วันต่อมาในขณะที่สามสาวกำลังตั้งวงคุยกันในยามเช้า เอ็ดดี้ก็โผล่มาหาชีฟแล้วพาขึ้นรถไปด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้ชิซูกะมองตามด้วยความสงสัยเล็กน้อย เพราะปกติแล้วคนที่จะมารับชีฟจะเป็นคริสกับฮิก
ชีฟถูกพามาที่ห้องแล็บของคาเร็น เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าคาเร็นกำลังรอชีฟอยู่แล้ว คาเร็นเดินเข้ามาหาชีฟด้วยความหิวกระหายในความอยากที่จะทดสอบประสิทธิภาพชุดเกราะตัวใหม่ของเธอ
คาเร็นไม่รอช้าเริ่มเปลื้องผ้าชีฟอีกครั้ง ชีฟที่ถึงจะยังไม่ค่อยชินแต่ก็ยอมเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายแต่งตัวให้จนเสร็จ ชุดยังคงรูปลักษณ์แบบเดิม ที่เปลี่ยนแปลงคงจะมีแค่ประสิทธิภาพภายใน
ชีฟลองขยับตัวด้วยการกระโดด ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเขานั้นเบาขึ้นมาก คาเร็นยิ้มอย่างชอบใจ และเริ่มบรรยายถึงสรรพคุณของชุดเกราะที่เธอสร้างขึ้น
"ชุดเกราะตัวนี้ฉันตั้งชื่อให้ว่า แมวเก้าชีวิต เพราะผู้ที่สวมใส่มันจะเคลื่อนไหวได้เหมือนแมว ไม่ว่าจะเป็น กระโดดสูง พลิกตัวกลางอากาศ หรือแม้กระทั่งการเอาตัวรอดจากการตกจากที่สูง เกราะนี้สามารถทำได้ทั้งหมด และมันยังมีระบบ ซิกซ์เซนส์บูสเตอร์ อีกด้วย' "
ชีฟทำหน้างง เมื่อฟังถึงตรงนี้ คาเร็นที่มองเห็นก็ยิ้มให้และยินดีจะอธิบายเป็นอย่างยิ่ง
"โดยปกติแล้ว สัมผัสที่หกนั้นคือพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นพลังที่มนุษย์สามารถดึงออกมาใช้ได้ยากเอามาก ๆ แต่หากสามารถดึงออกมาใช้ได้ครั้งหนึ่งแล้ว สมองก็จะจดจำวิธีใช้เอาไว้เพื่อไว้ใช้งานในครั้งถัดไป แต่การทำงานของสัมผัสที่หกก็เป็นอะไรที่ซับซ้อน นั่นทำให้แม้สมองจะจดจำแต่ก็ยังยากที่มนุษย์อย่างเราจะเข้าใจ และสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ"
คาเร็นพูดจบก็เดินมาอยู่ข้างหลังชีฟแล้ววางมือลงที่ไหล่ทั้งสองข้าง
"แต่ เกราะของฉันตัวนี้ สามารถที่จะช่วยจดจำรูปแบบการใช้สัมผัสที่หกจากความทรงจำในสมองของเธอ และทำความเข้าใจด้วยสมองกลอันอัจฉริยะที่เรียกว่าเอไอ ก่อนจะส่งคลื่นกระแสไฟฟ้าสถิตกลับเข้าไปในสมอง และช่วยให้ผู้สวมใส่ใช้งานสัมผัสที่หกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"
คาเร็นเดินไปที่หน้าโน๊ตบุ๊คของตัวเองก่อนจะหันมายิ้มให้ชีฟ
"อยากลองเปิดระบบ ซิกซ์เซนส์บูสเตอร์ เลยมั้ย"
ชีฟพยักหน้า
"เปิดเลย"
เสียงเอไอในหมวกของชีฟพูดขึ้นทันทีที่คาเร็นกดปุ่ม
"ทำการเปิดใช้งานระบบกระตุ้นสัมผัสที่หก"
ร่างกายของชีฟร้อนขึ้นมาทันที ชีฟเริ่มรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างแรง ตาทั้งสองข้างเริ่มพร่ามัว มือซ้ายเท้าโต๊ะที่อยู่ใกล้ มือขวาก็จับหน้าอกเอาไว้ เพราะตอนนี้ชีฟรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก
เอ็ดดี้ที่มองอยู่มีท่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะวิ่งเข้ามาปะครองชีฟแล้วตะโกนใส่คาเร็น
"ปิดระบบเร็วเข้า!"
