Chereads / ลูกหมาตัวนั้น...คือ Last Boss งั้นเหรอครับ!? / Chapter 14 - บทที่ 13 - วันนี้มีความสุขไหม

Chapter 14 - บทที่ 13 - วันนี้มีความสุขไหม

บทที่ 13 - วันนี้มีความสุขไหม

.

.

"โอ๊ะ!?"

เด็กหนุ่มชักมือออกจากด้ามจับโลหะที่ร้อนลวก ยกมือที่แสบร้อนขึ้นมาเป่าเบาๆ ด้วยสีหน้ายุ่งๆ

ในกระเป๋ายังมีอาหารแห้งที่กินได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาปรุงอยู่บ้าง แต่วาลเรียสที่อยากให้เจ้าลูกหมาที่บาดเจ็บได้กินอาหารร้อนๆ เลยยังไม่อยากยอมแพ้เร็วจนเกินไป

ทั้งสองยังคงนั่งอยู่ไม่ไกลจากริมลำธาร เสียงน้ำไหลเรื่อยแทรกด้วยเสียงปลาตัวโตกระโดดขึ้นงับเหยื่อที่บินผ่านมาเป็นระยะ ฟิลันที่ยอมกินนมไปนิดหน่อยนอนอยู่บนผ้าผืนเดิมที่ปูไว้ตรงโคนต้นไม้ ดวงตาสีเหลืองหรี่ลงน้อยๆ ให้อารมณ์เกียจคร้านในยามบ่ายแก่

วาลเรียสง่วนอยู่กับการพยายามจุดไฟมาหลายชั่วโมงแล้ว กองกิ่งไม้แห้งๆ ที่เก็บมารวมกันยังคงไร้วี่แววของประกายไฟ ชิ้นส่วนโลหะพังๆ กองอยู่ด้านข้างพร้อมกับกระดาษที่เขียนโน้ตไว้ด้วยลายมือยุ่งเหยิง

เด็กหนุ่มเอื้อมหยิบดินสอมาเขียนในส่วนที่ว่างต่ออีกสองสามคำ หน้าตาของสิ่งที่อยู่ในมือตนนั้นยังไม่ใกล้เคียงกับแบบแปลนในหนังสือที่เปิดค้างอยู่ถัดออกไปแม้แต่น้อย

เมื่อไม่สามารถหอบเตาติดทันใจที่ประกอบขึ้นด้วยแผ่นหินหนักอึ้งมาด้วยได้ วาลเรียสทำได้เพียงแยกชิ้นส่วนบริเวณฐานของมันออกมา และหวังว่าในกองของสะสมที่เขานำมาด้วย จะมีอะไหล่ที่สามารถกระตุ้นตัวจุดประกายไฟขึ้นมาได้

เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยขบ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ หากมีสกิลจุดไฟง่ายๆ สักอันหนึ่ง ปัญหาที่ทำให้เขาหัวหมุนอยู่นานนี้คงจะสามารถแก้ไขได้ในพริบตา

"ฟิลันไม่มีสกิลที่จุดไฟ หรือพ่นไฟได้บ้างเหรอ?"

เจ้าลูกหมาหันหน้าหนีคำพูดไร้สาระดังกล่าวอย่างไม่มีเยื่อใย วาลเรียสหัวเราะแห้งๆ พลางเคาะชิ้นส่วนโลหะในมือเข้าหากันอย่างขอไปที

"เอ๊ย!? ร้อนๆๆ !"

ความร้อนที่ส่งผ่านมาตามฝ่ามือทำให้เด็กหนุ่มเผลอปล่อยมือ ชิ้นส่วนโลหะที่ฝังไว้ด้วยผลึกสีแดงเม็ดเล็กๆ ร่วงลงไปก่อน หลังเสียงดังก้องยามของแข็งกระทบกัน ประกายไฟสายหนึ่งก็วาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

วาลเรียสตาเหลือกเมื่อเห็นกระดาษที่ใช้จดบันทึกจนถึงเมื่อครู่ถูกเปลวไฟดวงเล็กๆ ลามเลีย เขารีบคว้าดินสอและหนังสือที่กางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาพลางอุทาน

"ไหม้แล้วๆๆ …เอ๊ะ?"

