หลังจากได้ยินสิ่งที่คาเร็นบอก ชีฟก็ฝึกฝนอย่างหนักทุกเช้าชีฟจะวิ่งไปซื้อวัตถุดิบมายัดใส่ตู้เย็นในห้องของชิซูกะ พอสาย ๆ หากวันไหนคริสและฮิกมีภารกิจง่าย ๆ ก็จะมารับชีฟไปด้วย แต่ถ้าวันไหนคริสและฮิกไม่มารับ ชีฟก็จะออกไปคนเดียว ทั้งฝึกวิ่ง ฝึกยิงปืน และฝึกใช้พลังจิตของตัวเองให้คล่องแคล่ว ชีฟทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายสัปดาห์จนร่างกายของเขาตอนนี้ไม่มีตึกสูงตึกไหนที่เขาขึ้นไม่ได้ และไม่มีสัตว์ตัวไหนที่เขายิงไม่โดน
เช้าวันธรรมดา ชีฟนั่งรับประทานอาหารอยู่กับครอบครัวของเขาซึ่งก็มีแม่และชิซูกะ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ จนกระทั่งเสียงไซเรนของเมืองได้ดังขึ้น ชีฟมีท่าทีตื่นเต้นและเอาบัตรนักล่าของตัวเองออกมาดู ก่อนจะพบว่าเขามีสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย
เสียงไซเรนนี้เป็นการประกาศระดมพลฉุกเฉิน หากว่ามีสัตว์อสูรที่ร้ายกาจเข้ามาใกล้เมือง นักล่าที่มีประสบการณ์มากกว่าสองปีขึ้นไปจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการระดมพลครั้งนี้ ส่วนนักล่าประสบการณ์น้อยอย่างชีฟ มีสิทธิ์เลือกที่จะไปหรือไม่ไปก็ได้
ชีฟลุกจากเก้าอี้ทั้งทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารไม่หมด ก่อนจะบอกลาแม่และชิซูกะ
"ผมขอตัว"
จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องไป
จุดระดมพลมีสองแห่ง เนื่องจากสัตว์อสูรครั้งนี้นั้นมีสองตัว และพวกมันมาจากสองทิศทาง นั่นคือเหนือและใต้ ชีฟเลือกมายังทิศเหนือเนื่องจากอยู่ใกล้บ้านของเขา
จุดระดมพลเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ที่ตรงกลางมีรูปปั้นนักล่าผู้กล้าหาญอยู่เจ็ดคน ซึ่งในตำนานกล่าวเอาไว้ว่าพวกเขาเป็นนักล่าที่ก่อตั้งเมืองแห่งนี้ขึ้น หน้ารูปปั้นมีชายคนหนึ่งกำลังยืนอธิบายสถานการณ์ให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด
สัตว์อสูรแมงมุมยักษ์สองตัวหลุดรอดจากเหล่านักล่ามีระดับที่อยู่ไกลออกไปเข้ามาได้ และกำลังมุ่งหน้ามายังตัวเมือง โดยเจ้าแมงมุมตัวนี้สูงพอพอกับตึกสิบชั้น และยังมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่นั่นไม่ใช่ความน่ากลัวของมันทั้งหมด สัตว์อสูรขนาดใหญ่ตัวนี้มันยังมีความสามารถในการเรียกระดมพลเหล่าสัตว์ประหลาดและสัตว์อสูรที่ตัวเล็กหรืออ่อนแอกว่ามัน แถมก้นของมันยังผลิตสัตว์ประหลาดออกมาได้เองอีกด้วย นั่นทำให้ทางเมืองจำเป็นต้องใช้นักล่าทั้งหมดที่มีในการปกป้องเมือง ซึ่งตอนนี้ทั้งเมืองก็มีนักล่าอยู่เพียงแค่สองหมื่นกว่าคนเท่านั้น
