉกรรจ์ถลันเข้ามาชิดแนวรั้วได้ ท่อนไม้ในมือก็ยกขึ้นฟาดมั่วซั่วไปหมด เสียงกรีดร้องของแม่ไก่และเสียงคำรามของลูกสุนัขดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน

"หยุดนะ!"

เด็กหนุ่มใจหายวาบเมื่อเห็นการกระทำของคนตรงหน้า ความโกรธแล่นขึ้นเป็นริ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มสมใจฉีกขึ้นบนมุมปากของชายที่เพิ่งมีเรื่องกระทบกระทั่งกันไปในคืนนั้น

วาลเรียสถลันเข้าไปขวางหน้าพวกก้อนขนที่แตกกระเจิงด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่ทันคิด ท่อนไม้ฟาดลงบนตัวของเขาหลายครั้ง แม้จะไม่ได้ใช้สกิลเสริมพลังแต่ก็ทำให้เจ็บปวดให้ไม่น้อย

"กรร!"

ฟิลันขู่คำรามยามเห็นเด็กหนุ่มถูกทำร้าย เจ้าลูกหมาตะกุยตะกายจะเข้าไปจัดการชายที่เข้ามาหาเรื่องกันถึงถิ่น แต่กลับโดนขวางไว้ด้วยฝูงไก่ที่วิ่งเตลิดไปมาทุกทิศทาง จนลูกสุนัขแทบจะจมหายไปในฝูงแม่ไก่สูงท่วมหัวซึ่งกำลังเสียขวัญ

"เกิดอะไรขึ้น!?"

"กรี๊ดด!!"

"หลีกไป!"

เหล่าชาวบ้านที่ตามเสียงเอะอะมาอีกครั้งล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ โดยเฉพาะกับหญิงเจ้าของฝูงไก่ซึ่งอาศัยอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก นางถลันเข้ามาทันทีด้วยสีหน้าไม่น่ามอง

"ไปให้พ้นนะ! เจ้าตัวน่ารังเกียจนี่!"

หญิงวัยกลางคนถกกระโปรงวิ่งมาอย่างรวดเร็ว มือคว้าพลั่วยาวที่พิงอยู่ด้านข้างได้ก็ตวัดฟาดไปทันที เฉียดหางเจ้าลูกหมาที่กำลังตะเกียกตะกายออกมาจากฝูงไก่ไปเพียงนิดเดียว

"อย่าตีมันนะครับ!"

วาลเรียสพุ่งเข้าไปแย่งพลั่วด้ามยาวจากมืออีกฝ่าย ในจังหวะเดียวกับที่ลูกสุนัขดิ้นหลุดออกมาได้ในสภาพกระเซอะกระเซิง ขนไก่ติดเต็มตัวราวกับเพิ่งผ่านการฟัดเหล่าแม่ไก่มาอย่างถึงใจ

"จะรอให้ไก่ฉันตายหมดก่อนรึไง!? ปล่อยนะ!"

ต่อหน้าหญิงซึ่งกำลังกรีดร้องอย่างเสียขวัญแต่เรี่ยวแรงกลับไม่ผ่อนลงแม้แต่น้อย ยื้อยุดกันไปมาอยู่นาน จนต้องอาศัยเพื่อนบ้านเข้ามาช่วยแยกอีกฝ่ายออกไป

"เข้าบ้านไปก่อน ไป!"

เขาหันไปตะโกนบอกเจ้าลูกหมาซึ่งมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ฟิลันจะกระโจนผ่านบานประตูที่เปิดอ้าอยู่อย่างรู้ความ

วุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ กว่าฝูงไก่ที่กำลังแตกตื่นจะกลับเข้าสู่ความสงบ

มองดูแม่ไก่ที่ยืนเบียดกันขาสั่น ขนสีเปรอะหลุดกระจายไปทั่วลานบ้าน สีหน้าของหญิงวัยกลางคนยิ่งดูก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นทุกที

"ไอ้หมานั่นกระโดดเข้ามาก่อน! เห็นฝูงไก่เยอะแยะขนาดนี้สันดานบ้าเลือดมันเลยโผล่น่ะสิ!"

