บทที่ 3 - สิ่งที่พบตรงชายป่า
.
.
เสียงนกร้องดังมาจากนอกบานหน้าต่าง เด็กหนุ่มที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาบนโซฟาตัวเก่าเด้งตัวขึ้นทันที เมื่อเห้นดวงอาทิตย์สีขาวแขวนอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า
"ตายละสายแล้ว! ขอโทษๆ !"
วาลเรียสพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ยามได้ยินเสียงตีปีกอย่างตื่นตระหนกดังแว่วมาจากหลังบ้าน
ฝูงนกที่ชอบมาร้องเพลงอยู่ในสวนด้านหลังดีดตัวหายไปหมดหลังได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เหลือเพียงปุยขนสีขาวที่ปลิวว่อนไปตามสายลมเท่านั้น
เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ กับตนเองสองสามคำ รู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ทำให้พวกก้อนขนตกใจเตลิดหนีไป แต่เมื่อมองดูแสงแดดอ่อนๆ ที่เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นทุกขณะ เขาก็รีบเริ่มงานในส่วนของวันนี้ทันที
นอกจากผักใบเขียวและหัวมันอีกสามแปลงซึ่งใกล้จะโตเต็มที่แล้ว ด้านหลังยังมีที่ว่างอีกสองแปลงที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวไปไม่กี่วันก่อน ซึ่งวาลเรียสตั้งใจเอาไว้ว่าจะลองปลูกถั่วชนิดใหม่ดู
เด็กหนุ่มหยิบจอบอันใหญ่ที่พิงไว้ตรงผนังบ้าน ตั้งใจว่าจะรีบจัดการงานกลางแจ้งให้เรียบร้อยในช่วงเช้า
แปลงดินสองแปลงขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป หญ้ากับวัชพืชที่เริ่มขึ้นแซมก็ยังมีเพียงเล็กน้อย หลังขุดพลิกหน้าดินแล้วโรยผงถ่านปรับสภาพให้ทั่วๆ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
แน่นอนว่าการยืนพูดไม่เหมือนตอนลงแรง หลังพลิกหน้าดินไปได้แค่ครึ่งแปลง วาลเรียสก็ต้องยืนพักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง
หลังมือสั่นๆ ยกขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งกำลังตะลุยขุดดินด้วยสองแขนราวกับตัวตุ่นยักษ์อย่างอิจฉาหน่อยๆ
นอกจากจะไม่มีสกิลที่สามารถช่วยผ่อนแรงในการทำงานแล้ว สเตตัสของเลเวล 0 ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสมอต้นเสมอปลายนี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของเขาดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เอาวะ ฝั่งนั้นสิบสองแปลง ฝั่งนี้แค่สองแปลง ไหนมาลองแข่งกันดูสักตั้ง!
วาลเรียสถกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทีฮึกเหิม ก่อนจะยกจอบขึ้นท้าทายคู่ต่อสู้ที่กำลังตั้งใจทำงานอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ไกลๆ
.
เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามกำลังคลุกปุ๋ยปรับสภาพดินก่อนลงกล้าหัวมัน ในขณะที่วาลเรียสนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าอย่างหมดสภาพ
"อะ ฮะๆ แค่ก!"