แผนการของทางเมืองในครั้งนี้คือแบ่งเป็นสองทีมหลัก โดยจะมีทีมละห้าพันคน นักล่าทั้งห้าพันคนจะต้องหาทางกำจัดแมงมุมยักษ์ให้ได้ หากไม่สำเร็จ อีกหนึ่งหมื่นคนในเมืองก็จะใช้เมืองเป็นป้อมปราการในการสู้รบ ซึ่งในข้อนี้จะนำมาซึ่งการสูญเสียที่มากมายอย่างแน่นอน โดยนักล่าที่ออกไปจะได้ค่าจ้างเป็นจำนวนสองเท่าของค่าจ้างปกติ นั่นทำให้นักล่าหลายคนยอมที่จะอาสาออกไป
ในขณะที่กำลังรับฟังแผนการ คริสก็เหลือบมองเห็นเด็กคนหนึ่งยืนกระโดดเหย๋ง ๆ อยู่ท้ายแถว ก่อนจะเดินเข้าไปพูดคุยด้วย
"ไอ้หนู มาทำอะไร"
ชีฟยิ้มด้วยความดีใจที่เจอคนที่คุ้นเคย ก่อนจะพูดว่า
"ภารกิจนี้ผมร่วมด้วยได้มั้ย"
คริสทำหน้าคิดหนัก ก่อนจะตอบ
"กลับบ้านไปก่อน เธอยังไม่เหมาะกับภารกิจแบบนี้"
ชีฟทำหน้ามุ่ย ก่อนจะพยายามหาข้ออ้าง
"เกราะของผมดีมากเลยนะตอนนี้"
คริสยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธ
"ภารกิจนี้อันตรายมาก ถ้าเธอเป็นอะไรไปยัยเจ๊ผมแดงนั่นอาละวาดแน่นอน"
คราวนี้ชีฟหน้าหงอยทันที ก่อนจะเดินคอตกออกจากลานกว้าง เมื่อเดินออกมาจากลานกว้างชีฟก็เห็นว่าฮิกกำลังจัดเตรียมสิ่งของอยู่ท้ายรถกระบะ
ฮิกก็เห็นชีฟเช่นกัน ก่อนจะร้องทักออกไป
"เป็นอะไรชีฟ เดินคอตกเชียว"
ชีฟรีบเดินไปหาฮิก แล้วพูดเสียงเศร้า ๆ
"ลุงคริสบอกภารกิจครั้งนี้อันตราย ผมเข้าร่วมไม่ได้ ภารกิจครั้งนี้มันอันตรายมากขนาดนั้นเลยเหรอ"
ฮิกเงยหน้าเอามือจับคางทำท่าคิด แล้วตอบว่า
"ก็อันตรายนะ เอาเป็นว่าเขียนจดหมายลาครอบครัวไว้ได้เลยถ้าจะไป"
ฮิกตอบพลางลูบหัวชีฟอย่างเอ็นดู ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเลห์
"แต่ ฉันกับคริสอยู่แนวหลัง ไม่น่าจะอันตรายซะเท่าไหร่"
ฮิกพูดจบก็เอาถังน้ำมันถังหนึ่งออกจากท้ายกระบะแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดีทั้ง ๆ ที่มีน้ำมันเต็มถัง ก่อนจะเอาผ้ามาคลุมท้ายกระบะเอาไว้ ซึ่งตรงที่ฮิกเอาถังน้ำมันออกนั้น มันก็กลายเป็นช่องว่างที่พอจะให้เด็กคนหนึ่งซ่อนตัวได้ จากนั้นฮิกก็พูดว่า
"ในนั้นมีแต่กลิ่นน้ำมัน หมวกของเธอป้องกันมันได้ใช่มั้ย"
ชีฟยิ้มแฉ่งแล้วพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะสวมหมวกแล้วกระโดดเข้าไปในช่องที่ฮิกทำไว้ให้ จากนั้นฮิกก็จัดผ้าให้คลุมท้ายกระบะจนมิดชิด แล้วตรึงไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันของที่อยู่ท้ายกระบะกระเด็นออกมา
