Chereads / ลูกหมาตัวนั้น...คือ Last Boss งั้นเหรอครับ!? / Chapter 3 - บทที่ 2 - วันอันแสนสงบสุข

Chapter 3 - บทที่ 2 - วันอันแสนสงบสุข

บทที่ 2 - วันอันแสนสงบสุข

.

.

วาลเรียสสะดุ้งเฮือก เขาดีดตัวลุกขึ้นยามเสียงตวาดดังมาจากด้านหลัง เช่นเดียวกับเหล่าคนงานที่เงียบลงทันทียามได้ยินเสียงของผู้เป็นนาย

พ่อค้าวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อผ้าตัดเย็บหรูหราหรี่ตามองคนตรงหน้า ดวงตาใต้เลนส์แว่นขาเดียวกราดลงบนร่างเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะออกปากไล่อย่างไม่เกรงใจ

"ไปๆ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก! โดยเฉพาะเด็กสกปรกที่ไม่รู้ว่าจะทำตัวมือไวขึ้นมาตอนไหน…"

พ่อค้าเร่เบนสายตาไปยังขบวนเกวียนและคลังเก็บสินค้าซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ขณะที่คนถูกไล่ก้มหน้างุด เตรียมจะสาวเท้าจากไปทันที

ท่าทางของเด็กหนุ่มในชุดเก่าๆ ที่มีร่องรอยของการซ่อมแซมอย่างเอาใจใส่นั้นดูน่าสงสารเกินไป จนมีคนงานบางส่วนยอมเอ่ยปากแทนให้

"เจ้าหนูนี่เป็นเด็กดีมากครับนาย พวกผมก็ช่วยกันดูอยู่ตลอด ถ้ายังไง…"

"หืม?"

พ่อค้าเร่หันมามองคนที่ก้มหัวยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าตนอีกครั้ง ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาสองสามคำ

"ไอ้หนูเลเวล 0 เนี่ยน่ะเหรอ? ระวังอย่าให้มันสะดุดรากไม้ตายตั้งแต่ก้าวออกจากหมู่บ้านเถอะ…ให้ตายสิ พวกชาวบ้านทางใต้มันก็กระจอกซะจนน่าหัวเราะ…"

ร่างของพ่อค้าวัยกลางคนหันหลังเดินจากไปราวกับพบสินค้าที่ไม่ควรค่าแม้แต่การจ้องมองนานๆ ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ทำให้เหล่าผู้คนที่เกิดในแดนใต้รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมา

"อ้าว ไอ้x่านี่แม่ง…"

คนงานชายเลือดร้อนเผลอถกแขนเสื้อขึ้นอย่างลืมตัว จนเพื่อนที่อยู่ด้านข้างรั้งตัวปิดปากเอาไว้แทบไม่ทัน

"อ๋า? ไม่เป็นไรหรอกครับๆ อันที่จริงคุณพ่อค้าเขาก็พูดถูกแหล่ะครับ ผมอ่อนจริงๆ นี่นา ฮ่าๆ …"

วาลเรียสหัวเราะแห้งๆ ขณะพยายามไกล่เกลี่ยสถานการณ์ตรงหน้า

เมื่อคนโดนด่ายังหัวเราะได้ เหล่าคนงานที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนก็พลันรู้สึกอ่อนใจ

"เจ้าเด็กคนนี้นี่…เฮ้อ มานี่ๆๆ "

เด็กหนุ่มที่เตรียมสาวเท้าจากไปตั้งแต่โดนเอ่ยไล่ วกกลับมาหาคนที่กวักมือเรียกยิกๆ อย่างว่าง่าย จนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีทองโดนขยำขยี้ด้วยความเอ็นดูอีกหน

"อ่ะนี่ของฝาก! ไม่รู้ว่าทำจากอะไร แต่หวานเจี๊ยบถึงใจมากขอบอก!"

"ขอบคุณครับ!"

วาลเรียสแบมือรับลูกอมที่ถูกยื่นมาให้ด้วยดวงตาแวววาว สีหน้าไร้ร่องรอยโศกสลดอย่างที่คนอายุมากกว่านึกกังวล

"เจ้าดูนี่ เครื่องกรองพกพาเวลาเดินทางไกลๆ แล้วหาแหล่งน้ำสะอาดไม่ได้ อันนี้ใช้มานานจนตกรุ่นแถมยังรวนๆ หน่อย แต่ยังพอเอาไปดูเล่นได้…"

"หาที่ทิ้งขยะอยู่หรือไง? ไม่ต้องไปสนนะเจ้าหนู นี่สินค้าคัดทิ้งของรอบนี้ ฉันเก็บไว้ให้…"

"แล้วของแกมันต่างกับฉันตรงไหนวะ!?"