ชายฉกรรจ์โพล่งขึ้นก่อนด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่วาลเรียสกลับเห็นประกายของความพึงพอใจแฝงอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย

"ขอโทษ? ทุกคนก็เห็นว่าเมื่อกี้ไก่วิ่งอยู่เต็มลานบ้าน ใน-เขต-รั้ว-บ้าน-ของ-ผม…ผมต้องถามมากกว่าว่าคุณต้อนไก่ยังไง ให้หลุดเข้ามาในบ้านคนอื่นเขาทั้งฝูง?"

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองคนที่รับงานต้อนไก่ ซ้ำยังเลือกต้อนแม่ไก่ตัวอ้วนพีทั้งฝูงผ่านหน้าบ้านของเขา ในช่วงเวลาที่ฟิลันออกไปวิ่งเล่นด้านนอกได้อย่างแม่นยำอีก

ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญ!

"ก็ไอ้หมาตัวนั้นมันทำให้ไก่ตื่นกันไปหมด! ทั้งที่ฉันต้อนมาได้ดีๆ ตลอดทาง ถ้าไม่มีหมาป่าอยู่ในหมู่บ้านมันจะวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง!?"

"กล่าวหากันนี่!? หมาบ้านผมเชื่อฟังมาก ถ้าผมสั่งซ้ายไม่มีทางไปขวา คุณลองเบิกตาดูสิว่ามีไก่โดนกัดจริงๆ สักครึ่งตัวมั้ย…"

วาลเรียสเถียงกลับอย่างดุเดือด ก่อนจะโดนขัดโดยเสียงตวาดของหญิงเจ้าของไก่

"เงียบซะ! ถึงจะไม่โดนกัดก็จริง แต่แม่ไก่ฉันทั้งช้ำทั้งเสียขวัญไปหมด พวกนายจะรับผิดชอบยังไง?"

หญิงวัยกลางคนเงยขึ้นมองคู่กรณีทั้งสองคน หลังจากตรวจสอบฝูงไก่ของตนเองครบทุกตัว

แม้จะไม่มีแผลเลือดสาดกระจายจากคมเขี้ยวหมาป่าอย่างที่นางหวาดหวั่น แต่ดูจากอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ และท่าทีตื่นกลัวของพวกมันแล้ว แม่ไก่เหล่านี้คงจะไม่วางไข่ไปสักพัก

"ถามไอ้เด็กนี่สิ! ดันเก็บตัวกระหายเลือดแบบนี้เอาไว้ในบ้าน…"

"ว่าไงนะ!? คุณต่างหากที่ทำภารกิจล้มเหลวเองแล้วมาพาลโทษคนอื่น…"

"เงียบ!"

เจ้าของไก่กรีดเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง รอบข้างเงียบกริบไม่เว้นแม้แต่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูอยู่ด้านหลัง

หญิงวัยกลางคนซึ่งเหลืออดกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยกนิ้วชี้กราดไปทีละคนอย่างไม่ไว้หน้า

"นายทำภารกิจล้มเหลว! ฉันจะปรับเงินจากนายสองเท่าจากค่าตอบแทนที่เราตกลงกันไว้ แล้วหลังจากนี้ไม่ต้องเสนอหน้ามารับเควสอะไรจากฉันอีก!"

ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่กลับไม่เอ่ยคัดค้าน เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่แท้จริง เท่ากับเข้าไปใกล้รางวัล 200 เหรียญเงินอีกก้าว ค่าปรับเล็กน้อยเท่านี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร

"ส่วนนาย! ไม่ว่ายังไงหมาตัวนั้นก็ทำให้ไก่ตกใจจริงๆ ฉันจะเรียกค่าเสียหายเท่ากับค่าปรับจากภารกิจ!"

วาลเรียสเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่อีกฝ่ายเรียกร้องมา

"แต่นี่มันมากเกินไป…"

"ไม่มีแต่! ถ้าเลี้ยงแล้วไม่มีปัญญาคุม ก็เอาหมาป่าตัวนั้นไสหัวออกไปจากหมู่บ้านซะ!"

.

เด็กหนุ่มถอนหายใจใส่ชามซุปที่มีแต่ผักของตนเองด้วยท่าทีเซื่องซึม โดยมีลูกหมายืนหูลู่หางตกยืนอยู่ข้างๆ

"ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ความผิดของฟิลันสักหน่อย จริงไหมครับ?"