ตอนนี้แมงมุมยักษ์ด้านทิศเหนืออยู่ห่างจากกำแพงเมืองเพียงแค่สามสิบกิโลเมตร นั่นทำให้ทีมทิศเหนือต้องรีบออกปฏิบัติการก่อนเวลา
คริสและฮิกเป็นนักล่าที่แม้จะประสบการณ์สูง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก พวกเขาทั้งสองจึงถูกจัดให้อยู่ในหน่วยเสบียง ซึ่งมีหน้าที่คอยเติมเสบียงให้กับทีม อย่างเช่นน้ำมัน
ในขณะที่ขับรถ คริสก็ชวนฮิกพูดคุย เพื่อแก้อาการหวาดกลัว เพราะศึกครั้งนี้พวกเขามีสิทธิ์ตายได้ง่าย แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง แสงตะวันยามเช้าค่อย ๆ ถูกกลืนหายโดยกลุ่มเมฆจำนวนมาก ไม่นานนักแสงตะวันก็โดนกลืนหายไปจนหมด รถทุกคนเปิดไฟให้สว่างที่สุดทันที เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเจอ
ชีฟโผล่ออกมาจากผ้าคลุมก่อนจะพาตัวเองมาอยู่ตรงกระจกหลังรถแล้วเคาะแรง ๆ คริสมองกระจกมองหลังด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่เคาะกระจกรถนั้นเป็นใคร จากนั้นคริสก็ถลึงตามองฮิกที่ผิวปากทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในตอนนี้
"ฮิก"
"อะไร เด็กมันแอบมาเอง"
คริสส่ายหัวอย่างสุดเซ็ง ก่อนจะเปิดกระจกเพื่อที่จะได้รู้ว่าไอ้หนูหลังรถนั้นต้องการอะไร
"มีอะไรไอ้หนู"
ชีฟชี้ไปที่ด้านหลัง ซึ่งพื้นเดินนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น
"วานรล่องหน พวกมันตามเรามาเยอะเลย"
คริสสังเกตดูฝุ่นด้านหลังดีดี ก็พบว่ามันมีฝุ่นบางก้อนที่จับตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายลิงอยู่ด้วย ซึ่งการที่มีรถวิ่งหลายคันนั้นทำให้เกิดฝุ่นตลบ หากไม่สังเกตดีดีจะมองไม่เห็นเลย
คริสหน้าเครียดขึ้นมาทัน ก่อนจะเปิดใช้งานเครื่องมือสื่อสาร
"แจ้งเตือนถึงแนวหลังทุกคัน เปิดไฟท้ายให้สว่าง เรามีแขกไม่ได้รับเชิญ"
รถทุกคันที่อยู่แนวหลังเปิดไฟดวงใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ให้สว่างจ้าทันที วานรล่องหนจำนวนนับพันกำลังไล่ล่าพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้พวกมันจะวิ่งไม่ทันรถแต่ถ้าพวกเขาจอดเมื่อไหร่ เจ้าวานรพวกนี้จะลุมฉีกพวกเขาเป็นชิ้น ๆ
การสาดกระสุนชุดใหญ่เริ่มขึ้น รถที่รั้งท้ายทุกคันต่างพากันใช้อาวุธปืนของตัวเองกราดยิงใส่ฝูงวานร จนปริมาณของพวกมันเริ่มเบาบางลง
และไม่นานนักก็มีเสียงแจ้งผ่านเครื่องมือสื่อสารว่าอีกห้ากิโลเมตรจะถึงเป้าหมาย แต่ถึงแม้จะไม่มีการแจ้งเตือน ภาพแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป ก็ทำให้แนวหลังอย่างพวกชีฟรู้ได้ไม่ยากว่ากำลังจะถึงแล้ว