"เอ้าไอ้นี่ ตรงที่มันไม่ใช่ซากของพังๆ ไงเล่า…"

ท่ามกลางเหล่าคนงานที่แย่งกันให้ของเล็กๆ น้อยๆ ปลอบใจเด็กที่พวกตนเอ็นดู วาลเรียสก้มหัวขอบคุณด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

"ผมชอบทุกชิ้นเลยครับ! ขอบคุณทุกคนมากๆ เลย!"

.

หลังบอกลาเหล่าคนงานที่ต้องกลับไปขนของหลังหมดเวลาพัก เด็กหนุ่มหอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองแขน มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของตนเองอย่างไม่รีบร้อน

"ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ? ขนของอะไรมาเยอะแยะล่ะนั่น…"

วาลเรียสยิ้มตอบชาวบ้านที่ทักขึ้นด้วยสีหน้าฉงนใจ

"ไปเดินเล่นที่ตลาดมานิดหน่อยครับ ได้ของน่าสนใจมาเยอะแยะเลย!"

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า ท่าทางมีความสุขจนคนเห็นอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

"งั้นเหรอ กลับดีๆ ล่ะ!"

วาลเรียสก้มศีรษะน้อยๆ แทนคำขอบคุณ

ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน เงาที่ทอดยาวลงบนพื้นดินยืดขยายออกไปไกลกว่าทุกครั้ง เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าผ่านถนนเล็กๆ ที่ตัดผ่านเขตไร่นา มุ่งหน้าไปจนเกือบจะถึงชายป่าถึงเริ่มผ่อนแรงลง

วาลเรียสพ่นลมหายใจเบาๆ ขณะกวาดปลายเท้าไปข้างหน้า ประตูรั้วไม้เตี้ยๆ ซึ่งมีหน้าที่แค่เป็นเส้นแบ่งเขตที่ดินแง้มเปิดออกตามแรง แกว่งไปมาเบาๆ ขณะเด็กหนุ่มเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ

ภายในบ้านหลังเล็กแม้จะดูเก่าไปบ้าง แต่ก็มีเครื่องเรือนค่อนข้างครบครัน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ยกเว้นมุมหนึ่งที่ยุ่งเหยิงจนดูสะดุดตา

วาลเรียสวางถุงข้าวของที่เพิ่งได้รับมาวันนี้ลงด้านข้าง ขยายขอบเขตของกองสิ่งของที่วางระเกะระกะไปทั่วนั้นเพิ่มขึ้นอีกนิด

เขาเหยียดแขนที่เมื่อยล้าหน่อยๆ ไปมาเบาๆ ก่อนจะก้าวไปทางห้องครัวพร้อมกับตะกร้าไข่ในมือ

แม้บางครั้งจะพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง แต่คุณป้าเจ้าของร้านอาหารก็เป็นอีกคนที่เอ็นดูเด็กหนุ่มซึ่งอาศัยอยู่คนเดียวผู้นี้ไม่น้อย

"โอ๊ะ? ให้มาเยอะขนาดนี้เชียว เดี๋ยวต้องใส่ผักคืนไปให้พูนๆ หน่อย…"

วาลเรียสพึมพำกับตนเองเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใส่ไข่ไก่มาในตะกร้าจนแน่นเอี๊ยด ขนาดของแต่ละฟองก็ถูกคัดมาอย่างเอาใจใส่ เรียกได้ว่าถ้าเอาไปขายคงจะได้มาหลายเหรียญเงินเลยทีเดียว

มุมปากบางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เด็กหนุ่มหยิบไข่กลมเกลี้ยงเรียงลงบนตะกร้าสานซึ่งบุไว้ด้วยเศษผ้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางตะกร้าที่หยิบยืมมาลงบนมุมหนึ่งของโต๊ะกินข้าว

วาลเรียสดึงสลักเพื่อเปิดการทำงานของเตาติดทันใจ แม้เครื่องที่เขามีอยู่นี้จะเก่าจนทำงานได้ไม่สมชื่อเรียกนัก แต่แท่นหินที่ร้อนขึ้นทีละน้อยก็เพียงพอต่อการปรุงอาหารง่ายๆ สักจานสองจานแล้ว

