สองอาทิตย์ต่อมาวันที่คาเร็นรอคอยก็มาถึง การต่อสู้ในรอบของชีฟจะเริ่มขึ้นในเวลาสิบโมงเช้า คาเร็นจึงต้องรีบพาชีฟไปตรวจสอบสภาพชุดเกราะตั้งแต่แปดโมง
ในระยะเวลาหลายเดือนมานี้ชีฟชินกับการใช้ชุดเกราะใหม่ของเขาแล้ว ชีฟสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเหลือเชื่อยามเมื่อใส่ชุดเกราะ ไม่มีตึกไหนที่เขาปีนขึ้นไปและลงไม่ได้ ไม่มีดาดฟ้าที่ไหนที่เขาไปไม่ถึง
การตรวจสอบสภาพร่างกายและชุดเกราะดำเนินจนเสร็จเรียบร้อยในเวลาเก้าโมง ชีฟก็ขอตัวออกจากห้องแล็บเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามแข่ง ทิ้งให้คาเร็นจ้องมองจอแสดงผลอยู่คนเดียวในห้อง
ผลที่ได้จากชีฟกับผลที่ได้จากนักล่าสาวในสังกัดของเธอคนหนึ่งนั้นต่างกันมาก ทั้ง ๆ ที่ใส่ชุดเกราะแบบเดียวกัน แต่ชีฟสามารถกระโดดสูงได้เท่ากับตึกสองชั้น และร่วงจากชั้นห้าโดยที่มีอาการจุกเพียงเล็กน้อย ส่วนนักล่าของคาเร็นนั้นกลับกระโดดได้เพียงแค่ชั้นเดียว ระยะปลอดภัยที่จะร่วงจากที่สูงก็เพียงแค่สามชั้น ซึ่งต่างจากชีฟเป็นอย่างมาก
คาเร็นนำข้อมูลของชุดเกราะมาเปรียบเทียบกัน ก่อนจะเฝ้าสังเกตอยู่พักหนึ่ง ข้อมูลที่ไหลผ่านหน้าจอไปเรื่อย ๆ นั้นเริ่มมีความแตกต่างกันเล็กน้อย คาเร็นยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนติดจอโน๊ตบุ๊ค สิ่งที่ต่างกันคือพลังงานของชุดเกราะ ชุดเกราะของชีฟในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายเดือนนั้น กินพลังงานน้อยมาก แต่ในขณะที่ชุดเกราะของนักล่าสาวกับกินพลังงานมากกว่าทั้ง ๆ ที่ทดสอบใช้ได้แค่เดือนเดียว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คาเร็นไม่เคยได้สังเกตมาก่อน เพราะผู้มีพลังจิตจะมีกระแสไฟฟ้าสถิตอยู่ในร่างกายในปริมาณที่มากพอจะจ่ายพลังงานให้ชุดเกราะได้เหลือเฟือ นั่นทำให้ชีฟไม่จำเป็นต้องกลับมาเติมพลังงานที่ฐาน ส่วนนักล่าสาวของเธอที่ไม่มีพลังจิตนั้น ต้องคอยกลับมาเติมพลังเสมอเมื่อพลังงานใกล้หมด
คาเร็นรีบพิมพ์คำสั่งขอดูสัดส่วนการใช้พลังงานในแต่ละระบบทันที ก่อนที่หน้าจอจะแสดงให้เห็นว่า เกราะของชีฟ ไม่เคยจ่ายพลังงานให้กับระบบอื่นเลยนอกจากระบบการกระตุ้นสัมผัสที่หก แต่ที่ผ่านมาชีฟกระโดดสูงได้เป็นว่าเล่น ปีนไต่ตึกแล้วกระโดดลงมาได้อย่างสนุกสนาน ทั้ง ๆ ที่ระบบเหล่านั้นไม่มีการเปิดใช้งานด้วยซ้ำ คาเร็นเอนเก้าอี้เงยหน้ามองเพดาน แล้วเผยรอยยิ้ม
"มันช่างน่าสนใจ เจ้าหนูคนนี้ช่างน่าสนใจจริง"
ก่อนถึงเวลาสิบโมงเพียงแค่สิบนาที คาเร็นก็รีบมาที่สนามแข่งและเข้าไปหาชีฟที่กำลังนั่งยืดเส้นยืดสายอยู่ข้าง ๆ สนาม คาเร็นนำโน๊ตบุ๊คออกมา ก่อนจะเริ่มทำการตั้งค่าเพิ่มเติมบางอย่าง ชีฟมองคาเร็นอย่างสงสัยแล้วเอ่ยถาม
