หลายเดือนต่อมา เอ็ดดี้นัดชีฟไปที่บริษัทของคาเร็นแต่เช้า บริษัทของเอ็ดดี้นั้นเป็นบริษัทเล็ก ๆ เหมือนคาเร็น พอเห็นคาเร็นเติบโตเอ็ดดี้ก็อยากจะให้บริษัทของตัวเองโตบ้าง ซึ่งบริษัทของเอ็ดดี้เป็นบริษัทผลิตอาวุธขนาดเล็กที่มีความผูกพันทางเครือญาติกับบริษัทของคาเร็น โดยเอ็ดดี้นั้นมีศักดิ์เป็นลุงของคาเร็นนั่นเอง แต่บริษัทของเอ็ดดี้ไม่ได้ขายแต่อาวุธ แต่ยังมีรถจักรยานยนต์ที่มีลักษณะเหมือนกับรถบิ๊กไบค์และรถฮัมวี่หุ้มเกราะอีกด้วย แต่สินค้าสองอย่างหลังนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเสียเท่าไหร่ เอ็ดดี้จึงไม่ได้ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากและไม่มีการตั้งโชว์ แต่วันนี้เมื่อคาเร็นเติบโตได้ขนาดนี้ เอ็ดดี้ก็อยากได้ดีบ้าง จึงนำบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เขาคิดค้นขึ้นมาให้ชีฟได้รองขับมันเล่น เพราะการที่ชีฟเป็นที่รู้จักในหมู่นักล่าโซนเหนือในชื่อต้นหญ้าอ่อนซึ่งเป็นฉายาที่ชาวเอเชียคนหนึ่งตั้งให้ โดยให้ความหมายไว้ว่าเป็นนักล่าที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมา แถมชีฟยังเป็นต้นกำเนิดของอุปกรณ์ต้านภาพลวงตาอีกด้วย นั่นทำให้ชีฟมีชื่อเสียงไม่น้อยเลยทีเดียว จึงจะเป็นการดีเป็นอย่างมากที่ชีฟจะเอาบิ๊กไบค์ของเขาไปวิ่งเล่น
เมื่อฝึกขับขี่จนคล่องแคล่วแล้วชีฟก็พารถ ออกไปนอกบริษัท ซึ่งพอถึงทางออก เหล่านักล่าสาวที่เป็นยามของบริษัท ก็ทักทายชีฟอย่างสุภาพ
"ขอให้สนุกกับการขับขี่นะคะคุณหนู"
การเรียกแบบนี้เกิดจากการที่คาเร็นให้ความสำคัญกับชีฟเป็นอย่างมาก และการที่บริษัทเติบโต ลูกจ้างอย่างพวกเธอก็ได้ค่าจ้างที่สูงขึ้นด้วย พวกเธอจึงเอ็นดูชีฟด้วยเช่นกัน
ชีฟขับรถไปยังตลาดที่คุ้นเคยแล้วทักทายแม่ของตัวเองที่กำลังเดินซื้อของอยู่กับชิซูกะและนักล่าสาวคนหนึ่งจากคาเรร่า เมื่อก่อนแม่ของชีฟนั้นร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก แต่ด้วยยาคุณภาพดีที่มีราคาแพง แม่ของชีฟจึงกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ชีฟขับช้า ๆ เข้าไปจอดข้าง ๆ ผู้เป็นแม่แล้วถอดหมวกทักทาย
"แม่ ผมมีมอเตอร์ไซร์ขับด้วย ลุงเอ็ดดี้ให้มา"
คุณนายเชสเตอร์ยิ้มให้ลูกชาย
"ขับดีดีนะลูก อย่าทำของเขาพังละ"
ชีฟยิ้มรับ
"จะรักษาให้ดีที่สุดเลย"
พูดจบชีฟก็เร่งเครื่องโชว์ แล้วขยับเข้าไปใกล้ ๆ ชิซูกะ
"สนใจไปด้วยมั้ย"
ชิซูกะโชว์ถุงวัตถุดิบทำอาหารให้ดู เป็นเชิงว่าเธอนั้นไม่ว่าง
"ไว้ว่างก่อน"
"งั้นผมไปละ"