เด็กหนุ่มที่นอนหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียวสำลักกะทันหันเมื่อพบว่าในลำคอแห้งผาก ต่างจากเสื้อผ้าบนตัวที่เปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด
ดวงตาสีเขียวสะท้อนเงาเมฆขาวที่ลอยผ่านไปช้าๆ แม้จะแพ้ให้คู่ต่อสู้ที่ตะลุยขุดดินอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบไม่เห็นฝุ่น แต่อย่างน้อยงานของเขาก็เสร็จสิ้นตามที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรก
แสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอยสูงขึ้นบนท้องฟ้าส่องลงมายังแปลงเล็กๆ ที่ถูกพลิกหน้าดินแล้วเรียบร้อย วาลเรียสใช้จอบคู่กายยันตัวลุกขึ้นจากพื้น ลากร่างหมดเรีี่ยวแรงไปทางบ่อน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
รอกเก่าๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดยามถูกเสียดสีด้วยเส้นเชือก เด็กหนุ่มสาวเอาถังใบเล็กขึ้นมาจากก้นบ่อ น้ำจากบ่อหินที่ก่อขึ้นอย่างเรียบง่ายนอกจากจะใสแล้วยังเย็นชื่นใจ เขาดื่มดับกระหายไปหลายอึกก่อนจะแบกถังใส่น้ำสะอาดกลับบ้าน
หลังจัดการมื้อเที่ยงซึ่งเป็นเพียงหัวมันที่ยกขึ้นปิ้งบนเตาหินอย่างขอไปที เด็กหนุ่มหยิบเมล็ดสีดำทรงรีที่ตากแดดทิ้งไว้ข้ามคืนขึ้นมาดู คัดเอาแต่เมล็ดที่ขอบเปลือกเผยอออกมาเล็กน้อยจนเห็นเนื้อในสีขาวมาพรมน้ำให้พอชุ่ม
เมล็ดถั่วที่เปลือกอ้าออกมานั้นดูดซับน้ำเข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังพรมน้ำซ้ำไปมาหลายครั้งจนเมล็ดสีดำกองนั้นดูพองกลมขึ้นไม่น้อย วาลเรียสจึงเรียกหน้าต่างสถานะขึ้นมาเพื่อเปิดใช้สกิลประเมิน
ภาพตรงหน้ามืดลงนิดหน่อย ในขณะที่กองเมล็ดพันธุ์ตรงหน้าสะท้อนสีสันที่แตกต่างกันออกไป เด็กหนุ่มค่อยๆ คัดเอาถั่วที่เปล่งแสงอ่อนจางกว่าเมล็ดอื่นใส่ชามใบเล็ก เหลือไว้เพียงเมล็ดที่เหลือบสีจัดกว่าไปลองเพาะในถาดที่เตรียมไว้
แสงแดดในยามบ่ายแก่แผดเผาพื้นดินเบื้องล่างอย่างที่คาดเอาไว้ จนเขารู้สึกดีใจที่จัดการงานกลางแจ้งของวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
สองมือเกลี่ยดินผสมกับเศษใบไม้บนถาดตื้นๆ ที่มีรอยบิ่นตรงขอบ วาลเรียสกลบเมล็ดถั่วสีดำลงในหลุมดินตื้นๆ ก่อนจะใช้ผ้าคลุมปิดไว้ จบด้วยพรมน้ำด้านบนอีกนิดหน่อยเพื่อรักษาความชุ่มชื้น
"อื้ม…เอาล่ะ!"
เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นเหนือหัวในท่าบิดขี้เกียจ ดวงตาสีเขียวกวาดมองไปรอบลานบ้านที่ว่างเปล่า งานไหนที่ควรทำก็เสร็จสิ้นหมดแล้ว สิ่งไหนที่ควรจัดเก็บก็ล้วนวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
รอยยิ้มซุกซนสมวัยพลันปรากฏขึ้นที่ข้างแก้ม วาลเรียสคว้าถุงผ้าเปล่าๆ จากกองของที่วางทิ้งไว้ตรงมุมห้องได้ ก็สาวเท้าไปบนถนนที่ทอดยาวถึงหน้าบ้านตนทันที
ต่างจากคนส่วนใหญ่ซึ่งมักไปรวมตัวกันที่ใจกลางหมู่บ้าน เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามอย่างไม่ลังเล
พื้นดินที่ถูกถางไว้เป็นทางเดินเล็กแคบลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีคนดูแล หญ้าป่าและพืชล้มลุกต้นเล็กๆ งอกเงยขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ จนวาลเรียสต้องเหยียบผ่านบางส่วนไปยามเข้าใกล้แนวป่าใหญ่
ป่าที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้เป็นป่าโปร่ง แม้จะไม่มีการถากถางทางก็ยังพอจะหาทางเดินเข้าไปด้านในได้ไม่ยาก โดยเฉพาะทางที่เด็กหนุ่มเคยมาเป็นประจำ
สองมือแหวกผ่านพุ่มไม้ที่งอกกิ่งชี้ไปทุกทิศทาง เสียงของนกปุยฝ้ายที่ร้องเรียกกันอยู่บนยอดไม้ทำให้เขาวางใจว่ารอบข้างนี้ไม่มีอันตรายใดซุกซ่อนอยู่
แม้จะเป็นเพียงชายขอบของป่าที่ไม่เคยมีมอนสเตอร์ดุร้ายออกมาเพ่นพ่าน แต่กับเหล่าชาวบ้านที่มีระดับเลเวลเฉลี่ยไม่เกิน 3 การกระทำของวาลเรียสนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าใจกล้าบ้าบิ่น
เด็กหนุ่มเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างพึงพอใจ กลิ่นอายของพืชพรรณและความเย็นน้อยๆ ที่เข้ามารายล้อมยามก้าวเข้ามาในแนวป่าเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เขาติดใจจนมักหลบมาพักผ่อนหลังทำงานเสร็จเสมอ
นอกจากบรรยากาศและความเงียบสงบแล้ว สิ่งที่ทำให้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นทอประกายวาววับขึ้นมาได้ ก็คือพืชพันธุ์ชนิดต่างๆ ที่งอกเงยขึ้นในป่าอย่างอิสระนั่นเอง
วาลเรียสก้มลงพิจารณาโคนต้นไม้ที่เขามักมาเอนหลังนอนเล่น ไม่ได้มาเพียงไม่กี่วัน กลุ่มเห็ดสีสันสดใสก็แทงยอดผลิดอกบานสะพรั่งกันเสียแล้ว
ร่างเพรียวทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านิ่ม มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคางในท่านอนคว่ำ อีกมือหยิบกิ่งไม้ขึ้นจิ้มดอกเห็ดสีสันประหลาดตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ
"โอ๊ะ!?"