เมื่อขับมาได้สักพักคริสก็จอดรถกระบะรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ แนวหลังนั้นสัตว์ประหลาดไม่เยอะเท่าแนวหน้า นั่นทำให้พวกเขาสามารถรวมตัวกันตั้งรับได้สบาย ส่วนแนวหน้านั้นต้องอยู่บนรถกันตลอด เพราะพวกสัตว์ประหลาดตัวเล็กบางชนิดจะวิ่งเร็วเอามาก ๆ ความเร็วในการวิ่งของมนุษย์ไม่สามารถวิ่งหนีพวกมันได้นอกจากจะมีอาวุธหรือชุดเกราะประสิทธิภาพสูง
ชีฟคริสและฮิกยืนอยู่บนหลังคารถเพื่อค่อยป้องกันเหล่าสัตว์ประหลาดร่วมกับคนอื่น ๆ ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่กว้างขวาง นั่นทำให้รถกระบะหลายคันสามารถจอดหันท้ายให้กันแล้วเรียงเป็นวงกลมได้ สาเหตุที่ต้องจอดแบบนี้ก็เพื่อคอยป้องกันไม่ให้วานรล่องหนเข้ามาลอบทำร้ายพวกเขา
ทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงจะมีรถขับเข้ามาเพื่อขอเติมน้ำมันให้กับปืนพ่นไฟ และบางทีก็จะขอเติมน้ำมันให้เต็มถังตัวเองด้วย สัตว์ประหลาดในแนวหลังนั้นมีแค่วานรล่องหน แมงมุมตัวใหญ่ และหมาป่าตัวใหญ่ นั่นทำให้แนวหลังนั้นสามารถรับมือกับสัตว์ประหลาดและคอยเติมน้ำมันไปด้วยอย่างไม่ยากลำบากนัก
ผ่านไปแล้วเจ็ดชั่วโมง แต่การต่อสู้ก็ยังคงไม่สิ้นสุด แม้จะเห็นการระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้งรอบตัวแมงมุมยักษ์ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือมันพึ่งจะสูญเสียขาไปสองข้างเท่านั้น
นักล่าคนหนึ่งที่มากับรถฮัมวี่หุ้มเกราะอย่างหนา ตะโกนถาม
"เฮ้ย รถใครน้ำมันเยอะบ้าง เอาไปส่งแนวหน้าที"
ฮิกหันไปนับน้ำมันท้ายรถของตัวเองแล้วตอบ
"ทีมฉันเหลืออยู่ห้าถัง พอมั้ย"
"พอ ตามมา"
รถฮัมวี่หุ้มเกราะอย่างหนาก็ขับนำออกไป คริสและฮิกรีบขึ้นรถและขับตามไป ชีฟที่อยู่บนหลังคารถก็ต้องกลิ้งตัวลงมาอยู่บนท้ายกระบะเพื่อไม่ร่วงตกลงจากรถ
แนวหน้าและแนวหลังต่างกันลิบลับ แนวหน้านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดหลากหลายชนิดมากมาย ที่เห็นเยอะสุดก็คือมนุษย์หมาป่า พวกมันวิ่งไล่โจมตีรถฮัมวี่หุ้มเกราะอย่างไม่ลดละ แม้จะโดนยิงตายไปหลายตัว แต่เจ้าแมงมุมยักษ์ก็ยังปล่อยมนุษย์หมาป่าออกมาจากก้นของมันเรื่อย ๆ
แต่การที่มีมนุษย์หมาป่าเยอะขนาดนี้ มันกับเป็นการดีที่ชีฟจะได้ทดสอบฝีมือของตัวเอง ในขณะที่รถยังไม่หยุดวิ่ง ชีฟก็ตั้งใจเล็งยิงพวกมนุษย์หมาป่าอย่างมุ่งมั่น ทุก ๆ สี่ถึงห้านัด ชีฟจะสามารถยิงปลิดชีพพวกมันได้หนึ่งตัว ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าฝีมือของเขานั้นพัฒนาขึ้นมาก