เด็กหนุ่มที่กำลังจะหันไปหาน้ำมาดับไฟชะงักไปกลางคัน ดวงตาสีเขียวสะท้อนเปลวไฟที่ตนเองเพียรจุดมาตั้งแต่บ่ายอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นดวงไฟดังกล่าวหดเล็กลงราวกับจะมอดดับ

กิ่งไม้แห้งถูกโยนลงไปก่อนที่เขาจะคิดเสร็จ หลังผ่านความวุ่นวายขนาดย่อมไปแล้ว ในที่สุดวาลเรียสก็สามารถจุดกองไฟเล็กๆ กองหนึ่งได้สำเร็จ

"ยะ เยี่ยมไปเล้ย!"

เด็กหนุ่มชูมือขึ้นฟ้าฉลองชัยชนะ ก่อนจะหันไปค้นของในกระเป๋าสะพายออกมาอีกกองใหญ่

ฐานเหล็กดัดที่เคยใช้วางกระถางต้นไม้ถูกใช้วางหม้อใบเล็กแทน วาลเรียสที่เพิ่งเคยก่อกองไฟทำอาหารเป็นครั้งแรก ตัดสินใจต้มทุกอย่างรวมกันในหม้อเดียวเพื่อความปลอดภัยของวัตถุดิบที่มีอยู่จำกัด

น้ำที่ตักมาจากลำธารเริ่มเดือดปุดๆ เขารีบหย่อนลูกพรุน หัวมัน และเนื้อแห้งที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปก่อนจะปิดฝา เด็กหนุ่มหยิบไข่ฟองสุดท้ายขึ้นมาด้วยสีหน้าคิดหนัก

วาลเรียสอาศัยกลิ้งฟองไข่ไปมาใกล้ๆ กองไฟเพื่อกะเทาะเปลือกออก เขาแบ่งไข่ส่วนของฟิลันออกมาใส่ชามก่อนจะตักน้ำร้อนๆ ราดลงไป ปรุงอาหารที่เหลืออยู่ในหม้อต่ออีกเล็กน้อยขณะที่กองไฟเริ่มมอดลงเพราะเผาไหม้เชื้อเพลิงจนหมด

เมื่อกองกิ่งไม้เล็กๆ เหลือเพียงเศษถ่านดำที่ยังร้อนระอุ วาลเรียสลองซุกหัวมันสองสามหัวลงไปในกองไฟที่เพิ่งมอดลง ก่อนจะหันไปเรียกเจ้าลูกหมาที่รอจนเคลิ้มหลับให้มากินอาหาร

อาหารที่เรียกได้ว่าแค่โยนทุกอย่างลงไปต้มรวมกันนั้นไม่ได้น่าประทับใจมากนัก แต่อย่างน้อยกลิ่นของเนื้อแห้งที่เจืออยู่ในน้ำแกงอุ่นๆ และไข่แดงที่ลวกจนสุกเยิ้มน้อยๆ ก็ยังคงทำให้หนึ่งคนหนึ่งสุนัขรู้สึกพึงพอใจได้

เด็กหนุ่มช้อนลูกพรุนเบาโหวงขึ้นมาจากก้นหม้อ ร้อยด้ายเส้นบางเข้าไประหว่างรูเล็กๆ ที่เรียงรายอยู่บนเปลือกแข็ง ก่อนจะเอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อผึ่งให้แห้ง เนื้อในที่เหลือเพียงนิดเดียวส่งเสียงขลุกขลักขณะลูกพรุนแกว่งไปมาตามแรง สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเหลืองอ่อนของลูกหมาที่เงยขึ้นมอง

"สนใจเหรอ? ไว้หมดแล้วถึงจะเอามาเล่นได้นะ ที่หมู่บ้านเองก็…"

วาลเรียสหยุดพูดไปกลางคันเมื่อนึกถึงของของแต่งบ้านหรือของเล่นเด็กซึ่งทำมาจากเปลือกลูกพรุนตากแห้ง วัตถุดิบอย่างเดียวที่ทนทานและชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่สุดขอบแดนใต้อย่างพวกเขามีกำลังพอจะซื้อหา

เด็กหนุ่มปัดความคิดถึงสถานที่ซึ่งตนเองเพิ่งตัดสินใจจะหันหลังจากมาทิ้งไป ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนก่อน

"ฟิลันรออยู่ตรงนี้นะ ผมเดินอยู่แค่แถวๆ นี้แหล่ะ"