คาเร็นมองจอแสดงผล หัวใจของชีฟนั้นเต้นเร็วกว่าระดับปกติ อุณหภูมิร่างกายสูงเกินห้าสิบองศาเซลเซียส และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความร้อนสูงทำให้ชีฟหมดสติคาอ้อมกอดของเอ็ดดี้ ส่วนคาเร็นนั้นก็สนใจรูปแบบคลื่นพลังบนจอมากเกินกว่าจะสนใจคำพูดของเอ็ดดี้
เอ็ดดี้เงยหน้ามองคาเร็น ตอนนี้อุณหภูมิในตัวชีฟสูงจนทำให้เอ็ดดี้รู้สึกร้อนที่แขนทั้งทั้งที่เขาไม่ได้สัมผัสผิวหนังของชีฟโดยตรง เอ็ดดี้ตะโกนสุดเสียง
"คาเร็น ปิดระบบนั่นเดี๋ยวนี้!!!"
คาเร็นสะดุ้งเพราะเสียงตะโกน ก่อนจะยอมปิดระบบอย่างไม่เต็มใจ เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิใกล้จะถึงหนึ่งร้อยองศาแล้ว เอ็ดดี้ถอดหมวกของชีฟออกก่อนจะเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงหายใจอยู่ เขาอุ้มชีฟไปที่เตียงสีขาวกลางห้องก่อนจะวางชีฟลง เหงื่อจำนวนมากถูกระเหยจนกลายเป็นไอลอยอยู่รอบ ๆ ใบหน้าของชีฟ
แม้จะปิดระบบไปแล้ว แต่คาเร็นก็ยังคงสนใจแต่หน้าจอโน๊ตบุ๊คของเธอ เอ็ดดี้ที่แม้จะเห็นว่าชีฟยังหายใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้จึงเข้ามาดูที่หน้าจอ และพบว่าหัวใจของชีฟยังเต้นอยู่ อุณหภูมิในร่างกายก็ค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ เอ็ดดี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"มันเกิดอะไรขึ้น"
"ฉันก็ไม่รู้ คลื่นพลังงานแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แม้จะลองเทียบกับฐานข้อมูลของรัฐบาล แต่ก็ไม่มีอันไหนตรงกันเลย แต่โดยปกติแล้วการสลบไปแบบนั้น มันคือการพัฒนาจากสัมผัสที่หกไปเป็นพลังจิต ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องใช้เวลาสองถึงสามปีเพื่อฝึกฝน ถึงจะพัฒนาจากสัมผัสที่หกไปเป็นพลังจิตได้ และเมื่อพัฒนามาเป็นรูปแบบพลังจิตแล้วคลื่นพลังจะมีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน ซึ่งรูปแบบของพลังจิตตั้งแต่มีการค้นพบเป็นครั้งแรกจนถึงตอนนี้มีแค่สามรูปแบบ แต่ของชีฟไม่ตรงกับรูปแบบไหนเลย นี่หรือว่าเรากำลังค้นพบพลังจิตแบบใหม่"
คาเร็นหันไปมองชีฟด้วยสายตาลุกวาว จากนั้นก็พับเก็บโน๊ตบุ๊คของเธอแล้วฝากให้เอ็ดดี้ดูแลชีฟ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คาเร็นขับรถแวะไปตามบริษัทหรือโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนผู้ที่มีสัมผัสที่หก สิ่งที่เธอต้องการคือรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสัมผัสที่หกให้มากที่สุด เพราะความแตกต่างของชีฟจากผู้ที่มีพลังจิตคนอื่น ๆ นั้น ไม่ได้แตกต่างเพียงแค่รูปแบบของพลัง แต่ยังรวมไปถึงอุณหภูมิของร่างกายที่สูงจนผิดปกติด้วย ซึ่งจากการที่คาเร็นไปรวบรวมข้อมูลมาได้ ในช่วงการพัฒนาจากสัมผัสที่หกไปเป็นพลังจิตของคนอื่น ๆ ทุกคนเพียงแค่เวียนหัวหรือสลบไปเท่านั้น ไม่มีอาการอุณหภูมิสูงจนผิดปกติอย่างที่ชีฟเป็น เหตุการณ์นี้ทำให้เธอสนใจและตื่นเต้นที่จะศึกษามันเป็นอย่างมาก
ชีฟตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าตัวเองอยู่บนรถฮัมวี่ที่ดูคุ้นตา ซึ่งรถคันนี้ก็คือรถของเอ็ดดี้ แสงพระอาทิตย์ในตอนเที่ยงสาดส่องทะลุกระจกรถเข้ามาจนแสบตา ชีฟเอามือป้องตาไว้ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เมื่อตาทั้งสองข้างปรับเข้ากับแสงได้ เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนตักของคาเร็นที่ด้านหลังรถ คาเร็นก้มมองเขาและฉีกยิ้มกว้างจากนั้นก็เอาแฮมเบอเกอร์ชิ้นหนึ่งออกมา
"หิวมั้ย"
ชีฟลุกขึ้นแล้วรับเบอเกอร์ไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกหิวมากจริง ๆ จากนั้นเขาก็กัดคำใหญ่ และเอ่ยถาม
"ผมเป็นอะไรไป และเรากำลังจะไปไหนกัน"
คาเร็นตอบให้ในทันที
"เธอสลบไปเพราะขั้นตอนการพัฒนาของพลัง และตอนนี้เรากำลังจะพาเธอไปทดสอบพลังนั้น"
ชีฟทวนคำอย่างสงสัย
"พลัง?"
"ใช่ พลัง สัมผัสที่หกของเธอพัฒนาจนกลายเป็นพลังจิต ซึ่งตอนนี้ฉันอยากรู้มากเลยว่าเธอทำอะไรได้"
"ทำ?"
ชีฟยิ่งงงหนักกว่าเดิม ก่อนที่พวกเขาจะพากันมายังตึกร้างใกล้กับกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีนักล่าหญิงแปดคนรอต้อนรับพวกเขาอยู่
นักล่าหญิงเหล่านี้คือนักล่าของบริษัทคาเรร่า พวกเธอถูกส่งมาเก็บกวาดสัตว์ประหลาดในพื้นที่แทบนี้ เพื่อจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการทดสอบ
ด้วยความไม่รู้ในหลาย ๆ อย่าง คาเร็นได้ทดลองให้ชีฟสะกดจิตนักล่าหญิงคนหนึ่งของเธอ แต่ไม่ว่าชีฟจะพยายามใช้ความคิดแค่ไหน ก็ไม่สามารถสั่งให้นักล่าหญิงคนนั้นทำอะไรได้เลย พลังจิตนั้นมีทั้งหมดสามรูปแบบในตอนนี้ รูปแบบแรกคือสะกดจิต สองสร้างภาพหลอน และสามคืออ่านความคิด หลังจากการทดสอบทั้งสามรูปแบบ ชีฟไม่สามารถทำได้เลยสักอย่าง นั่นทำให้คาเร็นต้องใช้หัวคิดเป็นอย่างมาก
คาเร็นเดินเข้าไปหาชีฟเมื่อเธอนึกอะไรได้บางอย่าง ชีฟที่นั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กหันกลับมามองทันทีที่คาเร็นเข้าใกล้ และเรียกชื่อเธอ
"คุณคาเร็นจริงด้วย"
คาเร็นเลิกคิ้ว และเอ่ยถาม
"เธอรู้ได้ยังไง"
"เมื่อสักครู่ตอนที่พวกนักล่าเดินไปเดินมา ผมสามารถรับรู้ได้ว่าพวกเธอเดินไปไหนบ้างโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง มันมีภาพรูปร่าง การเคลื่อนไหว และสถานที่โดยรอบไหลเข้ามาในหัวตลอดเวลา"
"เห็นชัดขนาดว่าเป็นใครเลยงั้นเหรอ"
"ไม่ชัดขนาดนั้น แม้จะเห็นรูปร่างที่ชัดเจน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใส่เสื้อผ้าสีอะไรหน้าตาเป็นยังไง ประมาณนี้"
"แล้วเธอรู้ได้ยังว่าเป็นฉัน"
"ถ้าเป็นผู้ชายอย่างลุงเอ็ดดี้จะมีรูปร่างใหญ่ ส่วนหญิงสาวทุกคนในที่นี้จะดูผอมเพรียว และตรงช่วงอกจะมีเนื้อนูนออกมาเยอะ ส่วนคุณนั้นน้อยกว่าคนอื่นมาก ผมเลยแยกออก"