"มีอะไรหรือเปล่า หรือเกราะของผมมีปัญหา"
คาเร็นเงยหน้ายิ้มให้แล้วตอบ
"ไม่ พอดีฉันแค่จะใส่ระบบที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ละเอียดกว่าเดิม ไม่ว่ากันนะ"
ชีฟยิ้มให้
"ได้"
เมื่อคาเร็นตั้งค่าระบบเสร็จ ก็ถึงเวลาการต่อสู้ของชีฟพอดี ชีฟเดินเข้าไปในสนามแข่งขนาดใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล สนามแปดสนามถูกยุบรวมกันเป็นสนามเดียว เพื่อให้เหล่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งหลายได้โชว์ประสิทธิภาพในการต่อสู้ออกมาให้มากที่สุด
วันนี้เป็นการแข่งขันของระดับสุดท้าย ซึ่งในระดับนี้จะเป็นการคัดสรรผู้ที่จะได้เป็นผู้บังคับบัญชากองรบแห่งองค์กรพีเนชั่นโดยมีทั้งหมดสี่ตำแหน่งนั่นคือ ผู้บังคับบัญชาทิศเหนือ ผู้บังคับบัญชาทิศใต้ ผู้บังคับบัญชาทิศตะวันออก และสุดท้ายผู้บังคับบัญชาทิศตะวันตก โดยผู้ที่ผ่านรอบสองมาได้ จะได้รับสิทธิ์ในการให้เป็นหัวหน้าหน่วยหากเข้าร่วมกับองค์กร และยังได้รับเงินรางวัลจากทางเมืองอีกต่างหาก แต่ที่ยังต้องมีการแข่งขันต่อก็คือการชิงตำแหน่งผู้บังคับบัญชานั่นเอง
ชีฟเดินเข้าไปในสนามที่มีแต่ซากปรักหักพังและเสาสูงอยู่เต็มไปหมด เศษซากเหล่านี้ถูกนำมาประดับเพื่อเพิ่มสีสันในการต่อสู้ คู่แข่งของชีฟในรอบนี้คือฟางหลงที่ชีฟเจอในรอบที่แล้ว ฟางหลงในชุดเกราะสีเขียวโบกมือทักทายชีฟ เกราะของฟางหลงนั้นมีลายเหมือนกับลายพรางของชุดทหาร ส่วนหมวกมีกระจกครอบเหมือนกับหมวกกันน็อค ต่างจากของชีฟที่มีกระจกแค่เฉพาะส่วนของลูกตา ทั้งสองคนมายืนประชันหน้ากัน ฟางหลงถอดหมวกออกและยื่นส่งมือขวามาข้างหน้า
"เจอกันอีกแล้ว เกราะนายมาจากบริษัทอื่นเหมือนกันเหรอ"
ฟางหลงชะโงกดูตัวอักษรตรงหัวไหล่ของชีฟที่เขียนไว้ว่าคาเรร่าอินดัสตี้
ชีฟจับมือทักทายตอบ ก่อนจะยิ้มให้แล้วพูด
"ใช่ แล้วของนาย"
"ฮุ่ยเหออินดัสตี้ บริษัทแม่ฉันเอง"
กรรมการเดินเข้ามายืนอยู่ระหว่างทั้งสองคน ก่อนจะส่งลูกบอลหกเหลี่ยมให้ทั้งสองคนแล้วอธิบายกติกา
"นี่คือบอลบาเรีย ถ้ามันยังติดอยู่บนชุดเกราะของเธอ แปลว่าบาเรียยังทำงาน แต่ถ้าหลุดออก นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้"
กรรมการให้ทั้งสองคนเอาก้อนหกเหลี่ยมขนาดเท่าลูกปิงปองติดไว้ที่ข้างเอวข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อแนบติดกับชุดเกราะมันก็ปล่อยคลื่นพลังงานอันเบาบางออกมาครอบคลุมร่างกาย บาเรียมีลักษณะบางใสจนมองไม่เห็น
จากนั้นกรรมการก็เอาปืนกลเบาออกมาสองกระบอกและแม็กกระสุนสองแม็ก
