Chereads / ลูกหมาตัวนั้น...คือ Last Boss งั้นเหรอครับ!? / Chapter 10 - บทที่ 9 - แผนการที่ถูกวางไว้

Chapter 10 - บทที่ 9 - แผนการที่ถูกวางไว้

บทที่ 9 - แผนการที่ถูกวางไว้

.

.

เสียงเอะอะดังแว่วมาจากบ้านหลังเล็ก เด็กหนุ่มวิ่งผ่านประตูรั้วเตี้ยๆ ที่เปิดอ้า พุ่งเข้าไปในบ้านของตนด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ

บ้านหลังเล็กดูคับแคบลงไปทันทีเมื่อบรรจุชายฉกรรจ์ถึงสองคน หนึ่งในนั้นถึงกับถือไม้ท่อนใหญ่เอาไว้ในมือ ขณะก้าวเข้าไปใกล้ลูกสุนัขที่แยกเขี้ยวขู่ เส้นขนสีเทาดำพองชี้ไปทุกทิศทาง

"หยุดนะ!"

วาลเรียสพุ่งเข้าไปขวางคนที่อยู่ด้านหน้าสุด

ชายคนนั้นผงะไปอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะเริ่มเผยสีหน้าน่าเกลียดขณะเอ่ยคำ

"อย่ามายุ่ง! พวกเราแค่จะมากำจัดมัน!"

"อยู่เฉยๆ เถอะเจ้าหนู เอาสัตว์ดุร้ายมาไว้ในเขตหมู่บ้านแบบนี้ คิดคำแก้ตัวเอาไว้หรือยังล่ะ?"

ชายที่ยืนถือคบเพลิงอยู่ด้านหลังเอ่ยสำทับ

"นี่ลูกหมาที่ผมเลี้ยงไว้! พวกคุณจะเข้ามาตีมันตามใจถึงในนี้ยังไง!?"

วาลเรียสตะเบ็งเสียงกลับ มองดูคนแปลกหน้าซึ่งบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาตแล้ว ความโกรธก็ยิ่งพลุ่งพล่านจนเริ่มรู้สึกอุ่นๆ ที่หน้าผาก

"ลูกหมาอะไร? นี่มันหมาป่าชัดๆ ! ถึงจะตัวเล็กก็มีเขี้ยวเล็บแล้ว ต้องรอให้มันออกไปกัดใครก่อนหรือไงถึงคิดจะจัดการ!?"

ลูกสุนัขที่ถูกพาดพิงส่งเสียงคำรามขู่อีกระลอก มันอยากจะกระโดดกัดคนที่เข้ามาหาเรื่องกันเสียตรงนี้เลย ติดแต่เด็กหนุ่มซึ่งก้าวมาขวางไว้ราวกับรู้เจตนาของอีกฝ่าย

วาลเรียสพยายามกันเจ้าก้อนขนเอาไว้ด้านหลัง แม้ความขุ่นเคืองจะเดือดพล่านเช่นกัน แต่เขาก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ขณะพูดคุยกับอีกฝ่าย

"คุณกลับไปซะ ไม่งั้นผมคงต้องยื่นเรื่องฟ้องร้องว่าโดนบุกรุกบ้านในยามวิกาล!"

เด็กหนุ่มงัดเอาความคุ้มครองพื้นฐานตามกฎหมายขึ้นมาขู่ ชายตรงหน้าลังเลไปชั่วครู่แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

"ส่งไอ้ลูกหมานั่นมา!"

"ไม่ครับ! คุณอย่ามาทำตัวไม่มีเหตุผล หมาบ้านผมไม่เคยกัดใคร จะมากล่าวหาว่ามันเป็นสัตว์ดุร้ายได้ยังไง!?"

วาลเรียสเถียงหัวชนฝา แอบใจหายวาบยามคนตรงหน้าเงื้อท่อนไม้ในมือขึ้นด้วยแรงโทสะ แสงสีขาวที่วาบขึ้นมาน่าจะเป็นผลจากสกิลเสริมแรงสักอย่างไม่ผิดแน่

ถึงจะกลัวแทบแย่ แต่เมื่อนึกถึงเจ้าก้อนขนที่อยู่ด้านหลังตนแล้ว เขาก็ไม่ยอมถอยหนีแม้แต่นิดเดียว

"หน็อย ไอ้เด็กนี่!"

ฟิลันกลับเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้ก่อน ลูกหมาสีเทาดำกระโดดพรวดออกมาตรงหน้า เห่าพลางแยกเขี้ยวคำรามคนที่ตะคอกใส่ผู้ช่วยชีวิตของมันในทันที

"โฮ่งๆๆ ! กรร…"

เสียงเอะอะที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบในช่วงค่ำดึงดูดความสนใจจากชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลในที่สุด ไฟจากหินเรืองแสงของบ้านหลังตรงข้ามซึ่งส่องสว่างขึ้น และแสงจากคบเพลิงที่ปรากฎขึ้นตรงสุดถนนสายเล็ก ทำให้ชายที่อยู่ด้านหลังรั้งตัวอีกฝ่ายไว้กลางคัน

"เกิดอะไรขึ้น!?"

เมื่อตกอยู่ใต้สายตาของชาวบ้านที่รุดมาตามเสียง ชายที่ถือท่อนไม้อยู่จึงยอมลดมือลงอย่างเสียไม่ได้

"พวกเขามาบุกบ้านผม! แถมยังขู่ว่าจะตีผมด้วย…"

วาลเรียสชิงโพล่งขึ้นมาก่อนด้วยท่าทีน่าสงสาร สายตาของชาวบ้านที่ตกลงบนตัวชายที่สองจึงมีเพียงการประนามและตำหนิ

"ฉัน…ฉันจะตีไอ้หมาตัวนั้นต่างหาก มันเป็นหมาป่าดุร้าย! มอนสเตอร์อันตราย!"

ชายฉกรรจ์ชี้ไปยังลูกสุนัขที่แยกเขี้ยวตอบ มันยืนจังก้าอยู่ด้านหน้า ไม่ยอมขยับถอยแม้เด็กหนุ่มจะพยายามดันมันกลับเข้าไปในบ้าน

"มันเป็นแค่ลูกหมาแถมยังบาดเจ็บอยู่! ตั้งแต่ผมพามามันยังไม่เคยออกไปวิ่งเล่นหน้าบ้านด้วยซ้ำ อ้อ…จนถึงวันนี้ที่คุณถือไม้มาจะตีมันถึงในบ้านผมเนี่ยแหล่ะ!"

วาลเรียสก้มลงกอดฟิลันที่ขนพองชี้ไปทั้งตัว พยายามปลอบเจ้าลูกหมาที่กำลังเกรี้ยวกราดให้ใจเย็นลง

แม้ว่าท่าทีของลูกสุนัขจะดูก้าวร้าวอย่างเห็นได้ชัด แต่ผ้าพันแผลสีขาวซึ่งยังคงพันอยู่รอบช่วงท้องและขาหลังของมัน ก็เป็นหลักฐานยืนยันคำพูดของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อย

ท่ามกลางชาวบ้านที่มารวมตัวกันในยามมืดค่ำ ชายวัยกลางคนซึ่งอาศัยอยู่ตรงข้ามก้าวออกมาไกล่เกลี่ย

"เอาล่ะๆ นี่คงจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน…พวกนายเองก็กลับไปก่อนเถอะ"

คนออกหน้าหันไปมองฝ่ายที่บุกรุกบ้านผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร แต่การกระทำแบบนี้ก็นับว่าเกินกว่าเหตุไปจริงๆ

"แต่ไอ้หมา…"

ชายที่ถือท่อนไม้เอาไว้ยังมีท่าทีไม่ยอมแพ้ แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อน

"แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่กัดคนจริงๆ ? ดูเขี้ยวมันสิ…"

สายตาของชาวบ้านตกลงตรงเขี้ยวยาวสีขาวของลูกสุนัขซึ่งยังมีท่าทีไม่สบอารมณ์ วาลเรียสซึ่งกอดเจ้าก้อนขนเอาไว้ด้วยสองมือรีบเอ่ยปาก

"ผมรับรองว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้น! ปกติฟิลันเรียบร้อยมาก มันแค่พยายามจะปกป้องผมเท่านั้นเอง…"

เห็นท่าทียืนกรานของเด็กหนุ่มซึ่งยังโอบลูกสุนัขเอาไว้ในอ้อมแขน ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มเอนเอียงไปอีกฝั่ง ชายทั้งสองจึงยอมหันหลังจากไปด้วยท่าทีไม่เต็มใจ

"ตกใจหมดเลย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าหนู?"