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังหุ่นรบรูปร่างเหมือนมนุษย์สูงสามเมตรที่จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างใต้ของแมงมุมยักษ์ และบริเวณโดยรอบนั้นมีรถถังหุ้มเกราะสี่คันล้อมเอาไว้
น้ำมันปืนไฟและพลังงานในการขับเคลื่อนของหุ่นรบหมดพร้อมกันพอดี นั่นทำให้พวกเขาต้องให้แนวหลังเป็นฝ่ายเข้ามาสนับสนุนให้ คริสและฮิกแบกถังน้ำมันออกไปเพื่อเติมถังเชื้อเพลิงที่อยู่ด้านหลัง ในขณะที่ด้านหน้าของหุ่นรบ ก็มีคนเอาหลอดแก้วที่มีของเหลวด้านในเป็นสีม่วงมาสับเปลี่ยนกับหลอดแก้วเปล่าที่อยู่ด้านใน
"เข้าไปในรถ"
นักล่าคนหนึ่งตะโกนขึ้น นักล่าคนอื่น ๆ ก็พากันเข้าไปในรถของตัวเอง ในขณะที่คนอื่น ๆ เข้าไปด้านในตัวรถ ชีฟที่ไม่รู้อะไรก็กระโดดขึ้นท้ายกระบะรถแทน เพราะคิดว่าเป็นการเข้าไปในรถเหมือนกัน
ก้อนพลังงานสีฟ้าปรากฏขึ้นที่ใต้ท้องของแมงมุม มันปล่อยคลื่นแรงดึงดูดอันมหาศาลออกมา ชีฟที่ไม่ทันตั้งตัวก็โดนดูดขึ้นไป
"ชีฟ"
คริสที่ลืมไปว่าชีฟไม่รู้เรื่องนี้ก็เปิดประตูรถออกแล้วกระโดดคว้าชีฟเอาไว้จนลอยไปด้วยกัน
หุ่นรบลุกขึ้นยืน ก่อนจะมีเสียงคนตะโกนออกมาจากด้านใน
"ระดมยิงไปที่ก้อนพลังงาน อย่าให้มันชาร์ตจนเต็ม"
เสียงตะโกนดังผ่านเครื่องมือสื่อสารบอกนักล่าทุกคน กระสุนระเบิดและจรวดจำนวนมากก็พุ่งเป้าไปที่ก้อนพลังงานที่อยู่ใต้ท้องของแมงมุมทันที
คริสกอดชีฟเอาไว้และมองลงไปด้านล่าง ความสูงที่พวกเขาอยู่มันเท่ากับตึกสี่ชั้นและกำลังค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากก้อนพลังงานสลายหายไป พวกเขาจะรับมือกับแรงโน้มถ่วงของโลกยังไง และยังไม่ทันที่คริสจะคิดวิธีได้ ก้อนพลังงานก็โดนระดมโจมตีจนแตกสลาย ชีฟใช้ความสามารถของชุดเกราะที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวกลางอากาศได้แบกคริสไว้ด้านบนในขณะที่พวกเขากำลังร่วงลง
ทั้งสองคนร่วงกระแทกลงกับพื้น ชีฟร่วงลงในท่านั่งยอง ๆ ส่วนคริสนั้นชีฟไม่สามารถรับน้ำหนักได้ไหวก็เผลอทำหลุดร่วงหล่นกับพื้น แต่นั่นก็เป็นตอนที่ชีฟถึงพื้นแล้ว ทำให้คริสไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย
ฮิกรีบวิ่งมาดูทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าคริสไม่เป็นอะไรมาก ก็หันมามองที่ชีฟที่มัวแต่เอามือกุมเป้าตรงหว่างขาด้วยความเป็นห่วงแล้วถามออกไป
"เป็นอะไรมั้ยชีฟ"
ชีฟพยายามเค้นเสียงตอบออกมา
"ผมจุก"
ฮิกถึงกับหัวเราะออกมาแล้วตบหลังชีฟแรง ๆ ก่อนจะพูดว่า