วาลเรียสก้มลงลูบหัวเจ้าก้อนขนซึ่งมีท่าทีสลดหดหู่อย่างเห็นได้ชัด ถือโอกาสตรวจสอบดูอีกทีว่าลูกสุนัขของตนบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

"ไม่ได้โดนหมอนั่นฟาดเอาใช่ไหม? จริงๆ เลย ไม่รู้ทำไมถึงมาหาเรื่องกันไม่ยอมเลิก…"

เด็กหนุ่มบ่นพึมพำขณะไล่ปลายนิ้วผ่านกลุ่มขนสีเทาดำ เมื่อเหลือบไปเห็นรอยช้ำบนท่อนแขนของอีกฝ่าย ฟิลันพลันแยกเขี้ยวน้อยๆ อย่างไม่สบอารมณ์

"ผมก็ประมาทเกินไปเหมือนกัน หลังจากนี้คงต้องระวังตัวมากขึ้น…"

วาลเรียสสบเข้ากับดวงตาสีเหลืองอ่อนซึ่งเงยขึ้นมอง เขาคลี่ยิ้มให้เจ้าลูกหมาที่แสนน่ารักของตนเอง

"เรามาพยายามไปด้วยกันเถอะ นะ?"

หลังจากวันนั้น ท่าทีของชาวบ้านก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

หากไม่หลีกหนีหายหน้าไปเลย บางคนก็เพียรเข้ามาพูดคุยกับวาลเรียสเสียยืดยาว แต่จับใจความได้เพียงว่าเมื่อไหร่จะเอาลูกสุนัขที่หายดีแล้วออกไปจากเขตหมู่บ้านเสียที

"มันยังไม่หายสนิทดีเลยครับ อาจจะเป็นในป่าลึกๆ หน่อย ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ…"

เด็กหนุ่มพยายามหลบเลี่ยงเพื่อประวิงเวลาออกไป แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่เขากลับรู้สึกเคยชินที่จะมีเจ้าลูกหมาตัวนี้อยู่ในชีวิตเสียแล้ว

บ้านหลังเล็กที่ไม่เคยรู้สึกว่ากว้างเกินไป ตอนนี้เขากลับนึกภาพตอนที่ไม่มีลูกสุนัขสีเทายืนรออยู่ด้านหลังบานประตูไม่ออก

แม้แต่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามยังเดินมาพูดคุยอยู่หลายครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ต่อหน้าครอบครัวซึ่งมีเด็กเล็กอยู่ในบ้าน วาลเรียสเข้าใจความกังวลของพวกเขาดี

ท่ามกลางข่าวลือที่ถูกใส่สีตีไข่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ฟิลันแทบจะกลายเป็นหมาป่าดุร้ายกระหายเลือดตัวหนึ่งไปแล้ว เหลือแค่ยังไม่ได้ย่องเข้าไปขย้ำผู้คนในบ้านในยามดึกดื่นเท่านั้น

ทางฝั่งลูกสุนัขนั้นพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมว่าง่ายที่สุด ตอนนี้มันไม่กลัวว่าวาลเรียสจะหันมาทุบตีหรือทอดทิ้งตนเองแล้ว แต่ตัวมันกลับพาปัญหามาให้อีกฝ่ายแทนเสียอย่างนั้น

เจ้าลูกหมานอนหมอบอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาสีเหลืองสะท้อนภาพของคนที่เผลอนอนหลับไปบนโซฟาทั้งที่ยังมีหน้งสือเปิดค้างอยู่บนตัก

ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

ขณะที่หนึ่งคนหนึ่งสุนัขต่างตกอยู่ในความคิดของตน อีกด้านหนึ่ง เหล่าชาวบ้านที่กังวลใจกับเรื่องดังกล่าวก็รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

"ต้องเกลี้ยกล่อมยังไงดีถึงจะยอมเอาหมาป่านั่นไปทิ้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ…"

"ปกติเจ้าหนูนั่นก็เก็บสัตว์ตัวนู้นตัวนี้มาเลี้ยงไปเรื่อยอยู่แล้ว เดี๋ยวเลิกเห่อก็ปล่อยไปเอง…"

"เมื่อไหร่ล่ะ? ถึงจะตัวเล็กแต่ก็เป็นหมาป่า แน่ใจได้ยังไงว่าจู่ๆ มันจะไม่ลุกขึ้นมาไล่กัดคนในหมู่บ้าน?"