"ปืนหนึ่งกระบอกและแม็กกระสุนสำรองอีกคนละหนึ่งอัน หนึ่งแม็กมีหนึ่งร้อยนัด เท่ากับพวกเธอจะมีสองร้อยนัดให้ใช้"
ชีฟเอาแม็กมาดูขนาดกระสุนด้านในด้วยความสงสัย แม้จะเป็นลูกเหล็ก แต่มันมีขนาดเท่ากับกระสุนปืนอัดลมเลย ซึ่งมันเล็กมาก
"มันทะลุชุดเกราะของพวกเธอไม่ได้ แต่มันก็แรงพอที่จะสร้างความเสียหายให้กับบาเรียได้ ถ้าพลังงานหมด บอลบาเรียจะหลุดจากตัวพวกเธอทันที นั่นคือจบเกม โอเคนะ"
ทั้งสองคนพยักหน้า ก่อนจะนำหมวกมาสวม จากนั้นกรรมการก็ชี้ให้ทั้งสองคนแยกไปหลบตามซากปรักหักพังกันคนละฝั่ง เมื่อกรรมการวิ่งออกไปจากสนามเสียงประกาศเริ่มการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น
ชีฟโชว์ความสามารถของชุดเกราะออกมาให้ทุกสายตาได้เห็นทันที ด้วยการกระโดดขึ้นไปปีนป่ายตามเสาสูง ก่อนจะเริ่มเล็งปืน แล้วสาดกระสุนไปทางฟางหลงที่หลบอยู่หลังกำแพงคอนกรีต กำแพงคอนกรีตนั้นต่ำมาก ด้วยการยิงจากมุมสูงทำให้ฟางหลงต้องวิ่งหลบไปทางอื่น ฟางหลงเหลือบมองชีฟในขณะวิ่งแล้วบ่นออกมา
"ปีนเป็นลิงเลย โกงนี่หว่า"
เกราะของฟางหลงนั้นเสริมพละกำลังด้านการเคลื่อนไหวและการโจมตีด้วยมือเปล่า แต่ไม่สามารถปีนไต่ได้แบบชีฟ นั่นทำให้การต่อสู้ในรอบนี้ฟางหลงเสียเปรียบอย่างหนัก
จากแรงยิงด้วยการเหนี่ยวนำของไฟฟ้า ทำให้ลูกกระสุนไม่ได้พุ่งเร็วมากนัก นั่นทำให้ทุกครั้งที่ฟางหลงหันกลับไปยิงสวน ชีฟก็สามารถกระโดดหลบได้อย่างง่ายดาย
เสาสูงที่มีอยู่มากมายทั่วสนามแข่ง ทำให้ชีฟสามารถตามฟางหลงไปได้ทุกที่โดยการวิ่งกระโดดไปตามเสาต้นต่าง ๆ การกดดันของชีฟ ทำให้ฟางหลงไม่สามารถที่จะหลบซ่อนได้ เพราะชีฟสามารถยิงจากมุมสูงไปใส่อีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และเมื่อฟางหลงคิดจะยิงสวน ชีฟก็แค่กระโดดหลบหนีไปทางอื่น ตอนนี้สิ่งที่ฟางหลงทำได้อย่างเดียวคือรอให้กระสุนหมด แล้วดวลกันด้วยทักษะการต่อสู้มือเปล่า
แต่การต่อสู้มือเปล่านั้นก็ไม่ใช่แผนเดียวที่ฟางหลงมี ทุกครั้งที่ชีฟกระโดดไปยังเสาต้นอื่นฟางหลงจะสังเกตจังหวะนั้นเสมอ และเมื่อชีฟกระโดดมาบนเสาต้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากเสาต้นอื่น ๆ ฟางหลงรีบหันปืนไปทำท่าจะยิงสวน ส่วนชีฟก็กระโดดหลบไปหาเสาต้นอื่นอย่างรวดเร็ว แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฟางหลงเดาไว้อยู่แล้ว เขารีบหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะข้างออกไปสุดแรง