"นั่นเรียกว่าจุกไข่ อีกสักพักเดี๋ยวก็หาย มา"
ฮิกอุ้มชีฟกลับไปที่รถ พร้อมกับคริสที่วิ่งตามมา ชีฟเมื่อหายจุกก็นึกถึงอะไรบางอย่างที่พลังจิตของเขาได้เห็น แล้วพูดออกมา
"แมงมุมตัวนั้นเป็นหุ่นยนต์เหรอ ผมเห็นห้องกับโถงทางเดินอยู่ด้านในด้วย"
คริสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแล้วเอ่ยถาม
"แมงมุมนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตนะ จะมีของแบบนั้นได้ไง"
หุ่นรบหันมองทั้งสามคนที่กำลังวิ่งกลับไปที่รถ ก่อนที่คนขับจะออกมา แล้ววิ่งเข้าไปหาชีฟ
"เธอเห็นมันจริง ๆ ใช่มั้ย ช่วยมากับฉันหน่อย"
คนขับหุ่นรบพยายามจะอุ้มเอาชีฟไป แต่กลับถูกคริสและฮิกรั้งไว้ นั่นทำให้คนขับต้องถอดหมวกออกมาแนะนำตัว เพื่อหวังว่ายศของเขาจะช่วยได้บ้าง
"ผมเดวิด เคิร์ก นักล่าระดับห้าสิบเจ็ด และเป็นผู้นำทีมเหนือในครั้งนี้ ขอรับประกันว่าเด็กของคุณจะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน"
นักล่ามีระดับนั้นถือว่าเป็นนักล่าที่เก่งเอามาก ๆ ยิ่งระดับมีตัวเลขที่สูงมากเท่าไหร่ก็หมายถึงความสามารถที่มากขึ้นตามเท่านั้น
ด้วยยศและชื่อเสียงของอีกฝ่าย ก็ทำให้ฮิกกับคริสยอมปล่อยให้เคิร์กอุ้มชีฟและพาเข้าไปในห้องบังคับหุ่นรบ
ชีฟมองแผงควบคุมในห้องอย่างตื่นเต้น ก่อนจะโดนอีกฝ่ายถาม
"เธอเห็นได้ไงว่าข้างในแมงมุมตัวนั้นมีอะไร"
"เอ่อ ถ้าตามที่คาเร็นบอกว่าเอาไว้ พลังจิตของผมมันเรียกว่าเรดาห์"
เคิร์กเลิกคิ้วอย่างสงสัย
"เรดาห์เหรอ พึ่งเคยได้ยิน แล้วเธอรู้มั้ยว่าตรงไหนของเจ้ายานรบรูปร่างแมงมุมยักษ์นั่นดูเปราะบางที่สุด"
ชีฟหลับตาเพื่อเพ่งสมาธิหาตำแหน่งที่ถูกถาม ก่อนจะเจอว่ามันมีประตูทางเข้าอยู่บนผิวหนังที่ติดกับส่วนหัวอันใหญ่โต
"ทุกด้านหนาหมดเลย แต่ผมเห็นกำแพงด้านหนึ่งมีลักษณะเหมือนประตูด้วย"
เคิร์กจ้องชีฟนิ่ง และคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะให้ชีฟบอกตำแหน่งที่คาดว่าน่าจะเป็นประตู
"ประตูอยู่ไหน"
ชีฟชี้ไปบนจอที่แสดงภาพภายนอกหุ่น
"ตรงนั้น ด้านบน"
เคิร์กประกาศผ่านช่องสื่อสารทันที
"หุ่นรบทุกตัว พยายามขึ้นไปบนตัวแมงมุมยักษ์ให้ได้"
เคิร์กบังคับหุ่นรบให้ปีนไต่ขึ้นไปบนตึกสูงสิบชั้น แล้วกระโดดเข้าหาแมงมุม แมงมุมนั้นอยู่ไกลเกินไปทำให้แรงส่งนั้นไม่มากพอ เมื่อแรงส่งจากการกระโดดกำลังจะหมดและหุ่นเริ่มถูกแรงโน้มถ่วงดึงลง ไอพ่นที่ติดอยู่ด้านหลังและหลังเท้าทั้งสองข้างก็ทำงาน ก่อนจะประคองให้หุ่นรบลอยไปจนถึงตัวแมงมุม ซึ่งหุ่นรบตัวอื่น ๆ อีกเจ็ดตัวก็ทำเช่นเดียวกัน