ชีฟโบกมือลาทั้งสามคน แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้าที่สดใส ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทางออกนอกกำแพงด้านทิศเหนือ
ในห้องประชุมของบริษัทคาเรร่า คาเร็นและเอ็ดดี้กำลังนั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ตรงหน้าของชายหญิงในชุดสูทดูดีสี่คนที่ขอนัดเจรจาธุรกิจกับพวกเขาในวันนี้
ชายคนที่นั่งอยู่ซ้ายสุดยังคนยืนยันคำพูดของตน
"ตามที่เราบอกไป คุณควรมอบความดูแลของเด็กที่มีพลังจิตแบบใหม่ให้กับเรา"
คาเร็นตอบกลับอย่างไม่พอใจด้วยคำเดิม ๆ
"ไม่"
"บริษัทเล็ก ๆ อย่างคุณจะพัฒนาเขาไปได้ไกลสักเท่าไหร่กันเชียว แค่ศูนย์วิจัยด้านพลังจิต คุณยังไม่มีเลย"
คาเร็นทำหน้าไม่รับรู้และหันไปมองทางอื่นอย่างไม่สนใจ ทำให้ชายคนนั้นต้องพูดต่อ
"เด็กจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้มาก คุณลองนึกภาพกองทัพที่สามารถเข้าถึงพื้นที่นอกสำรวจได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยด้วยการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพ แหล่งทรัพยากรใหม่ ๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบมากมายรอเราอยู่ข้างนอกนั่น ผมยินดีให้คุณเข้ามาเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของเราเพื่อแบ่งปันผล"
คาเร็นหัวเราะตัดบทขึ้นทันทีเมื่อฟังถึงตรงนี้ แล้วพูดจาถากถาง
"ฮ่าฮ่าฮ่า บริษัทลูกของพวกแกเหรอ พวกแกแน่มาจากไหนวะเนี่ย พวกแกคิดว่าฉันใช้เวลามากี่ปี เพื่อสร้างบริษัทนี้ขึ้น คิดว่าฉันต้องทุมเทไปเท่าไหร่ ถึงจะมีวันนี้ คิดว่าฉันจะเอาความทุ่มเททั้งหมดนี้ไปถวายให้พวกแกงั้นเรอะ"
คาเร็นตบโต๊ะเสียงดังปัง จนแขกทั้งสี่คนหน้าเสีย ก่อนจะเรียกนักล่าของเธอเข้ามา
"เอาพวกออกมันไป ก่อนฉันจะนึกอยากฆ่าใครขึ้นมา"
ชายในชุดสูทหันมาพูดทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
"แล้วคุณจะเสียใจที่ไม่ยอมตกลงกับเรา"
เมื่อทั้งสี่คนถูกพาออกไป นักล่าสาวคนหนึ่งก็เข้ามา
"คุณคาเร็นคะ คนจากโทกิวะอินดัสตี้มาถึงแล้วค่ะ"
"พาพวกเขาเข้ามา"
วันนี้คาเร็นนัดคุยธุรกิจกับลูกค้าหลายคน เพื่อหาทางนำสินค้าไปขายยังต่างเมือง และขยายกิจการสาขาของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอนั้นไม่เคยทำมาก่อน เมื่อก่อนคาเร็นนั้นไม่กล้าที่จะทำแบบนี้ด้วยสินค้าของเธอนั้นแทบจะไม่มีจุดเด่นอะไรเลย จึงเป็นไปได้ยากที่จะแข่งขันกับพวกเจ้าถิ่นในเมืองอื่น ๆ แต่ด้วยอุปกรณ์ต้านภาพลวงตา และชีฟ นั่นทำให้คาเร็นมีความกล้ามากพอที่จะออกจากกะลาครอบของตัวเอง