ก้อนหินขนาดเหมาะมือโดนชีฟเข้าเต็ม ๆ ส่งผลให้ชีฟร่วงลงมากระแทกพื้น ฟางหลงไม่รอช้าเล็งปืนแล้วรีบยิงซ้ำทันที ชีฟเมื่อฟื้นจากอาการมึนก็รีบกลิ้งตัวเข้าไปหลบหลังซากปรักหักพัง บอลบาเรียของชีฟเปล่งแสงกะพริบสีแดงออกมา ซึ่งการกะพริบแสงสีแดงคือสัญญาลักษณ์มาตรฐานของทุกอุปกรณ์ว่าพลังงานใกล้หมด เหล่าผู้ชมที่สังเกตเห็นต่างพากันส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ แรงขว้างที่เสริมด้วยชุดเกราะของฟางหลงนั้นแรงมาก ขนาดว่าชีฟยิงโดนฟางหลงไปหลายนัดแล้ว แต่บอลบาเรียของฟางหลงยังเปล่งแสงสีขาวอ่อน ๆ ออกมาอยู่เลย
ชีฟมองซ้ายมองขวาคิดหาวิธีแก้สถานการณ์ ภาพการเคลื่อนไหวของฟางหลงอยู่ในหัวของชีฟตลอดตอนนี้ระหว่างฟางหลงกับชีฟมีห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกันไว้พอดี นั่นทำให้ชีฟคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ ชีฟรีบหาหินก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนแล้วขว้างขึ้นไปบนท้องฟ้ารัว ๆ หินหลายก้อนลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงมาส่งเสียงดังปุกปัก ฟางหลงจะหันไปตามเสียงทุกครั้งที่หินกระทบพื้น ชีฟขว้างก้อนหินขึ้นไปอีกชุด เมื่อฟางหลงหันมองไปทางซ้าย ชีฟก็วิ่งอ้อมไปทางขวาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดชะงักอยู่ตรงขอบมุมกำแพงเมื่อฟางหลงหันกลับมาทางขวา แต่เมื่อไม่เห็นอะไรฟางหลงก็หันไปทางซ้ายอีกครั้ง นั่นทำให้ชีฟรีบโผล่ออกไปหาอีกฝ่ายแล้วสาดกระสุนออกไปแบบไม่ยั้งมือ
ฟางหลงที่โดนยิงเข้าจากด้านหลังตกใจเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งหลบหลังกำแพง ชีฟไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวรีบปีนขึ้นไปบนห้องแล้วกระโดดข้ามหัวของฟางหลงก่อนจะหันกลับมาสาดกระสุนใส่อีกชุดจนบอลบาเรียของฟางหลงกะพริบสีแดงขึ้น ฟางหลงที่เห็นแบบนั้นก็รู้ว่าหนีไปก็เปล่าประโยชน์ จึงตัดสินใจยิงสวนทันที
ปืนทั้งสองกระบอกถูกระงับการยิงโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ผลแพ้ชนะ บอลบาเรียของชีฟร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับชีฟในขณะที่ของฟางหลงยังคงกะพริบสีแดงและติดอยู่ที่ข้างเอว ผู้ชมที่ลุ้นอยู่ข้างสนามต่างพากันเฮลั่นและส่งเสียงร้องเชียร์ออกมา
กรรมการประกาศทันที
"ฟางหลงชนะ"
เมื่อการต่อสู้จบลง ชีฟก็โบกมือลาฟางหลงแล้วเดินกลับขึ้นไปบนอัศจรรย์คนดู การต่อสู้ในระดับที่สามนี้จะไม่มีการนับจำนวนรอบที่ชนะ แต่ถ้าหากใครแพ้ครบสองรอบคือตกรอบทันที นั่นหมายความว่าชีฟแพ้ไม่ได้แล้ว ชีฟเดินทำหน้าหงอยตรงไปหาแม่กับชิซูกะที่มองมาด้วยความเห็นใจ แต่ในขณะที่เดินผ่านกลุ่มสาว ๆ จากร้านของเหล่านักล่า มือที่เล็กเรียวก็คว้าชีฟเข้าไปกอดไว้อย่างแนบเน่น
"โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรน้า แพ้แค่ครั้งเดียวเอง"
เหล่าสาว ๆ พากันกอดปลอบเด็กหนุ่มผู้พ่ายแพ้อย่างเอ็นดู ในขณะที่หญิงสาวอีกคนได้แต่คิ้วกระตุก พร้อมกับมีเส้นเอ็นเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า แคทเทอลีนมองเพื่อนแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจือน ๆ ก่อนจะพยายามเอามือลูบหลังเพื่อนสาวเพื่อช่วยให้ใจเย็นลง
เมื่อชีฟหลุดจากกลุ่มพี่สาวมาได้ ชีฟก็ไปซื้อของกินแล้วกลับมาหาชิซูกะกับแม่ แม้ชิซูกะจะเคืองชีฟอยู่เล็กน้อย แต่ชีฟพึ่งแพ้มา นั่นทำให้เธอเลิกที่จะใส่ใจแล้วยื่นแขนออกไปโอบกอดเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะพานั่งดูการต่อสู้คู่อื่น ๆ ด้วยกัน
ชุดเกราะจากบริษัทอื่นส่วนมากนั้น เหมือนกับว่าถูกล่อมาให้ทางองค์กรพีเนชั่นนั้นเชือดเล่นเสียมากกว่า เมื่อเหล่าเด็กหนุ่มสาวที่พากันใส่ชุดเกราะของบริษัทอื่นนั้น ถูกเด็กหนุ่มสาวที่ใส่ชุดเกราะขององค์กรพีเนชั่นเล่นงานจนย่อยยับ เกราะขององค์กรพีเนชั่นนั้นมีประสิทธิภาพมากในการต่อสู้ครั้งนี้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำองค์กรพีเนชั่นนั้นหวังไว้อยู่แล้ว นั่นก็คือการโชว์ประสิทธิภาพชุดเกราะของตนเองว่ามีประสิทธิภาพมากแค่ไหน และนั่นยังไม่รวมกับการที่ทางองค์กรมีเด็กหนุ่มสาวที่ใช้สัมผัสที่หกได้ถึงสิบสองคน ซึ่งสิบสองคนนั้นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย โดยสิบสองคนนี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันในรอบนี้ด้วย นั่นทำให้เด็กหนุ่มสาวหลายคนได้แต่หวังต่ำแหน่งผู้บังคับบัญชาตำแหน่งเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้น เพราะในสิบสองคนนั้นมีถึงสามคนที่พัฒนาสัมผัสที่หกให้กลายเป็นพลังจิตได้แล้ว นั่นหมายความว่าอีกสามต่ำแหน่งจะถูกจองโดยทั้งสามคนนี้แน่นอน
เมื่อถึงเวลาสิบเอ็ดโมง ชีฟก็ได้โอกาสแก้ตัวเสียที เสียงเชียร์จากเหล่าเด็กสาวและสาว ๆ จากร้านอาหารนักล่าดังแข่งกันอีกครั้ง เมื่อคราวนี้คู่ต่อสู้ของชีฟคือ วิลเลียม หนึ่งในสามคนที่ใช้พลังจิตได้ ซึ่งพลังจิตของวิลเลียมนั้นคือการสร้างภาพลวงตาใส่สมองคู่ต่อสู้ โดยวิลเลียมปรากฏตัวขึ้นมาในชุดเกราะสีดำที่มีลักษณะคล้ายกับอัศวินยุโรปโบราณ เมื่อทั้งสองคนรับอุปกรณ์แล้วไปประจำตำแหน่งของตัวเอง กรรมการก็ประกาศให้เริ่มการต่อสู้
วิลเลียมยืนเด่นอยู่กลางสนามโดยไม่คิดแม้แต่จะหลบซ่อนเลยแม้แต่น้อย ส่วนชีฟที่หลบอยู่หลังเสานั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย แล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงุนงง เพราะวิลเลียมไม่คิดที่จะหาที่กำบังเลย