วาลเรียสก้มลงพูดกับเจ้าลูกหมาที่เพิ่งกินอิ่ม ตั้งใจจะให้มันนอนพักอยู่ตรงนี้ระหว่างที่ตนเองออกไปเดินสำรวจรอบๆ

"โฮ่งๆ งี้ด"

แต่อีกฝ่ายไม่คิดอย่างนั้น ฟิลันลุกขึ้นเดินตามไปทันที แถมยังเกาะติดอยู่ข้างกายจนเด็กหนุ่มรู้สึกจนปัญญาที่จะไล่มันไป

วาลเรียสพยายามเดินช้าๆ เพื่อไม่ให้เจ้าก้อนขนต้องเหนื่อยเกินไปนัก

แม้จะเป็นห่วงเจ้าหมาบาดเจ็บที่ไม่ยอมนอนพักดีๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลางป่าที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ การมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยทำให้อุ่นใจอยู่มากทีเดียว

"นี่น่าจะพอใช้ได้ละมั้ง?"

เด็กหนุ่มยืนดูกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะในระยะพอจะเอื้อมถึง หลังใช้สายตากะขนาดและความยาวคร่าวๆ แล้ว เขาจึงตัดสินใจว่าจะหักมันลงมา

"เอ้าฮึบ!"

วาลเรียสกระโดดขึ้นเกาะตรงโคนกิ่ง ใช้น้ำหนักตัวโน้มหักกิ่งไม้ที่เล็งไว้อย่างทุลักทุเล

หลังพยายามอยู่ครู่หนึ่ง กิ่งไม้ยาวที่ค่อนข้างเหยียดตรงก็อยู่ในมือของเด็กหนุ่มซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น โดยมีลูกสุนัขตัวเล็กเลียๆ ข้างใบหน้าที่ซีดลงเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง

"ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก ผมยังอยากได้อีกสักหน่อยล่ะ"

ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปยังกิ่งไม้ที่งอกเงยอย่างอิสระ เมื่อเจออันที่ขนาดพอเหมาะก็หยัดกายลุกขึ้นทันที

วาลเรียสเดินกลับมาที่ริมลำธารพร้อมกับกิ่งไม้กองหนึ่ง หลังจากเด็ดเอาใบและกิ่งเล็กๆ ออกแล้ว เขาจึงวางมันเรียงกับพื้นเป็นทรงตาราง ค่อยๆ ใช้เชือกผูกกิ่งไม้แต่ละชิ้นเข้าหากันเหมือนเวลาสร้างค้างไม้เลื้อยให้พืชล้มลุกในไร่

เด็กหนุ่มวางโครงไม้สองอันพิงเข้าหากันเป็นทรงสามเหลี่ยมระหว่างต้นไม้สองต้น หลังปักส่วนฐานลงในดินและใช้เชือกผูกโยงด้านบนเข้ากับต้นไม้ทั้งสองข้าง เพิงเล็กๆ ที่สร้างขึ้นชั่วคราวก็เริ่มดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ระหว่างทางที่ไปเก็บกิ่งไม้เมื่อครู่เขาเห็นไม้พุ่มที่มีใบขนาดใหญ่อยู่อีกด้านหนึ่ง หลังเกลี้ยกล่อมเจ้าหมาที่เริ่มเดินกะเผลกเพราะเจ็บแผลที่ขาให้นอนพักได้แล้ว วาลเรียสจึงย้อนกลับไปพร้อมกับถุงผ้า ตั้งหน้าตั้งตาเด็ดใบไม้หนาสีเขียวมันวาวมากองโต

เขาเร่งมือสอดใบไม้ขนาดสองฝ่ามือลงไประหว่างช่องว่างของค้างที่สร้างขึ้นง่ายๆ จากกิ่งไม้และเชือก พอฟ้าเริ่มมืดลง เพิงไม้เล็กๆ ที่พอจะใช้กันลมหนาวในยามค่ำคืนได้ก็เสร็จเรียบร้อย

กลางป่าแบบนี้ วาลเรียสไม่กล้าก่อกองไฟเพื่อหุงหาอาหารอีก ขณะที่เจ้าหมาเคี้ยวเนื้อแห้งที่แช่น้ำจนนิ่มด้วยท่าทีราวกับกำลังขย้ำเหยื่อหนังเหนียว เด็กหนุ่มนั่งแทะหัวมันเผาที่เย็นชืดอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าหนักใจ

"ไว้พรุ่งนี้เราไปหาอาหารกันดีมั้ย? กินแบบนี้ทุกวันก็คงไม่ไหว…"

วาลเรียสนึกถึงรายการอาหารของฟิลันต่อจากนี้แล้วรู้สึกกลุ้มใจ ตนเองยังสามารถเด็ดผักเก็บเห็ดมากินได้ แต่จะให้เจ้าลูกหมากินแต่เนื้อแห้งทุกมื้อแบบนี้ก็ดูจะทรมานกันจนเกินไป

"โฮ่ง?"