วาลเรียสอุทานสั้นๆ เมื่อเห็นว่าเห็ดดอกที่เขากระหน่ำจิ้มไปด้วยความสงสัยนั้นเริ่มสั่นระริก เขากลิ้งตัวหลบอย่างทุลักทุเลพลางโยนกิ่งไม้ทิ้ง เสียงดังป็อบเบาๆ ดังขึ้นด้านหลังขณะเด็กหนุ่มกำลังตะกายหนีด้วยท่าทีดูไม่จืด
หลังแน่ใจแล้วว่าเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลงแล้ว วาลเรียสจึงค่อยๆ เดินกลับไปดูเห็ดดอกนั้นด้วยความสงสัย
"แบบนี้ก็กินไม่ได้น่ะสิ?"
น้ำเสียงของเขาค่อนไปทางเสียดาย ยามเห็นเห็ดที่เปลี่ยนสีไปนั้นพลิกส่วนดอกด้านในออกมา เผยให้เห็นแนวหนามแหลมคมเรียงรายราวกับตัวเม่นพองขน
"ดีนะที่ระวังไว้ก่อน อันตรายจริงๆ …"
เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งบนพื้นหญ้าอย่างยอมรับชะตากรรม เลิกล้มความคิดจะไปแย่งชิงที่นั่งตรงโคนต้นไม้กับเห็ดที่พองหนามสู้กลับได้กลุ่มนี้
ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่ามีวิธีถอนเห็ดหนามพวกนี้ไปปลูกตรงรั้วบ้านได้บ้างหรือไม่ พุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลก็ขยับไหวอย่างผิดปกติ
วาลเรียสเกร็งตัวขึ้นทันที
เสียงนกร้องหายไปจากบนยอดไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นช้าๆ อย่างระมัดระวัง ทั้งที่ยังจ้องเขม็งไปด้านหน้าโดยไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ชาวบ้านเลเวล 0 ที่อาจจะโดนแม้แต่เห็ดดอกเล็กๆ ทำร้ายเอาได้ ถ้าเจอสัตว์ใหญ่หรือมอนสเตอร์ดุร้ายที่ซ่อนอยู่ในป่าเจอตัวเข้า เขาคงทำได้แต่ภาวนาให้มันอิ่มอยู่เท่านั้น
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเร่งฝีเท้าโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต เสียงร้องแผ่วเบากลับดังออกมาจากพุ่มไม้ที่ขยับไหวนั้นเสียก่อน
วาลเรียสชะงัก
เสียงนั้นไม่ใช่การขู่คำรามอย่างมุ่งร้าย กลับกัน เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
อ่อนล้าโรยแรงจนเกือบจะน่าสงสาร
เสียงครางเบาๆ นั้นทำให้เท้าที่ยื่นออกไปครึ่งก้าวแล้วถูกชักกลับ เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ย่องไปทางต้นเสียงอย่างระมัดระวัง
แม้จะกังวลอยู่บ้างว่าอาจเป็นกับดัก แต่คิดดูอีกที ชาวบ้านเลเวล 0 สกิลกากๆ อย่างเขามีค่าพอจะให้วางแผนซับซ้อนเช่นนั้นด้วยหรือ
แค่โจมตีเข้ามาตรงๆ เขาก็หนีไม่พ้นแล้ว
วาลเรียสกลืนน้ำลายอึกหนึ่งขณะเอื้อมไปด้านหน้า สองมือแหวกกิ่งไม้ที่พันกันแน่นออกจากกัน แทบจะสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ในช่องอกของตนเอง
ดวงตาสีเขียวกวาดมองอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพบกับ…
"...ลูกหมา?"