เมื่อเห็นท่าทางมองซ้ายมองขวาของชีฟ วิลเลียมก็ยิ้มอย่างพึงใจ เพราะคู่ต่อสู้ของเขาได้ตกอยู่ในภาพหลอนของเขาแล้วนั่นเอง
วิลเลียมยกปืนขึ้นเตรียมปิดฉากคู่ต่อสู้แต่ชีฟกลับไวกว่า ชีฟรีบปีนไต่ขึ้นไปบนเสาก่อนจะยิงสวนกลับไป วิลเลียมสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่ากระสุนกำลังพุ่งมาหาตัวเอง ก่อนรีบวิ่งหลบไปอยู่หลังซากปรักหักพัง วิลเลียมมองชีฟอย่างไม่เข้าใจเพราะอีกฝ่ายควรจะตกอยู่ในภาพลวงตาของเขา แต่นี่กลับเล็งปืนมาทางเขาอย่างแม่นยำ
ชีฟวิ่งกระโดดไต่ไปตามเสาแล้วไล่ยิงวิลเลียมจากด้านบน ในขณะที่นาฬิกาบนจอขนาดยักษ์ข้างสนามพึ่งจะนับเวลาได้เพียงแค่ หนึ่งนาทีสามสิบวินาทีเท่านั้น วิลเลียมก็ถูกประกาศให้พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย เหล่าพี่สาวจากร้านอาหารแม้จะไม่รู้ว่าชีฟชนะภาพลวงตาของอีกฝ่ายได้ยังไง แต่ก็พากันโห่ร้องใส่เหล่าเด็กสาวทันที
"ว๊าย นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ"
เหล่าเด็กสาวได้แต่กัดฟันอย่างเจ็บใจ
คาเร็นนั่งมองจอโน๊ตบุ๊คอยู่สักพัก ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
"รู้แล้ว!!"
เหล่ากองเชียร์ของชีฟที่อยู่รอบ ๆ ต่างพากันสะดุ้งโหยง ก่อนจะจ้องมองคาเร็นอย่างสงสัย เมื่อเห็นทุกคนมองคาเร็นจึงเริ่มอธิบาย
"พลังจิตภาพลวงตาจะมีลักษณะเป็นคลื่นกระแสไฟฟ้าส่งเข้าสมองโดยตรง และหลอกสมองให้ตัดการรับรู้จากประสาทตาแล้วรับภาพปลอม ๆ เข้าไปแทน แต่ชีฟยังมีการรับรู้ด้วยพลังจิต ทำให้สมองรู้ว่าภาพที่ได้รับเป็นภาพปลอมและปฏิเสธมันโดยทันที ก่อนจะหาทางทำการเชื่อมต่อกับประสาทตาอีกครั้ง"
บางคนก็บางอ้อ บางคนก็ยังงง ๆ อยู่ คาเร็นจึงพูดตัดบท
"สรุปว่าชีฟมองไม่เห็นภาพลวงตาละกัน"
ทุกคนพากันพยักหน้า และรู้แล้วว่าทำไมถึงปรากฏภาพเจ้าลิงน้อยวิ่งไล่ยิงเขาเล่นแบบนั้น อีกฝ่ายคงจะใช้พลังจิตสร้างภาพลวงตาเอาชนะศัตรูจนเคยชิน เลยแพ้ชีฟที่มองไม่เห็นภาพลวงตาหมดรูป
ชีฟเดินกลับมาหาทุกคนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะเขาพึ่งจะได้รับชัยชนะ ชีฟเดินไปนั่งข้าง ๆ ชิซูกะแล้วแย่งกินขนมที่อีกฝ่ายถืออยู่ ก่อนจะส่งยิ้มยียวนกวนประสาทจนสาวที่โตกว่าหันมามองด้วยความหมั่นไส้