"นี่ลูกหมาป่าจริงๆ เหรอ? ถ้าโตแล้วจะตัวใหญ่ขนาดไหนกันล่ะเนี่ย…"

"มาบุกบ้านคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่าน่ากลัวยิ่งกว่าหมาซะอีก…"

วาลเรียสผ่อนลมหายใจโล่งอกท่ามกลางเหล่าชาวบ้านที่เข้ามาถามไถ่ เด็กหนุ่มยิ้มรับพลางกล่าวคำขอบคุณแต่ละคนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อคำถามที่ชวนให้หนักใจดังขึ้นเบาๆ

"แบบนี้ตอนโตแล้วจะทำยังไงล่ะ? ถ้ามันไม่เชื่อฟังคำสั่งแล้วล่ะก็…"

เมื่อเผชิญกับคำถามที่ราวกับนำเอาความกังวลลึกๆ ในใจของหลายคนมากางแผ่ วาลเรียสขยับมือนวดหัวเล็กๆ ของเจ้าก้อนขนที่เลิกแยกเขี้ยวขู่แล้วพลางกล่าวคำ

"ผมตั้งใจว่าพอแผลหายดีแล้วก็จะปล่อยไปน่ะครับ แต่ถ้ามันอยากอยู่ต่อ ก็ค่อยมาว่ากันอีกที…"

.

ต่างจากบรรยากาศหน้าบ้านหลังเล็กซึ่งเริ่มคลี่คลายลงได้โดยดี บทสนทนาระหว่างคนที่เดินจากไปนั้นยังคงตึงเครียดอยู่ไม่น้อย

"แบบนี้จะทำยังไงต่อไปดี…"

เทียบกับชายที่กำลังเหวี่ยงไม้ในมือไปมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ คนที่เดินตามมาด้านหลังพร้อมกับคบเพลิงในมือนั้นมีสีหน้าสงบนิ่งกว่า สายตาทอดลงต่ำราวกับกำลังขบคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ

"ช่างเถอะ ถือว่าวันนี้เราทำพลาดไป ไว้ค่อยลองหาโอกาสดูใหม่ก็ยังไม่สาย"

"แต่ว่า!?"

เสียงคัดค้านหยุดชะงักลงกลางคันเมื่ออีกฝ่ายยกมือห้าม ชายที่ยังมีท่าทีหงุดหงิดสะบัดหน้าหนีขณะคนที่ตามมาเอ่ยคำ

"งานน่ะ สำคัญเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใช้เวลา…"

แสงไฟสีส้มแดงส่องผ่านหน้าต่างเควสซึ่งเปิดออกข้างกาย ทอดยาวลงบนพื้นเป็นเงาสลัว

[ภารกิจ : ขับไล่มอนสเตอร์ดุร้ายที่แฝงตัวอยู่ในเขตหมู่บ้าน]

[ประเภท : เร่งด่วน, เฉพาะเจาะจง]

[รางวัล : 200 เหรียญเงิน, ค่าประสบการณ์ 100 หน่วย]

[สถานะ : อยู่ระหว่างการดำเนินงาน]

.

.

.

[ผู้ตั้งภารกิจ : ระบบ]

"กลับมาแล้ว!"

วาลเรียสเปิดประตูบ้านพลางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงร่าเริง อ้าแขนรับเจ้าลูกหมาที่กระโดดเข้าใส่ด้วยท่าทีระริกระรี้ไม่ต่างกัน

"เป็นไงบ้างฟิลัน? วันนี้เป็นเด็กดีรึเปล่าหืม?"

เด็กหนุ่มยิ้มให้ลูกสุนัขที่แลบลิ้นเลียปลายคาง ฟิลันเห่าสั้นๆ ราวกับจะตอบคำ

"โฮ่ง!"

"งั้นเหรอๆ หมาบ้านใครเนี่ยน่ารักที่สุดเลย!"

วาลเรียสอุ้มเจ้าก้อนขนยกขึ้นเหนือหัว ลูกหมาร้องงี้ดง้าดเสียงยาวราวกับกำลังสนุกสนาน

ผ่านมาหลายวันหลังจากโดนบุกรุกบ้านในคืนนั้น ชายทั้งสองหายหน้าไปราวกับเรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น แต่เขาก็ยังไม่สามารถวางใจได้

เรื่องที่เด็กหนุ่มเก็บลูกหมาป่ามาเลี้ยงนั้นก็รู้กันทั่วทั้งหมู่บ้านไปเรียบร้อยแล้ว แม้ส่วนใหญ่จะเพียงเปรยถึงด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ แต่ลับหลังแต่ละคนมีความคิดอย่างไรนั้นเขาไม่อาจคาดเดาได้เลย

