บทที่ 5 - อยากจับจังเลย
.
.
"อย่าเลือกกินสิ ไม่หิวหรือไง?"
วาลเรียสบ่นพึมพำขณะเลื่อนชามที่ใส่นมจนเต็มปริ่มไปหน้าเจ้าก้อนขน แต่อีกฝ่ายดันไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
ดวงตากลมโตสีเหลืองอ่อนดูโดดเด่นท่ามกลางกลุ่มขนสีเทาดำ แต่เจ้าลูกหมาที่หันหน้าหนีราวกับกำลังเมินอาหารที่ถูกส่งถึงปากแล้วนั้น กลับดูน่าหมั่นไส้เป็นอย่างยิ่งในสายตาของคนที่พยายามจะช่วยเหลือ
"ลูกหมาไม่กินนมเหรอ? ก็ไม่น่านะ…"
เด็กหนุ่มเอื้อมไปพลิกหน้าหนังสือที่เปิดค้างอยู่ไม่ไกล แต่ดูอย่างไรก็ไม่พบสาเหตุที่ลูกสัตว์ทำตัวดื้อดึงไม่ยอมกินอาหารอยู่แบบนี้
"เอ้า ไม่กินก็ไม่กิน งั้นลองไข่ดูไหม?"
วาลเรียสลุกขึ้นไปหยิบไข่ไก่ในตะกร้าขึ้นมาหนึ่งฟอง ไหนๆ แล้วก็ถือโอกาสทำอาหารเผื่อตัวเองไปด้วยเลยก็แล้วกัน
เจ้าลูกหมาจ้องมองแผ่นหลังของคนที่ผละออกไปตาไม่กะพริบ แม้ว่ามันจะสัมผัสเจตนามุ่งร้ายจากอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ยังเร็วเกินที่จะวางใจ
เด็กหนุ่มจัดการปิ้งหัวมันกับไข่ไปพร้อมๆ กันบนเตาหิน เขาแอบบิหัวมันที่เริ่มสุกมากินเสียครึ่งหนึ่งก่อนขณะจัดการกับเปลือกไข่ ก่อนจะแบ่งไข่แดงส่วนของตัวเองที่ยังไม่สุกดีขึ้นมาใส่จานก่อน
วาลเรียสโรยเกลือกับพริกไทยลงไปเล็กน้อยบนไข่ส่วนของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ยามเห็นเจ้าหมาเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับจมูกที่สูดดมฟุดฟิด ไม่เหลือคราบลูกสุนัขที่เบือนหน้าหนีอาหารเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อย
"ส่วนของนายรอเดี๋ยวนะ แป๊บเดียวก็ได้แล้ว"
เขาตั้งใจทอดไข่ส่วนของลูกหมาจนสุกทั่วถึงดีเพราะจำได้ว่าพวกอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบจะย่อยยากกว่า แต่ไม่คิดว่าความหวังดีจะถูกปฏิเสธ
ดวงตาสีเหลืองจ้องเขม็งไปทางจานที่มีกลิ่นหอมน่าอร่อยลอยฟุ้ง เมื่อเทียบกับไข่ที่สุกจนแทบแห้งแข็งในชามของตัวเองแล้ว เจ้าลูกหมาก็ยื่นอุ้งเท้าออกไปอีกฝั่งอย่างไม่ลังเล
"เอ้ย! ก็แบ่งให้เท่าๆ กันแล้ว จะมาแย่งของผมทำไมเนี่ย?"
วาลเรียสเลื่อนจานหนีอุ้งเท้าที่ควานซ้ายป่ายขวามาบนโต๊ะพลางส่งเสียงโวยวาย
"ไม่ได้ๆ นี่ชอบแบบไม่สุกเหมือนกันเหรอ? แต่อันนี้ให้ไม่ได้จริงๆ ผมปรุงไปแล้วนี่นา…"
แม้จะแอบหวั่นไหวไปวูบหนึ่งยามเจ้าก้อนขนช้อนตาขึ้นมองราวกับกำลังออดอ้อน แต่เขาจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด!