การต่อสู้ในช่วงบ่ายดำเนินไปตามปกติ ซึ่งรอบที่สามของช่วงบ่ายนั้นฟางหลงได้ขึ้นสู้กับวิลเลียม แต่ผลนั้นจบด้วยการที่วิลเลียมพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ด้วยคาเร็นนั้นได้ตรวจสอบก่อนแล้วว่าคู่ต่อสู้ของวิลเลียมคนต่อไปนั้นคือใคร จึงรีบสร้างอุปกรณ์ต้านภาพหลอนขึ้นมาโดยเลียนแบบการทำงานจากสมองของชีฟ ถึงแม้คนอื่นจะไม่ได้มีพลังแบบชีฟ แต่คาเร็นก็สามารถใช้ระบบเรดาห์แบบค้างคาวทดแทนได้ ซึ่งนั่นทำให้ฟางหลงที่ติดอุปกรณ์เสริมเข้าไปนั้นไม่สามารถมองเห็นภาพลวงตาได้เช่นกัน
หลังจากฟางหลงชนะวิลเลียมได้แบบขาดลอย คาเร็นที่เห็นผลสัมฤทธิ์ของอุปกรณ์ตัวเองก็ประกาศขายสินค้าชิ้นนี้ทันที เพียงไม่ถึงสิบนาทีก็มีนักล่าเข้ามาจับจองสินค้าของคาเร็นเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าเป็นผลมาจากวิดีโอการต่อสู้ของชีฟและฟางหลงที่สู้กับวิลเลียมด้วย
ในโลกนอกกำแพงนั้น มีสัตว์ระดับสัตว์อสูรหลายตัวที่มีความสามารถในการสร้างภาพลวงตา สินค้าของคาเร็นจึงบูมขึ้นมาในพริบตา นั่นทำให้วันนี้คาเร็นไม่หวังอะไรจากชีฟอีกแล้ว เพราะเธอกำลังจะได้นอนอยู่บนกองเงินกองทองขนาดใหญ่
รอจนถึงบ่ายสาม ก็ถึงรอบของชีฟ คู่ต่อสู้ของชีฟในรอบนี้คงจะเรียกว่าหินมาก ๆ เพราะอีกฝ่ายคือ 'แจซัน' หนึ่งในสามเด็กหนุ่มผู้มีพลังจิต ความสามารถของแจซันก็คือการสะกดจิตควบคุมร่างกาย พลังจิตสายนี้เป็นพลังจิตที่รับมือได้ยากที่สุดในหมู่รูปแบบพลังจิตที่มีอยู่
คริสรีบตะโกนบอกเมื่อได้ข้อมูลวิธีการรับมือกับพลังจิตของแจซัน
"ชีฟอย่าให้อีกฝ่ายเห็นตัวเกินสองวิเด็ดขาด"
การจะสะกดจิตได้นั้น แจซันจำเป็นต้องใช้สมาธิจ้องมองชีฟและส่งกระแสไฟฟ้าสถิตเข้าไปเปลี่ยนแปลงคำสั่งในสมองของอีกฝ่าย การสะกดจิตถึงจะสมบูรณ์ นั่นทำให้ชีฟมีเวลาสองวินาทีในการหลบหลังซากปรักหักพังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นตัว ซึ่งชีฟนั้นทำได้ดีมาก เพราะชีฟนั้นสามารถที่จะวิ่งไปวิ่งมาโดยไม่ให้ตัวเองอยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่ายและแอบยิงได้เป็นระลอก ภาพสามมิติในหัวของชีฟทำให้ชีฟรู้ว่าแจซันจะหันหน้าไปทางไหน แม้จะซ่อนอยู่หลังกำแพงก็ตาม
แจซันที่โดนยิงตอดเล็กตอดน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ ก็เริ่มคิดแผนการที่ชีฟจะไม่สามารถหลบพ้นสายตาของเขาไปได้ เมื่อชีฟวิ่งเข้าที่กำบัง แจซันก็ปีนขึ้นไปบนเสา
ชีฟปรากฏตัวออกมายิงใส่แล้ววิ่งหลบไปอยู่หลังซากปรักหักพังตามเดิมแถมเมื่อชีฟเห็นอีกฝ่ายอยู่บนที่สูง เจ้าตัวก็หมอบต่ำติดพื้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นได้จากมุมสูงอีกด้วย ชีฟหมอบอยู่ครู่หนึ่งก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกมายิง ก่อนจะวิ่งไปหาที่หลบที่ต่อไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชีฟไม่ทันคาดคิด นั่นคือเวลาที่ชีฟลุกขึ้น วิ่ง ยิง และหลบ ก่อนที่ชีฟจะทันได้หลบหลังที่กำบังอันต่อไปมันก็กินเวลาสองวินาทีพอดี ชีฟล้มลงกับพื้นเมื่อร่างกายปฏิเสธคำสั่ง ในที่สุดแจซันก็ทำสำเร็จ เขาลงจากเสาและมายิงซ้ำใส่ชีฟที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นเพื่อปิดเกม