แต่พวกที่ขอนัดเจรจากับเธอในวันนี้ ส่วนมากดันหมายหัวจะซื้อตัวชีฟเอาไว้ทั้งนั้น แน่นอนว่าบริษัทพวกนี้เคยไปเสนอเงื่อนไขสุดพิเศษให้ชีฟตรง ๆ มาแล้วด้วยเพราะคาเร็นไม่ได้ทำสัญญาแบบเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ต้องขอบคุณคุณนายเชสเตอร์อย่างแรงที่สอนลูกชายมาดีมาก ด้วยสิ่งที่คาเร็นเคยทำให้ นั่นทำให้ชีฟปฏิเสธทุกรายแล้วโยนว่าให้มาคุยกับเธอแทน แต่ก็เพราะไอ้เจ้าสิ่งนี้แหละที่ทำให้เธอต้องมานั่งอารมณ์เสียในวันนี้ เพราะคนพวกนี้มาพร้อมกับอำนาจการเงินและการวางมาดที่ใหญ่โตเพื่อข่มให้เธอขายชีฟให้พวกเขา
หญิงสาวชาวเอเชียในชุดสาวออฟฟิศสีขาวเดินเข้ามาในห้องตามคำเชิญของนักล่าสาว
คาเร็นเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะอารมณ์ไม่ดีเสียเท่าไหร่
"บอกไว้ก่อนถ้ามาเพื่อซื้อไอ้หนู ก็ให้ไสก้นงาม ๆ นั่นกลับไปได้เลย"
หญิงสาวจากโทกิวะยิ้มหวานให้และเอ่ยตอบ
"เป็นการทักทายที่เป็นมิตรดีนะคะ ฉันชื่อ โทกิวะ อายูมิ เป็นเจ้าของบริษัทโทกิวะอินดัสตี้ บริษัทของเรามีร้านขายอาวุธและชุดเกราะอยู่ในหลาย ๆ เมืองและหลายสาขา"
คาเร็นเลิกคิ้วแล้วพูดตัดบท
"จะดูยังไงคุณก็คือคู่แข่งของเราไม่ใช่เหรอ"
"อย่างที่คุณพูด เราคือคู่แข่ง ถ้าหากว่าเราไม่ได้คิดจะยกบริษัทนี้ให้แก่คุณ หรืออยู่ในความดูแลของคุณ"
คิ้วของคาเร็นขมวดเป็นปมหนักเข้าไปใหญ่ เงื่อนไขแบบนี้ในเชิงการค้าแล้ว มันมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบ อายูมิเริ่มพูดต่อ
"เรามีเงื่อนไขแค่อย่างเดียว คือขอให้บริษัทของคุณทำต่อไปในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่"
ต่อหน้ารอยยิ้มอันอ่อนโยนของอายูมิ คาเร็นและเอ็ดดี้ก็หันหน้ามามองกันอย่างแปลกใจ
ด้วยยุคสมัยที่แปรเปลี่ยน ทุกอย่างที่ดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์ ความยากจนความอดยาก ทำให้เกิดการกดขี่ข่มเหงกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในสตรีเพศ อาชีพของหญิงสาวสมัยนี้มีทางเลือกไม่มากนัก นั่นทำให้มีหญิงสาวว่างงานเป็นจำนวนมาก พวกเธอต้องอยู่อย่างอดอยาก การขายร่างกายหรือกลายเป็นโจร จึงกลายเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
บริษัทโทกิวะจึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยแรงปณิธานที่ว่า จะช่วยเหลือให้หญิงสาวหลาย ๆ คนมีงานทำ โดยบริษัทนี้จะรับสมัครเฉพาะพนักงานผู้หญิงเท่านั้น โทกิวะนั้นประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง พวกเธอสามารถขยายกิจการสาขาไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ได้มากมายด้วยบริการที่มีคุณภาพ แต่การที่เป็นได้แค่ตัวแทนขายสินค้านั้น สุดท้ายก็ย่อมที่จะมาถึงทางตัน ต้นทุนที่โทกิวะมีทำให้โทกิวะไม่สามารถขยายตัวไปได้มากกว่านี้แล้ว