หลังถูกระบบดัดหลังกันอย่างเจ็บแสบ วาลเรียสเลือกรับภารกิจอย่างระมัดระวัง หากต้องไปไกลบ้านหรือไม่ใช่งานจากคนที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แม้ค่าตอบแทนจะล่อตาล่อใจขนาดไหน เขาก็ไม่รับสักอันเดียว

เด็กหนุ่มเลือกรับงานที่ทำเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น เทียวไปมาระหว่างบ้านกับที่ทำงานวันละหลายรอบ จนบ้านตรงข้ามที่ต้องสลับกันมาดูแลเด็กอ่อนยังเอ่ยแซว

ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวจากเรื่องทั้งหมดนี้ คือการที่ฟิลันไม่ต้องคอยหลบซ่อนจากสายตาชาวบ้านแล้ว ลูกสุนัขซึ่งบาดแผลใกล้หายดีจึงสามารถออกมาเดินเล่นที่แปลงผักด้านนอกได้

วาลเรียสลงทุนนั่งเฝ้าเจ้าหมาที่กระโดดโลดเต้นไปมาในลานบ้านอย่างร่าเริง แม้จะแน่ใจว่ามันไม่กล้าขุดแปลงพืชผักที่ปลูกไว้หลังกำชับคำไปหลายรอบ แต่เขาทำเพื่อความสบายใจของชาวบ้านคนอื่นๆ

มองดูเจ้าก้อนขนที่เดี๋ยวกลิ้งตัวไปมาบนพื้นหญ้า เดี๋ยววิ่งไล่งับปลายผ้าพันแผลที่หลุดออกมาจากขาหลังของตัวเอง มุมปากของเด็กหนุ่มยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

"วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ น้า…"

วาลเรียสคาดไม่ถึงว่า กับดักชิ้นนั้นจะถูกส่งมาถึงหน้าประตู

.

คล้อยหลังเด็กหนุ่มซึ่งเดินเข้าไปหยิบถังน้ำเตรียมเช็ดตัวให้เจ้าลูกหมา ฟิลันซึ่งวิ่งเล่นจนหมดแรงนอนหงายท้องอยู่บนพื้นเพียงลำพัง

ดวงตาสีเหลืองอ่อนสะท้อนเงาเมฆขาวที่ลอยผ่านไป ปลายหูทรงสามเหลี่ยมกระดิกน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวมาจากที่ไกลๆ

ลูกสุนัขยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวซึ่งโผล่พ้นริมฝีปาก

ก้อนขนสีเทาดำพลิกตัวขึ้นหมอบในท่าระวังภัย ปลายจมูกสีชมพูอ่อนขยับฟุดฟิดขณะฟิลันจ้องเขม็งไปยังสุดปลายถนน

ฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมาน้อยๆ เมื่ออุ้งเท้าแข็งตบลงบนพื้นถนนเป็นจังหวะ แม่ไก่สีเปรอะฝูงหนึ่งถูกต้อนให้เดินมาตามถนนสายเล็กช้าๆ คอยาวที่ปกคลุมไปด้วยขนขยับหันไปมาเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์นักล่าซึ่งอยู่เหนือกว่า

ลูกสุนัขยังคงหมอบนิ่งอยู่ที่เดิม แม้ว่าสายตาจะยังจ้องเขม็งไปยังฝูงแม่ไก่อวบอ้วนที่เดินตรงเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่มีท่าจะลุกขึ้นวิ่งไล่ตามสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเลยแม้แต่น้อย

ทางฝูงไก่กลับดูกระสับกระส่ายยิ่งกว่า แม่ไก่ที่ถูกต้อนให้เดินผ่านหน้าบ้านหลังเล็กนั้นเบียดตัวติดกันเป็นแพ แทบจะปีนขึ้นไปบนกำแพงบ้านฝั่งตรงข้ามเพื่อเลี่ยงให้ห่างจากรั้วไม้เตี้ยๆ แล้ว

ฟิลันแยกเขี้ยวใส่ชายที่เดินตามมาอย่างไร้เสียง ดวงตาสีเหลืองอ่อนวาวโรจน์ แต่ลูกสุนัขยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับรูปสลัก ทำให้คนที่มาด้วยเจตนาร้ายนั้นตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนการของตนอย่างรวดเร็ว

"ไป!"

ชายฉกรรจ์ตวาดเสียงดังพลางกวาดท่อนไม้ยาวไปด้านหน้า

ทันใดนั้น ฝูงแม่ไก่ที่ตื่นตกใจก็วิ่งกรูผ่านรั้วไม้เตี้ยๆ ที่กั้นเขตบ้านหลังน้อยเข้ามาทันที!