คาเร็นคิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองนักล่าหญิงของเธอแต่ละคน แล้วหันกลับมาก้มมองหน้าอกของตัวเอง จากนั้นก็เงยหน้ามองชีฟแล้วฉีกยิ้มกว้าง
ชีฟที่กำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองก็มีอันต้องหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้ายจากหญิงสาวตรงหน้า
คาเร็นก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูของชีฟด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยจิตคุกคามอันรุนแรง
"เรื่องหน้าอกของหญิงห้ามพูดอีกเด็ดขาด ถ้าไม่อยากตาย"
ชีฟหน้าซีดและพยักหน้าหงึก ๆ
ตอนนี้คาเร็นรู้แล้วว่าความสามารถของชีฟคือเรดาห์ มันทำงานคล้ายกับคลื่นเสียงของค้างคาวแต่ดีกว่ามาก นั่นคือปล่อยบางอย่างออกไปและส่งสัญญาณกลับมาเป็นภาพสามมิติซึ่งจะทำให้ชีฟรู้ถึงรูปร่างและตำแหน่งสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมองเห็น
เมื่อรู้รูปแบบการทำงานของมันสิ่งต่อไปที่อยากจะรู้ก็คือระยะ คาเร็นให้นักล่าหญิงคนหนึ่งเดินไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่ออกไปเรื่อย ๆ เพื่อทดสอบ เมื่อนักล่าหญิงคนนั้นพ้นระยะห้าร้อยเมตรจากชีฟ ชีฟก็ไม่สามารถระบุรูปร่างของเธอได้ แต่ยังระบุได้ว่าเธออยู่ไหน และเมื่อพ้นระยะหนึ่งพันเมตร นักล่าหญิงคนนั้นก็หายไปจากภาพในหัวของชีฟ
จากนั้นก็ทดสอบต่อด้วยการให้นักล่าหญิงคนเดิมหลบไปอยู่ด้านหลังกำแพงบานใหญ่ ชีฟยังคงเห็นเธอ และเมื่อให้นักล่าหญิงเข้าไปในห้องที่ผนังทำจากคอนกรีตที่ถูกปิดเอาไว้ทุกด้าน ชีฟก็ยังคงเห็นเธอเช่นเดิม จนสุดท้ายเมื่อให้นักล่าหญิงเข้าไปอยู่ในกล่องโลหะที่หุ้มด้วยวัสดุพิเศษอย่างดีจนไม่มีสิ่งใดผ่านเข้าออกได้ ชีฟก็ไม่สามารถมองเห็นเธอได้อีก
เมื่อได้ข้อมูลจนพอใจ คาเร็นก็ปล่อยให้ชีฟได้ทดลองประสิทธิภาพของชุดเกราะตัวใหม่ ด้วยการปล่อยให้วิ่งไต่ไปตามตัวตึก ชีฟสามารถกระโดดจากชั้นหนึ่งไปชั้นสองได้ และล่วงตกจากตึกสูงสามชั้นโดยที่ไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ
เมื่อตกเย็นคาเร็นก็คุยถึงเหตุผลที่ให้เกราะใหม่กับเขาในครั้งนี้ อีกไม่กี่เดือนข้าง ๆ หน้าจะมีการประลองเพื่อคัดเลือกนักล่าวัยเยาว์เข้าร่วมองค์กรพีเนชั่นที่พึ่งจัดตั้งขึ้นมา คาเร็นไม่ได้ต้องการให้ชีฟเข้าร่วมกับองค์กร แต่ต้องการให้ชีฟต่อสู้และโชว์ประสิทธิภาพชุดเกราะของเธอออกสื่อเท่านั้น เพราะฉะนั้น จากนี้ชีฟจะต้องฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะเข้ารอบชิง เพื่อบรรลุเป้าหมายของคาเร็น
เมื่อห่างออกจากตัวเมืองมาห้าสิบกิโลเมตร พื้นที่ส่วนนี้จะถูกเรียกว่าวงแหวนชั้นที่สอง เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย และไม่เหมาะกับนักล่ามือใหม่เป็นอย่างยิ่ง