"งี้ด…"
ลูกสุนัขทำหูตกพลางลองส่งเสียงขอร้อง มันมองออกว่าคนตรงหน้ามีท่าทีเอ็นดูตัวเองอยู่มาก เลยลองทำตัวน่าสงสารเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยอมคล้อยตามเสียอย่างนั้น
"ไว้คราวหน้าผมจะทำแบบนี้ให้เหมือนกันดีไหม แต่ช่วงที่ยังป่วยอยู่อย่าเพิ่งกินของย่อยยากเลยนะ…"
วาลเรียสที่ใจเหลวไปครึ่งนึงแล้วพยายามฮึบเรียกสติตัวเองเอาไว้ มือข้างหนึ่งยื่นไปด้านหน้าราวกับจะเกี่ยวก้อยสัญญา
เจ้าลูกหมาเหลือบมองแวบหนึ่งเมื่อแน่ใจว่าลูกอ้อนของตัวเองใช้ไม่ได้ผล ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารส่วนของตัวเองโดยไม่สนใจคนตรงหน้าอีก
เจ้าตัวแสบนี่
เด็กหนุ่มแอบหัวเราะในใจยามเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปทันทีของอีกฝ่าย ดูเหมือนคราวนี้ตนจะเก็บเอาจอมเจ้าเล่ห์ตัวน้อยกลับมาเสียแล้ว
วาลเรียสไม่รังเกียจถ้ามันจะฉลาดแสนรู้ไปสักหน่อย ในป่าอันตรายขนาดนั้น ถ้ามันไม่รู้จักเอาตัวรอด น่ากลัวจะไม่สามารถประคองร่างที่บาดเจ็บหนักขนาดนี้มาจนเจอกับเขาได้
ดวงตาสีเขียวสะท้อนพวงหางเล็กๆ ที่แกว่งไปมาด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเด่นชัดประการหนึ่งผุดขึ้นในใจ
ต้องนุ่มนิ่มแน่ๆ …อยากจับจังเลย
.
ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น เรียกได้ว่า…ค่อนข้างจะโกลาหล
"อยู่นิ่งๆ สิ!"
วาลเรียสซึ่งคิดจะฉวยโอกาสจับลูกหมาที่เพิ่งกินอิ่มเช็ดตัวรู้สึกเสียใจภายหลัง เจ้าตัวเล็กนี่ไม่เห็นจะว่าง่ายหรือดิ้นน้อยลงตามที่ในหนังสือบอกเอาไว้เลย
"ฮื่ออ!"
ก้อนขนสีเทาดำตะกายขาสั้นๆ ไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ ยังดีที่มันไม่ได้ต่อต้านรุนแรงถึงขั้นหันมาแว้งกัดกัน แต่ปลายเล็บแหลมที่ขูดลงบนผิวโต๊ะเป็นทางยาวก็ทำให้เด็กหนุ่มแอบสูดปาก
"เบาๆ เบาๆ ! จะเสร็จแล้วจริงๆ เหลืออีกนิดเดียว!"