แต่คาเรร่า แม้คาเร็นดูจะโลภในเงินตราและบ้าวิทยาศาสตร์ แต่คาเรร่าก็ทำเช่นเดียวกันกับโทกิวะ นั่นคือเน้นช่วยให้หญิงสาวมีงานมีการทำ ทำให้บริษัทคาเรร่ามีแต่พนักงานที่เป็นผู้หญิงเช่นกัน ในตอนแรกคาเรร่านั้นด้อยกว่าโทกิวะด้วยซ้ำ เพราะคาเรร่าเป็นเพียงแค่บริษัทเล็ก ๆ ในเมืองลาสเวกัส ที่ไม่มีสาขาในเมืองเมืองอื่นเลย แต่ในตอนนี้ต้นทุนของคาเรร่านั้นสูงมาก จึงทำให้มีโอกาสไปได้อีกไกล นั่นจึงทำให้โทกิวะที่มาถึงทางตันได้มายื่นข้อเสนอให้กับทางคาเรร่าในตอนนี้
หลังจากที่สนทนากันมาได้ครู่หนึ่ง อายูมิก็พูดออกมาด้วยความจริงใจ
"ดิฉันไม่ได้สนใจเรื่องความร่ำรวย ขอเพียงแค่มีเงินใช้เพื่อมีชีวิตในแต่ละวันนั้น เพียงแค่นี้ดิฉันก็พอใจแล้ว ดิฉันจึงยอมที่จะให้บริษัทของดิฉันอยู่ในการดูแลของคุณ"
เอ็ดดี้ได้ฟังก็พึมพำออกมา
"อืม วันนี้หลานฉันดูเลวแปลก ๆ แฮะ"
คาเร็นตีพุงเอ็ดดี้ดังแป๊ะ และมองค้อนใส่หนึ่งที ก่อนจะหันไปหาอายูมิที่นั่งรออยู่ แล้วยืนมือขวาออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ไม่สามารถเก็บซ่อนความโลภเอาไว้ได้อีก
"ตกลง"
ชีฟขับรถออกไปนอกกำแพงเมืองแล้วขับไปตามถนนหนทางอย่างสนุกสนาน ตลอดสองข้างทาง เหล่านักล่าทั้งหลายกำลังพากันออกล่าสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวใหญ่กันอย่างขะมักเขม้น,เขม้นขะมัก พวกเขาต้องออกล่าทุกวันเพื่อนำผลึกไปแลกกับเงิน และเพื่อให้เมืองดำเนินต่อไปได้ เพราะผลึกเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้าและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างมาก
ชีฟขับรถได้สักพักเขาก็ได้รับการติดต่อผ่านเครื่องมือสื่อสารในหมวกของเขา
เสียงของคริสดังออกมา
"ไอ้หนูอยู่ไหน"
ชีฟตอบกลับ
"กำลังขับรถเล่นอยู่ทางทิศเหนือ ใกล้กับกำแพง"
"มีเครื่องมือนำทางมั้ย"
ชีฟก้มมองหน้าจอขนาดเล็กบนส่วนหน้าของรถบิ๊กไบค์ของเขา
"มี"
"บอกหมายเลขเครื่องมา เดี๋ยวส่งเส้นทางให้"
ชีฟบอกหมายเลขของเครื่องให้แก่คริส ก่อนจะมีข้อความเด้งขึ้นมาบนจอว่ามีเส้นทางใหม่เข้ามา ต้องการใช้งานหรือไม่ เมื่อกดใช้งาน หน้าจอก็แสดงแผนที่และเส้นทางที่เขาต้องไป
ชีฟขับรถตามเส้นทางจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่มีเหล่านักล่าชุมนุมกันอยู่มากมาย
คริสที่เห็นชีฟก็เดินออกมาทักทาย
"ไงไอ้หนู เรามีงานใหญ่ให้เธอ สนใจมั้ย"