แคทเทอลีนและเร็กซี่ซุ่มอยู่บนดาดฟ้าของตึกสูงสิบชั้นเพื่อดูปฏิบัติการของหน่วยพีเนชั่นจำนวนสิบคนที่กำลังล้อมยักษ์ตาเดียวเอาไว้ ยักษ์ตัวนี้มีขนาดเท่าตึกสามชั้น และมันถูกจัดให้เป็นสัตว์อสูรด้วยกระบองหนามที่เจ้ายักษ์ถืออยู่นั้น ทุกครั้งที่ฟาดลงมาจะปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าออกมาด้วย
แคทเทอลีนมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อแล้วพูดว่า
"เอาจริงดิ ใช้แค่สิบคนเนี่ยนะ"
"ไม่ สิบเอ็ดต่างหาก ดู"
เร็กซี่ชี้ไปบนดาดฟ้าของตึกสูงห้าชั้นหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่มีการต่อสู้ แล้วพูดต่อ
"หมอนั่นเป็นผู้ใช้พลังจิตแน่เลย"
"แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ยังน้อยเกินไปอยู่ดี"
"ฉันว่าเอาอยู่ เจ้ายักษ์นั่นยังฟาดไม่โดนเลยสักคน แถมคลื่นไฟฟ้าก็ทำอะไรชุดเกราะของพวกนั้นไม่ได้"
สองสาวจ้องมองการต่อสู้อันดุเดือดข้างล่าง ทหารสิบกว่าคนพยายามระดมยิงไปที่ดวงตาอันใหญ่โตของเจ้ายักษ์ แต่มันก็ยกมือข้างซ้ายที่ไม่ได้ถือค้อนขึ้นมาป้องกันไว้ตลอด ดวงตานั่นคือจุดอ่อนเดียวของมันที่จรวดแบบประทับบ่าจะสร้างความเสียหายให้มันได้ แม้การโจมตีจะเป็นไปอย่างยากเย็น แต่เจ้ายักษ์ก็ไม่สามารถโจมตีเหล่าทหารได้ง่าย ๆ เช่นกัน ทุกครั้งที่มันฟาดค้อนลงมา มันจะฟาดใส่พื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีทหารยืนอยู่เลย คลื่นกระแสไฟฟ้ากระจายไปรอบ ๆ เป็นวงกว้าง แม้มันจะกระจายไปโดนเหล่านักล่า แต่นักล่าพวกนั้นก็ไม่เป็นอะไรเลย มีเพียงแค่ระบบของอาวุธใช้งานไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น
แคทเทอลีนยังคงแย้ง และชี้ให้เห็นพฤติกรรมของคนที่ใช้พลังจิต
"สังเกตมั้ยว่าทุกครั้งที่เจ้ายักษ์นั่นจะฟาดค้อน คนที่ใช้พลังจิตจะเกร็งมือตลอด ซึ่งแสดงว่าพลังจิตยังคงไม่กล้าแกร่งมากพอที่จะบังคับเจ้ายักษ์นั่นได้ทั้งตัว ทำได้แค่ขัดจังหวะการโจมตีของมันเท่านั้น"
"ก็จริง หากเป็นฉันคงจะบังคับมือข้างที่ป้องกันดวงตาเอาไว้ให้เหวี่ยงไปทางอื่น แต่เหมือนจะเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับผู้ใช้พลังจิตคนนั้น"
ในขณะที่สองสาวกำลังวิจารณ์การต่อสู้ นักล่าคนหนึ่งมองไปที่คนที่ใช้พลังจิต และทำท่าตะโกนโวยวายอย่างไม่พอใจ ด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เจ้ายักษ์ใช้ค้อนอันใหญ่โตฟาดเกือบโดนนักล่าอีกคน หากนักล่าคนนั้นไม่วิ่งหลบฉากออกมา ร่างทั้งร่างคงจะเละเป็นหมูสับไปแล้ว นักล่าคนที่ตะโกนหันไปคุยกับนักล่าคนอื่น แล้ววิ่งเข้าไปในตึกข้าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับเจ้ายักษ์ จากนั้นไม่นานเขาก็โผล่ออกมาจากชั้นสี่และรอจังหวะให้เจ้ายักษ์ใหญ่ฟาดค้อนลงพื้น ก่อนจะกระโดดไปยืนบนหัวของมันและเล็งจรวดประทับบ่าไปที่ดวงตา เจ้ายักษ์ใหญ่ใช้มือที่เคยป้องกันดวงตามาตลอดเหวี่ยงขึ้นไปบนหัวของมัน นักล่าอีกคนที่รอจังหวะอยู่ด้านล่างก็ยิงจรวดออกไปทันที นักล่าคนที่อยู่บนหัวก็กระโดดหนีทันทีเช่นกัน เชือกที่ผูกอยู่ด้านหลังรั้งนักล่าคนนั้นไว้ก่อนที่จะตกลงถึงพื้น ส่วนเจ้ายักษ์ใหญ่ก็โดนลูกจรวดเจาะเข้าไปในดวงตาและระเบิดทำลายสมองของมันจากด้านใน ร่างใหญ่ ๆ ล้มใส่ตึกจนเกิดเสียงดัง