วาลเรียสรีบเช็ดตัว ทายา เปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้ลูกหมาที่ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือกันเท่าไหร่อย่างทุลักทุเล กว่าจะเสร็จเรียบร้อย ทั้งคนทั้งหมาก็หอบเหนื่อยไปตามๆ กัน
มองดูลูกหมาที่นอนเลียอุ้งเท้าทั้งที่ตาปรือใกล้ปิด ท่าทางสบายอกสบายใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี เด็กหนุ่มที่ยังต้องสะสางข้าวของซึ่งกองระเกะระกะไปทั่วก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาหน่อยๆ
กว่าเขาจะเก็บกวาดรอบๆ เสร็จ เจ้าลูกหมาก็ผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว
เจ้าตัวเล็กขดตัวเข้าหากันจนดูเหมือนก้อนขนกลมๆ เห็นแบบนั้นวาลเรียสก็อดอ้าปากหาวขึ้นมาบ้างไม่ได้
คืนก่อนลูกสุนัขเดี๋ยวไข้ขึ้นเดี๋ยวร้องคราง คนดูแลอย่างเขาเลยพลอยไม่ได้นอนดีๆ ไปด้วย ตอนนี้วาลเรียสเลยรู้สึกง่วงขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เมื่อเจ้าลูกหมายังไม่หายดี เด็กหนุ่มจึงเลือกเอนหลังนอนลงตรงโซฟาตัวยาว พอหัวสัมผัสเบาะได้ก็แทบจะหลับไปในทันที
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขหลับยาวจนถึงช่วงบ่ายด้วยความอ่อนเพลีย วาลเรียสหลับสนิทจนแทบจะไม่ฝันเลยด้วยซ้ำ มีเพียงหัวคิ้วที่เคลื่อนเข้าหากันน้อยๆ เมื่อคล้ายจะได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
หน้าต่างกึ่งโปร่งแสงกางออกตรงหน้าคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟาตัวยาว แสงสีแดงกะพริบถี่จนแทบจะย้อมพื้นหลังสีน้ำเงินจนหมดสิ้น
เด็กหนุ่มพลิกตัวไปอีกทางทั้งที่สองตายังปิดสนิท คล้ายจะหนีจากเสียงที่ดังตื๊ออยู่ข้างหูไม่ยอมเลิก ไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัวตื่นแม้แต่น้อย
ตัวอักษรยาวเหยียดเคลื่อนผ่านหน้าจอกึ่งโปร่งแสงเป็นแถวยาว ร้อยเรียงต่อกันราวกับไม่มีที่สิ้นสุดราวกับกำลังเรียกร้องความสนใจจากคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา
วาลเรียสสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบสายหนึ่งแทรกแทงเข้ามาในศีรษะ
"...รับ…คำสั่ง…"
ดวงตาสีเขียวกะพริบถี่ขณะพยายามประมวลผลสิ่งที่เกินขึ้นตรงหน้า เด็กหนุ่มเบิกตามองหน้าต่างสถานะซึ่งปรากฏออกมาทั้งที่ไม่ได้เรียกใช้อย่างตกตะลึง
เขาถึงกับคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะยามเห็นแสงสีแดงที่กะพริบไหวอยู่ตรงหน้า พร้อมกับข้อความแจ้งเตือนภารกิจซึ่งเด้งขึ้นมาอย่างผิดวิสัย
[ภารกิจ : กำจัด 'สัตว์อสูรดุร้าย' ซึ่งปรากฏตัวขึ้นในเขตหมู่บ้าน]
[ประเภท : ด่วนพิเศษ, เฉพาะเจาะจง]
[รางวัล : ***** เหรียญเงิน, สกิล***, ???]
.
.
.
[ผู้ตั้งภารกิจ : ระบบ]
เทียบกับของรางวัลที่น่าสงสัยและรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่เขาลากสายตาผ่านไปเร็วๆ นั้น ชื่อของผู้ตั้งภารกิจกลับทำให้วาลเรียสตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างแท้จริง
ต่างจากภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งทุกคนล้วนเคยเป็นผู้ตั้งและรับด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน เควสที่ถูกส่งมาจากระบบโดยตรงนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยการทำภารกิจ แม้แต่หน้าต่างแสดงสถานะที่ต่ำเตี้ยจนน่าอดสูใจของเขานี้ ล้วนอยู่ในการควบคุมของ 'ระบบ' ตัวตนซึ่งอยู่เหนือกฏเกณฑ์และความเข้าใจของมนุษย์
เหล่าผู้ศรัทธาเชื่อว่า ทุกสิ่งล้วนถูกสร้างขึ้นและขับเคลื่อนไปตาม 'เจตจำนงของระบบ' ซึ่งถูกส่งผ่านมาในรูปแบบของ 'เควส' หรือภารกิจซึ่งมอบหมายให้กับ 'ผู้ถูกเลือก' นั่นเอง
วาลเรียส —เด็กหนุ่มชาวไร่เลเวล 0 ซึ่งไม่เคยก้าวออกไปไกลกว่าชายป่าของหมู่บ้าน— กำลังรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่เสียงอันไร้ที่มาที่ไปกำลังดังอยู่ในหัวของเขาโดยตรง
เสียงของระบบนั้นไม่ใช่หญิงหรือชาย ไม่อ่อนเยาว์และไม่แก่ชรา ซ้ำยังไม่สามารถจับร่องรอยของอารมณ์ใดๆ ได้เลยแม้เพียงนิด
"...ยืนยัน…ภารกิจ : กำจัด 'สัตว์อสูรดุร้าย' ซึ่งปรากฏตัวขึ้นในเขตหมู่บ้าน…"
ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เสียงนั้นกำลังเอ่ยทวนภารกิจที่ปรากฏบนหน้าต่างกึ่งโปร่งแสงอย่างเนิบช้า ราวกับกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มอยากจะหลับตาหนีความจริงแล้วเหมือนกัน
ผู้ถูกเลือกอะไร เจตจำนงของระบบอะไร เขาแค่อยากทำไร่ใช้ชีวิตสงบสุขไปวันๆ เท่านั้น เรื่องเสี่ยงชีวิตอย่างการออกไปล่าสัตว์อสูรเก็บค่าประสบการณ์ แลกของรางวัลมหาศาลอะไรนั่นเขาไม่เอา!