หม้อเล็กที่ใส่น้ำจนปริ่มถูกยกขึ้นวางบนเตาก่อน หลังโยนลูกพรุนที่เบาโหวงลงไปก่อนเพื่อเสริมรสชาติ เขาก็เด็ดผักแห้งที่แขวนอยู่ข้างหน้าต่างห้องครัวลงไปนิดหน่อย ตามด้วยหัวมันกรอบและเห็ดหวานที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

หลังปิดฝาให้ส่วนผสมในหม้อได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง เด็กหนุ่มก็หยิบไข่ไก่ขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาหนึ่งฟอง หลังกลิ้งไปมาบนเตาร้อนๆ ครู่หนึ่ง เปลือกที่เคยเป็นสีขาวสะอาดก็เริ่มปรากฎรอยแตกขึ้นมารางๆ

เขาใช้ด้านแหลมของปลายตะหลิวเคาะลงเบาๆ ตามรอยแตกเหล่านั้น กลิ้งฟองไข่กลมๆ ไปมาพลางกะเทาะเปลือกแข็งออกอย่างระมัดระวัง

ไข่ดิบที่ถูกลอกเปลือกออกแล้วมีหน้าตาคล้ายกับถุงน้ำใสๆ ที่ห่อหุ้มไข่แดงเม็ดเล็กๆ อยู่ด้านใน ไข่แดงเม็ดกลมเหมือนลูกปัดร่วงกราวลงในชามใบเล็กหลังใช้ปลายมีดเฉือนผ่านถุงที่ห่อหุ้มไว้ออก วาลเรียสกรีดถุงหุ้มสีขาวให้คลี่ออกเป็นแผ่นบางๆ แล้ววางลงข้างหม้อที่เริ่มเดือดปุด โรยเกลือลงไปเล็กน้อย ก่อนจะเทไข่แดงตามไป

กลิ่นหอมของอาหารที่ปรุงขึ้นใหม่ๆ เริ่มลอยมาแตะปลายจมูก เขาคนไข่แดงที่เริ่มจับตัวเป็นครีมข้นน้อยๆ แล้วใช้ตะหลิวช้อนใส่จานใบเล็ก ไข่ไก่ที่ยังไม่สุกดีจะมีกลิ่นคาวอยู่บ้าง แต่วาลเรียสชอบเนื้อสัมผัสที่ยังนิ่มๆ แบบนี้มากกว่า

เด็กหนุ่มดับเตาไฟเมื่อไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากใต้ฝาหม้ออีกระลอก หันไปจัดจานตั้งโต๊ะจนเรียบร้อย ค่อยกลับมาตักซุปที่ถูกอบทิ้งไว้จนน้ำงวดเข้าเนื้อกำลังดี

"ทานละนะครับ"

วาลเรียสถูฝ่ามือไปมาเบาๆ ด้วยท่าทีพึงพอใจ ก่อนจะยกช้อนขึ้นจัดการอาหารเย็นของวันนี้อย่างไม่รีรอ

หัวมันกรอบถูกต้มจนเนื้อเปื่อยเละหน่อยๆ เมื่อกัดผ่านผิวที่แข็งนิดๆ สมชื่อแล้ว เนื้อด้านในที่นุ่มนิ่มและดูดซับรสชาติของวัตถุดิบอื่นๆ เข้ามาเต็มที่ ก็ทำให้ดวงตาสีเขียวหรี่ลงน้อยๆ อย่างถูกใจ

น้ำแกงที่ต้มจนงวดลงเหลือครึ่งหม้อมีรสชาติหวานนำจากเห็ดที่ใส่ลงไป ตัดรสเค็มและกลิ่นหอมจากใบผักที่ตากไว้จนแห้งกรอบ เนื้อเห็ดให้สัมผัสหนึบเหนียวนิดๆ ยามกัดลงไป เช่นเดียวกับใบผักสีเข้มที่นอนยุ่ยอยู่ก้นชาม

เด็กหนุ่มหันมาละเลียดไข่ทอดที่ไม่มีโอกาสได้กินบ่อยๆ อย่างมีความสุข เนื้อไข่แดงนุ่มนิ่มที่ยังไม่สุกดีนั้นมันๆ เค็มๆ ราวกับครีม เกลือที่ใส่ลงไปเล็กน้อยช่วยดับกลิ่นคาวได้อีกทาง ทั้งยังเสริมให้รสของไข่ไก่เด่นชัดแต่ไม่จัดจ้านจนเกินไป

วาลเรียสผ่อนลมหายใจเบาๆ ด้วยท่าทีเกียจคร้าน แม้ว่าฝีมือของเขาจะสู้แม่ครัวฝีมือฉกาจไม่ได้ แต่อาหารที่เขาปรุงขึ้นเองนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

ดวงตาสีเขียวสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ที่คาอยู่ตรงกึ่งกลางของเส้นขอบฟ้า เด็กหนุ่มทอดสายตามองทิวทัศน์ที่คุ้นเคยผ่านบานหน้าต่าง

บ้านหลังน้อยตั้งอยู่สุดขอบของหมู่บ้าน ถัดจากแนวรั้วเตี้ยๆ ไปเพียงไม่ไกลก็ถึงบริเวณชายป่าแล้ว แม้จะมีเพื่อนบ้านอยู่ไม่ไกลนัก แต่ทุกคนในแถบนี้ล้วนมีเรือกสวนไร่นาเป็นของตนเอง ยามค่ำคืนจึงสามารถเรียกว่าสงบสุขจนค่อนไปทางเงียบเหงาได้

วาลเรียสถือถ้วยซุปอุ่นๆ เอาไว้ในมือ มองดูแปลงผักที่เริ่มงอกงามจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองใต้แสงสุดท้ายของวัน

"วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ น้า…"

.

หลังจัดการล้างจานชามที่ใช้แล้ว เด็กหนุ่มที่เสียเวลาปลุกปล้ำกับเครื่องเป่าแห้งอยู่นานจนถอดใจก็ผึ่งเครื่องครัวเรียงไว้ตรงขอบหน้าต่าง ก่อนจะเบนความสนใจมายังมุมที่มีข้าวของก่ายกองอยู่เต็ม

ภายในบ้านชั้นเดียวที่กั้นไว้เพียงห้องนอนและห้องน้ำ ส่วนของห้องนั่งเล่นที่เชื่อมต่อถึงกันหมดกลายเป็นมุมที่เจ้าของบ้านใช้เวลาขลุกอยู่นานที่สุด

วาลเรียสทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวที่แทบจะถูกฝังอยู่ใต้กองของกระจุกกระจิก เขาโกยพวกเศษวัสดุและเครื่องใช้ที่ถูกรื้อส่วนประกอบออกมาจนใช้การไม่ได้แล้วไปอีกทางหนึ่ง ก่อนจะหยิบหนังสือปกแข็งที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

หน้ากระดาษเริ่มเหลืองกรอบแต่รอยหมึกที่ประทับอยู่ด้านบนยังคงเด่นชัด ดวงตาสีเขียวไล่ไปตามตัวอักษรที่เรียงรายอยู่ในหนังสือเล่มหนา ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกินขอบเขตความเข้าใจของเด็กหนุ่มชาวไร่ซึ่งไล่ตามไปอย่างกระหายใคร่รู้

ไฟจากหินโคมเย็นค่อยๆ หรี่จางลงยามเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งค่อนคืน แสงสว่างในบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่ชายป่าดับลงช้าๆ ขณะที่ศีรษะของวาลเรียสแหงนเงยไปด้านหลัง ผล็อยหลับไปบนโซฟาทั้งที่ยังมีหนังสือเล่มหนาเปิดคาอยู่บนตัก

ในความฝันซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนในเครื่องแต่งกายสีสันแปลกตา บ้านเมืองยิ่งใหญ่โอฬารราวกับนำเรื่องเล่าของเหล่าคนงานไปผสมรวมกับภาพวาดในหนังสือเล่มเก่า เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นไปท่ามกลางหมู่อาคารสูงเสียดฟ้าพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า

มุมปากของคนที่ตกอยู่ในห้วงนิทราโค้งขึ้นนิดๆ ราวกับกำลังฝันหวาน ดวงตาทั้งสองปิดสนิทขณะหายใจเข้าออกแผ่วเบา ไม่รับรู้ถึงเสียงฝีเท้าที่ซวดเซผ่านกองใบไม้แห้งกลางป่าใหญ่

เงาร่างขมุกขมัวดูเลือนรางในความมืดมิดของยามราตรี สายลมเย็นที่พัดมากลับพากลิ่นหอมบางเบามาด้วยสายหนึ่ง

ปลายจมูกเล็กเชิดขึ้นสูดดมอย่างอ่อนแรง ดวงตาหรี่ปรือคล้ายอ่อนเพลียจนเกินจะทานทนไหว กลิ่นหอมของอาหารที่พัดมาจากที่ไกลๆ ดึงดูดให้มันลากขาหนักอึ้งไปยังทิศทางดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว

ร่างที่ปกคลุมไปด้วยรอยเลือดและคราบโคลนทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง สติรับรู้ที่เครียดเขม็งมาเนิ่นนานดับวูบลงในตอนนั้นเอง