การต่อสู้จบลงด้วยชัยชนะของนักล่าทั้งสิบเอ็ดคน และเมื่อการต่อสู้จบลง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากตึก คนกลุ่มนี้มีหญิงสาวแต่งตัวดูดีเดินนำหน้ากลุ่ม และมีคนสวมชุดคลุมสีขาวเหมือนนักวิทยาศาสตร์สองสามคน ส่วนที่เหลืออีกสิบกว่าคนเป็นนักล่าที่ยังดูเป็นวัยรุ่นทั้งหมด
นักล่าคนที่กระโดดไปบนหัวยักษ์ยืนประจันหน้ากับหญิงสาวที่แต่งตัวดูดี ก่อนจะเกิดปากเสียงกันเล็กน้อยจากนั้นนักล่าทั้งสิบคนก็พากันขึ้นรถฮัมวี่จากไปอย่างไม่สบอารมณ์
แคทเทอลีนหันมามองหน้าเร็กซี่แล้วพูด
"คิดว่าพวกนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไร"
"ยัยคนแต่งตัวหรูหรานั่นเป็นหัวหน้าองค์กรพีเนชั่น ยัยนั่นจะชอบใช้ข้ออ้างว่าอาวุธที่ผลิตจากองค์กรนั้นมีประสิทธิภาพมากในการลดค่าตัวนักล่า คงจะเป็นเหตุผลนี้แน่ ๆ"
"ใช่ ผู้ใช้พลังจิตนั่นเป็นคนของเธอเสียด้วย คงจะอ้างเรื่องนี้ลดค่าจ้างได้ไม่ยาก"
แคทเทอลีนพูดในขณะที่สายตาก็มองผู้ใช้พลังจิตที่กำลังเดินมารวมตัวกับกลุ่มคนของหญิงสาวที่แต่งตัวดูดี
ทหารหรือก็คือนักล่าในยุคนี้นั้นมีค่าจ้างสูงมาก แต่มันก็สมเหตุสมผลกับการที่พวกเขาต้องออกไปเสี่ยงชีวิตสู้กับสัตว์อสูรหรือสัตว์ประหลาด แต่ด้วยค่าจ้างที่สูงนี้ก็ได้ทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ และคิดที่จะนำระบบเงินเดือนแบบเก่ามาใช้เพื่อลดการจ่ายเงินให้กับนักล่าเหล่านี้ แต่ปัญหาของเรื่องนี้นั้นติดอยู่ที่ว่า เมื่อก่อนนักล่าหรือทหารนั้นรบด้วยข้ออ้างของคำว่าการทำเพื่อชาติเป็นทหารต้องรักชาติ แต่ตอนนี้ชาติที่ว่าไม่เหลืออีกแล้ว เหลือแค่เพียงเมืองเล็ก ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด นั่นทำให้แผนการขององค์กรพีเนชั่นนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามและเปลี่ยนแผนด้วยการหาเงินทุนมาสร้างอาวุธประสิทธิภาพสูง เพื่อทำให้นักล่าสามารถสู้รบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และปลอดภัยขึ้นเมื่อต้องออกรบ แต่ข้อแลกเปลี่ยนกับการจะได้ใช้อาวุธเหล่านี้นั้นก็คือค่าจ้างที่ลดลง นั่นทำให้เหล่านักล่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก และทำให้นักล่าส่วนมากไม่อยากรับคำขอการจ้างงานจากองค์กรแห่งนี้ องค์กรจึงได้เปลี่ยนแผนไปเป็นฝึกฝนเด็กรุ่นใหม่ให้มาเป็นนักล่าของตนแทน โดยมีเป้าหมายไปที่เด็กกำพร้าและเด็กยากจนตามเขตชนบท ซึ่งการคัดเลือกเด็กที่มีแววหรือความสามารถที่จะเป็นนักล่าได้ กำลังจะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้