ฟิลันที่เกิดและอาศัยอยู่ในป่ามาเกือบตลอดชีวิตมีสีหน้าพิลึกพิลั่น ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหนักใจเรื่องอะไร

ช่วงนี้มันแค่ไม่ค่อยได้ขยับตัวมากเพราะบาดแผลที่ขาทำให้เดินไม่ค่อยสะดวก ไม่อย่างนั้นมันคงวิ่งออกไปหาอาหารกินเองนานแล้ว

เจ้าลูกหมาย่ำอุ้งเท้าไปมาด้วยท่าทีหมายมาด ตัดสินใจว่าถ้าอีกฝ่ายไม่สบายใจ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้มันจะเข้าไปลึกกว่านี้อีกหน่อย แสดงฝีมือการล่าเหยื่ออันแสนยอดเยี่ยมให้ดูเป็นขวัญตา!

"คิดอะไรอยู่น่ะเรา?"

วาลเรียสยื่นมือไปจิ้มหน้าผากของลูกสุนัขที่จู่ๆ ก็มีท่าทางฮึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ สัมผัสนุ่มนิ่มทำให้เขาเผลอลูบศีรษะน้อยๆ ต่ออีกครู่ใหญ่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเช่นเดียวกับหางตาที่หรี่โค้งลงน้อยๆ

"งี้ด"

ฟิลันเอียงคอรับฝ่ามือด้วยท่าทีน่ารักน่าชัง เด็กหนุ่มที่ใจอ่อนยวบอุ้มเจ้าก้อนขนขึ้นมากอดหลวมๆ ก่อนจะวางมันลงบนผ้าที่ปูรองไว้ให้ข้างตัว

วาลเรียสเอนตัวลงนอนข้างๆ พลางกระชับผ้าห่มบนร่าง แม้จะไม่อบอุ่นเท่าโพรงเล็กๆ ที่อาศัยซุกหัวนอนเมื่อคืนก่อน แต่เพิงที่กว้างขวางและพอจะกันลมหนาวในยามค่ำคืนเช่นนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวร้ายจนเกินไป

มองดูเจ้าลูกหมาที่ขดตัวลงนอนอย่างว่าง่าย แต่ดวงตาทั้งสองกลับกลมโตไร้ร่องรอยของความง่วง เด็กหนุ่มเอื้อมไปลูบหลังให้อีกฝ่ายเบาๆ ราวกับกำลังกล่อมนอน

"ฟิลันยังไม่ง่วงเหรอ ผมเล่านิทานไม่เป็นหรอกนะ…"

วาลเรียสหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเจ้าลูกหมากลอกตาไปมาราวกับกำลังมองค้อน ดวงตาทั้งสองหรี่ลงทีละน้อยเพราะความอ่อนเพลียหลังวิ่งวุ่นมาค่อนวัน

แค่หาทางจุดไฟทำอาหารกับสร้างที่พักง่ายๆ ยังใช้เวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ แม้จะเคยอ่านเรื่องราวในหนังสือมามากมาย แต่กลับเทียบไม่ได้กับการประสบเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยตนเองเพียงครั้งเดียว

เงาร่างของเจ้าก้อนขนที่นอนหมอบอยู่ด้านข้าง และดวงตาสีเหลืองอ่อนที่ราวกับสุกสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดที่โรยตัวลง วาลเรียสเอ่ยถามเจ้าลูกหมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนที่กำลังอยู่ระหว่างเส้นแบ่งของความฝันและการตื่น

"ฟิลัน…วันนี้มีความสุขไหม?"

เจ้าของนามนอนนิ่ง มองดูอีกฝ่ายซึ่งผล็อยหลับไปกลางคันหลังเอ่ยจบประโยค

ลูกสุนัขสีเทาแลบลิ้นเลียปลายนิ้วที่ยื่นมาหาตนเบาๆ แทนคำตอบ