เคิร์กบังคับให้หุ่นรบใช้ปืนไฟเผาตรงจุดที่ชีฟบอกจนผิวหนังส่วนนั้นละลาย และเผยให้เห็นประตูบานหนึ่ง
"ประตูจริงด้วย"
เสียงของหญิงสาวดังมาจากหุ่นรบอีกตัวที่ยืนมอง ประตูที่เจอนั้นมีขนาดเล็กกว่าหุ่นรบมาก นั่นทำให้เคิร์กต้องตัดสินใจลงจากหุ่นรบและออกคำสั่ง
"สี่คนมากับฉัน อีกสามเฝ้าด้านนอกเอาไว้"
แม้หุ่นรบจะมีระบบยึดเกาะแต่ก็อาจถูกโจมตีได้ นั่นทำให้เคิร์กต้องทิ้งคนไว้ด้านนอกบ้าง เคิร์กให้คนที่อยู่ในหุ่นพ่นไฟอีกครั้งเพื่อหลอมประตูเหล็กให้ละลาย ก่อนจะพากันเข้าไปด้านใน โดยมีชีฟเข้าไปด้วย เมื่อเข้ามาด้านในเคิร์กก็ตบหลังชีฟแล้วถามว่า
"รู้มั้ยว่าห้องควบคุมยานเกราะนี้อยู่ไหน"
ชีฟมองเคิร์กแล้วกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะถามกลับ
"อะไรคือห้องควบคุมยาน"
"เคยดูหนังมั้ย สงครามอวกาศอะไรพวกนี้"
ชีฟส่ายหัว เขาเป็นเด็กจน ๆ ที่พึ่งจะสร้างตัวได้ไม่นาน แน่นอนว่าไม่เคยดูของพวกนี้
เคิร์กตบหน้าตัวเองเบา ๆ แล้วพูดต่อว่า
"โอเค จบศึกนี้เดี๋ยวซื้อหน้าจอกับชิปที่บรรจุหนังให้ แต่ตอนนี้ฟังฉันดีดีนะ"
เคิร์กเงียบครู่หนึ่งเพื่อนึกภาพบางอย่างก่อนจะเริ่มบรรยายออกมา
"ห้องใหญ่ ๆ มีโต๊ะกับเก้าอี้เยอะ ๆ และมีผู้คนยืนอยู่รอบห้อง แล้วก็มีเก้าอี้หรือมีคนยืนอยู่ตรงกลางคอยชี้สั่งคนนู้นคนนี้"
ชีฟยิ้มและบางอ้อขึ้นมา เพราะภาพในหัวเขามันมีของคล้าย ๆ กับที่อีกฝ่ายพูดมาเหมือนกัน ถึงสิ่งมีชีวิตในห้องนั้นจะดูไม่เหมือนคนก็ตาม
"ทางนี้"
ชีฟวิ่งนำคนทั้งห้าไปยังทางเดินยาว ๆ ที่อยู่ด้านหน้า
ในขณะที่ห้าคนหนึ่งเด็กกำลังวิ่งอยู่ตามทางเดินยาว ๆ ภายในห้องที่เต็มไปด้วยแผงควบคุมหน้าตาประหลาดมากมายก็กำลังพากันแตกตื่น
มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งเดินเข้าไปหาชายสูงวัยที่มีเขาเหมือนแพะและปีกเหมือนค้างคาว ชายคนนี้สวมชุดเกราะอัศวินสีแดงแบบชาวยุโรปโบราณที่ดูมีสง่าราศี มนุษย์หมาป่าเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"มนุษย์มันรู้วิธีเข้ามาข้างใน พวกเราต้องทำไงต่อ"
ชายสูงวัยตอบกลับก่อนจะโบกมือเล็กน้อย ก็พลันปรากฏเป็นตัวอักษรเรืองแสงหน้าตาแปลก ๆ มากมายล้อมรอบตัวเอาไว้
"ก็เหมือนทุกที จะให้มนุษย์รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราไม่ได้ ทำลายตัวเองซะ"
"ตามท่านบัญชา"
มนุษย์หมาป่าโค้งคำนับให้กับชายสูงวัยก่อนที่เขาจะหายไป จากนั้นมนุษย์หมาป่าก็หันไปสั่งการมนุษย์หมาป่าตัวอื่น ๆ
"เปิดระบบ..."