ราวกับระบบที่อยู่เบื้องบนเห็นวาลเรียสซึ่งกำลังหลับตาสั่นหัวดิ๊กๆ ด้วยท่าทีไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ต่างจากเหล่าผู้ศรัทธาซึ่งพร้อมจะคุกเข่ารับคำสั่งโดยไม่หยุดคิด เสียงที่ให้ความรู้สึกแข็งกระด้างอย่างประหลาดนั้นถึงหยุดไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มหรี่ตาน้อยๆ ขณะตัวอักษรบนหน้าต่างภารกิจเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ความรู้สึกปวดหนึบแล่นมาจากด้านหลังศีรษะราวกับกำลังแบกรับภาระในการเชื่อมต่อกับตัวตนอันยิ่งใหญ่ ขณะที่ระบบจะค่อยๆ เอ่ยคำอีกครั้ง
"ภารกิจ : กำจัด 'ตัวอ่อนของสัตว์อสูรที่บาดเจ็บ' ในเขตหมู่บ้าน ก่อนที่มันจะเติบโตไปเป็น 'สัตว์อสูรดุร้าย' "
มือที่ยกขึ้นคลึงข้างศีรษะจนเส้นผมสีทองยุ่งเหยิงชะงักค้างไปกลางคัน วาลเรียสเบิกตาขึ้นน้อยๆ คล้ายเริ่มตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
ดวงตาสีเขียวตวัดไปทางกองผ้าที่ปูรองอยู่บนโต๊ะ เจ้าก้อนขนยังคงขดตัวอยู่ที่เดิม มันหายใจแผ่วเบา หลับสนิท และบาดเจ็บ
ในบ้านของเขาที่แม้จะอยู่จนเกือบสุดชายขอบ แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในเขตหมู่บ้าน
เด็กหนุ่มเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทีละน้อย ขณะในหัวยังคงปวดระบมและอัดแน่นไปด้วยเสียงที่ไม่ใช่ของตนเอง
สัตว์อสูรมีพลังเหนือล้ำและความฉลาดเทียบเท่ากับมนุษย์ ต่างจากสัตว์ทั่วๆ ไป : ซึ่งเขาคิดเอาเองว่ามันเป็นในตอนที่พบกัน
แม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเพียงตัวอ่อนที่ไม่ต่างไปจากลูกสัตว์ธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง แต่ความเสียหายยามสัตว์อสูรโตเต็มวัยเข้าโจมตีผู้คนนั้นไม่อาจประเมินได้
วาลเรียสหันไปมองเจ้าหมาที่ยังคงนอนหลับด้วยท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
ลูกหมาตัวนี้เนี่ยนะ…
เด็กหนุ่มครางในลำคอเบาๆ เมื่อในหัวยุ่งเหยิงถึงขีดสุด ภาพเบื้องหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนขณะที่ทั้งร่างเอนวูบ
วาลเรียสหงายหลังล้มกลับไปบนโซฟาด้วยสติที่ดับลงกลางคัน เป็นลมหนีคำสั่งอันยิ่งใหญ่ที่ระบบประทานมาให้ไปทั้งอย่างนั้นเอง