ก้อนขนสีกระดำกระด่างนอนขดอยู่บนพื้นหญ้านิ่ม ขนสั้นๆ มีรอยโคลนและคราบฝุ่นดินสกปรกเปรอะอยู่จนแทบจับกันเป็นก้อน ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ แต่ปลายหูทรงสามเหลี่ยมตั้งและพวงหางที่ตกลู่อยู่ข้างลำตัวก็บ่งบอกเผ่าพันธุ์ของมันได้อย่างชัดเจน
วาลเรียสลังเล
ตั้งแต่เกิดมา แม้จะเคยเห็นม้าหกขาที่สูงใหญ่ท่วมหัวตนมาแล้ว แต่เขายังไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่าแม่ไก่เลยแม้แต่น้อย
ไม่ตั้องพูดถึงพวกที่เป็นนักล่าโดยสายเลือดอย่างสุนัข ถึงจะเคยได้ยินว่าในบางพื้นที่สามารถนำมาเลี้ยงไว้ดูเล่นหรือใช้งานในบ้านได้ แต่กับลูกหมาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปตัวนี้…
เด็กหนุ่มเบิกตาขึ้นน้อยๆ ยามเห็นของเหลวสีสดที่ไหลหยดลงมาตามใบหญ้านิ่ม
เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ เขาถึงเห็นร่องรอยสีเข้มที่ลากตามหลังลูกหมาตัวนี้มาเป็นทางยาว ไม่รู้ว่ามันเดินซมซานมาไกลแค่ไหนกันแน่
หลักฐานของการดิ้นรนเอาชีวิตรอดเช่นนี้ วาลเรียสไม่ใจแข็งพอจะทำเป็นมองข้ามไป
เด็กหนุ่มคลี่ถุงผ้าที่พกติดมือมา ค่อยๆ ห่อตัวลูกหมาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
"...เจ็บเหรอ? ขอโทษทีๆ พวกเรารีบไปกันเถอะ"
วาลเรียสพึมพำคำที่ไม่รู้ว่ากำลังปลอบเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนหรือตนเองกันแน่
ผ้าเนื้อหยาบคงจะให้สัมผัสที่ไม่ดีเท่าไหร่ ลูกหมาบาดเจ็บจึงดิ้นรนน้อยๆ ทั้งที่ยังไม่ลืมตา ก่อนจะค่อยๆ สงบลงยามสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ปกคลุมรอบกาย
.
เด็กหนุ่มกวาดข้าวของลงจากโต๊ะ หลังหมุนไปมาในบ้านอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หาถังน้ำสะอาดกับผ้านิ่มๆ มาได้สองสามผืน
เจ้าลูกหมาสกปรกเกินไป แต่บาดแผลที่ยังไม่รู้ขนาดแน่ชัดทำให้เขาไม่กล้าเอาตัวมันลงไปแช่น้ำตรงๆ ทางเลือกที่เหลืออยู่เลยมีแค่การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดขนที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นจนกว่าจะสะอาดเท่านั้น
วาลเรียสบิดผ้าในมือให้พอหมาด เขาย่นจมูกเล็กน้อยยามได้กลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาขณะเช็ดตัวให้เจ้าหมา ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะสางเอาดินโคลนทั้งหมดออกมาจากกลุ่มขนสังกะตังเหล่านั้นได้
หลังเปลี่ยนผ้าสกปรกไปสองผืน เด็กหนุ่มถึงเริ่มเห็นแผลที่ซ่อนอยู่ใต้กลุ่มขนหนาๆ เหล่านั้น รอยเล็กน้อยบางส่วนยังพอมองข้ามไปได้ ยกเว้นแผลฉีกขาดขนาดใหญ่ตรงกลางลำตัวและขาหลังด้านขวาของมัน
รอยบาดและหยดเลือดที่ยังไหลซึมออกมาจากปากแผลน้อยๆ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหมาซึ่งซมซานมาไกลหมดสติลงตรงชายป่า
วาลเรียสกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างลำบากใจ แผลพวกนี้ดูสาหัสเกินไปแล้ว ยิ่งตอนที่มันประทับอยู่บนร่างเล็กๆ ของเจ้าก้อนขน เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี
เด็กหนุ่มคุ้ยหาผ้าสะอาดอีกผืนมาจากในตู้ หลังจากพันรอบบาดยาวเหล่านั้นแน่นๆ เพื่อห้ามเลือดไว้ชั่วคราว วาลเรียสก็เร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปที่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านทันที