ยังไม่ทันที่มนุษย์หมาป่าจะพูดจบ ด้วยความสามารถของชีฟคนทั้งหกก็มาถึงห้องควบคุมเร็วกว่าที่พวกมนุษย์หมาป่าได้คาดคิดเอาไว้ เคิร์กเล็งปืนไปทางพวกเขาแล้วตะโกน
"หยุดอย่าขยับ"
นักล่าหญิงที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดทวนคำ
"หยุดอย่าขยับ ใส่มนุษย์หมาป่าเนี่ยนะ"
เคิร์กตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"พวกนี้น่าจะมีภูมิปัญญา ไม่เห็นเหรอพวกมันควบคุมยานลำนี้ได้"
"ก็อาจจะเป็นแบบนั้น"
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจ้องตากัน เคิร์กก็ดันชีฟให้ไปอยู่กับนักล่าหญิง
"เซลีน ฝากเจ้าหนูนี่ไว้ที"
มนุษย์หมาป่าสิบกว่าตัวในห้องแยกเขี้ยวใส่พวกเขา ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าใส่ คนทั้งหมดก็เริ่มกราดยิงเช่นกัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนชีฟอยู่กับคริสและฮิก นักล่าทั้งสี่คนสามารถสู้ระยะประชิดกับมนุษย์ป่าสูงสองเมตรได้อย่างสูสี เมื่อเข้าระยะประชิดพวกเขาจะเปลี่ยนจากปืนเป็นมีดสั้นหรือบางคนก็ใช้ดาบ และเมื่อสู้ระยะไกล ปืนก็ถูกหยิบจับออกมาใช้อีกครั้ง
เคิร์กพยายามเล็งยิงมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ที่แผงควบคุม แต่มนุษย์หมาป่าตัวอื่นก็พยายามจะสกัดเอาไว้ เคิร์กจึงตัดสินใจโยนระเบิดหนึ่งลูกกลิ้งระนาบไปกับพื้นลอดหว่างขามนุษย์หมาป่าสองตัว และตรงไปยังมนุษย์หมาป่าที่อยู่ตรงแผงควบคุม ตูม!! ระเบิดสำแดงฤทธิ์เดชดีดมนุษย์หมาป่าให้ลอยไปติดเพดานและทำลายขาทั้งสองข้างของมันจนแหลกละเอียด
ในเวลาไม่กี่อึดใจ มนุษย์หมาป่าก็โดนกำจัดจนหมด นักล่าชายตัวโตคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
"แล้วเราจะหยุดเจ้านี่ยังไง"
ทุกคนมองไปรอบ ๆ แผงควบคุมที่อยู่ติดกับผนังนั้นพวกมันไม่มีปุ่มกด มีแต่ตัวอักษรแปลก ๆ เรืองแสงสีแดงสีฟ้าเต็มไปหมด ในขณะที่พวกเขากำลังคิดหาทาง อยู่ดีดีก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนพวกเขาแทบจะเสียหลักล้ม ก่อนที่ทุกสายตาจะมองไปยังชีฟที่อยู่ใกล้แผงควบคุมที่สุด
ชีฟรีบแก้ตัว
"ผมแค่ลูบมันเบา ๆ"
เซลีนชี้นิ้วสั่งด้วยน้ำเสียงอันดุดัน
"อย่าแตะอะไรอีก"