สิบนาทีต่อมาชีฟก็ได้แต่มานั่งหน้าบึ้งอยู่ข้าง ๆ หมั่นไส้ซูกะ เพราะเขาตกรอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้ชิซูกะก็ยิ้มอย่างมีความสุขและเอามือจิ้มแก้มคนขี้แพ้เป็นพัก ๆ เพื่อกลั่นแกล้ง ตอนนี้ชิซูกะได้ยินจากคาเร็นแล้วว่าเธอได้สิ่งที่เธอต้องการสมใจ นั่นทำให้ชีฟไม่จำเป็นต้องชนะหรือสู้ต่อไปแล้ว ชิซูกะจึงไม่หวังเชียร์ให้ชีฟชนะอีก แต่ชีฟนั้นด้วยอารมณ์ของเด็กที่ไม่อยากแพ้ จึงได้แต่นั่งหน้าบึ้งให้สาวข้าง ๆ ได้จิ้มแก้มนุ่มนิ่มเล่นอย่างสนุกมือ จนกระทั่งนิ้วเล็ก ๆ ดันจิ้มพลาดเลื่อนไปตรงปากของชีฟ
"อ๊าย"
ชิซูกะร้องกรีดเบา ๆ เมื่อนิ้วมือที่เล็กเรียวของเธอถูกเด็กใจร้ายบางคนงับเข้าให้ ชิซูกะดึงนิ้วของตัวเองออก ก่อนจะตีเด็กเกเรเข้าไปหนึ่งที แล้วดุเบา ๆ
"เกเรนะชีฟ"
ชีฟสะบัดหน้าหนีด้วยความงอน
"หึ"
คาเร็นเข้ามากอดคอชีฟจากด้านหลัง แล้วพูดอย่างอารมณ์ดี
"อย่างอนไปเลยน่าเจ้าหนู ดูนี่ซะก่อน"
คาเร็นโชว์โทรศัพท์มือถือที่หน้าจอแสดงยอดการจองสินค้าอุปกรณ์เสริมชุดเกราะสำหรับป้องกันภาพลวงตา ที่มีเป็นจำนวนมากให้ชีฟดู และยังมียอดสินค้าอื่น ๆ ที่เป็นผลพลอยได้ตามมาอีกด้วย อย่างเช่นชุดเกราะที่ชีฟใส่ เพราะชีฟได้โชว์ประสิทธิภาพการปีนไต่ที่สุดยอดกว่าชุดเกราะอื่น ๆ ให้ทุกคนได้เห็น มันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับนักล่าสายลาดตระเวนหรือสายสำรวจ คาเร็นเก็บโทรศัพท์แล้วเอาหมึกย่างราคาแพงออกมาป้ายจมูกเด็กขี้งอน
"นี่ หอมมั้ยเจ้าหนู"
เมื่อของอร่อยมาแตะจมูกขนาดนี้ เด็กหนุ่มจอมตะกละก็ปรับเปลี่ยนอารมณ์ทันควัน แล้วทำท่าจะคว้าหมึกย่าง ก่อนที่คาเร็นจะเบี่ยงมือหลบเพื่อไม่ให้ชีฟคว้าหมึกย่างได้ แล้วทำการหลอกล่อ
"ไหน ยิ้มให้ดูก่อน"
ชีฟจากหน้าบึ้ง ๆ ก็ยิ้มแฉ่งทันทีจนชิซูกะหมั่นไส้ ก่อนจะคว้าหมึกไปเป็นรางวัล
เมื่อการแข่งขันจบลงคาเร็นก็พากองเชียร์ของชีฟไปเลี้ยงที่บริษัทของตน อันที่จริงแล้วความคาดหวังของคาเร็นนั้นต้องการเพียงแค่ให้ชีฟโชว์ความสามารถในการเคลื่อนไหวของชุดเกราะเท่านั้น เพราะแค่นี้เธอก็จะสามารถขอพื้นที่ในตลาดด้านการขายชุดเกราะมาได้แล้ว ส่วนอุปกรณ์ต้านภาพลวงตานั้น อันนี้มันเป็นผลพลอยได้ขนาดใหญ่ที่เธอไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อย