"คิดมากไปรึเปล่า…"

"ที่บ้านไม่มีสัตว์เลี้ยงกับเด็กเล็กก็พูดได้สิ! คราวก่อนไก่ฝูงนั้น…"

"น่ากลัวเกินไป จับไปปล่อยไกลๆ เถอะ"

"แล้วใครจะเป็นคนเข้าไปจับ…"

หลังการพูดคุยครั้งนั้น ไม่กี่วันต่อมา นายพรานคนหนึ่งก็ถูกเชิญมาที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้

ชายในชุดขอบหนังทะมัดทะแมงสะพายสัมภาระไว่บนบ่า เดินทอดน่องไปตามถนนที่ไม่มีแม้แต่แมวสักตัวด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ

"หมาป่า?"

คนต่างเมืองเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขายังไม่เคยเจอหมู่บ้านที่เงียบสงบขนาดนี้มาก่อน พอได้ยินเนื้อหาของภารกิจเข้าจึงช่วยไม่ได้ที่จะคลางแคลงใจ

นายพรานนั่งฟังเหล่าชาวบ้านที่แย่งกันพูดด้วยสีหน้าแตกตื่นพลางยกมือขึ้นลูบคาง แม้จะแอบคิดว่าคราวนี้ตนโดนหลอกมาจับหมาขี้เรื้อนผอมแห้งสักตัวแน่แล้ว แต่ไหนๆ ก็ดีกว่าต้องกลับไปมือเปล่า

"ก็ได้ ฉันตกลงรับภารกิจนี้"

ชายหนุ่มกดรับเควสกำจัดสัตว์ร้ายซึ่งชาวบ้านรวบรวมเงินมาคนละเล็กละน้อยสำหรับจ่ายเป็นค่าตอบแทน

มองดูชาวบ้านที่ตื่นเต้นยินดีราวกับมีพระผู้ช่วยให้รอดมาโปรด สลับกับเงินรางวัลที่ถือว่าน้อยนิดจนน่าสงสารเมื่อเทียบกับภารกิจที่ผ่านมาของตนเอง นายพรานเริ่มไม่รู้ว่าตนควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกไปดี

.

ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นเป้าหมายในภารกิจเป็นครั้งแรก

"นี่มัน…"

นายพรานซึ่งซุ่มมองเป้าหมายจากที่ไกลๆ เผลอเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย ยามเห็นเงาร่างสีขมุกขมอมเดินออกมาจากบ้านหลังน้อย

แม้จะยังตัวเล็กเกินไปสักหน่อย แต่ดูจากโครงสร้างร่างกายและลักษณะสีขนอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ลูกหมาตัวนี้เป็นหมาป่าสีเทาไม่ผิดแน่

ปกติมอนสเตอร์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอย่างหมาป่าสีเทาจะอาศัยอยู่ค่อนไปทางเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระดับเลเวลโดยเฉลี่ยค่อนข้างสูงทั้งฝั่งของมนุษย์และสัตว์อสูร นานๆ ทีเหล่านายพรานซึ่งตระเวนอยู่แถบตอนใต้ถึงจะมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ สักครั้ง

ซ้ำยังดูเหมือนจะเป็นลูกหมาอายุน้อยที่บังเอิญหลงฝูงมาเพียงลำพัง…

คนต่างเมืองจ้องมองลูกสุนัขด้วยดวงตาวาววับ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีสกิลฝึกสัตว์ แต่ถ้าสามารถจับมันไปให้นักฝึกสัตว์ในเมืองช่วยประทับตราให้ เขาก็จะได้สัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังคำสั่งมาใช้งานได้ไม่ยาก

สำหรับนายพรานคนหนึ่งแล้ว การมีสัตว์นักล่าอย่างหมาป่าสีเทาอยู่ในครอบครองนั้น สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้อย่างมากเลยทีเดียว