ด้วยความช่วยเหลือของชีฟ ฝั่งเหนือสามารถจบการต่อสู้ได้เร็วกว่าฝั่งใต้ถึงเก้าชั่วโมง การต่อสู้ของฝั่งใต้นั้นจบด้วยการที่แมงมุมยักษ์ระเบิดตัวเองจนแหลกเป็นชิ้น ๆ หลังจากที่พวกมันโดนทำลายขาจนหมด
ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นระเบิดที่มีความร้อนสูง มันหลอมละลายชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกกระจายจนไม่สามารถดูออกได้เลยว่ามันคือเครื่องจักร ในการต่อสู้ครั้งก่อน ๆ ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นทุกครั้ง มีเพียงเคิร์กคนเดียวที่พยายามนำเอาซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยของมันที่ยังพอหลงเหลืออยู่มาปะติดปะต่อกันจนพอจะเดาได้ว่ามันไม่ใช่สัตว์ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาเลย จนชีฟพูดถึงมันเข้า เคิร์กจึงได้มีโอกาสพิสูจน์
หลังจากจบศึก ฝังเหนือก็ได้รางวัลมากว่าฝั่งใต้อย่างมโหฬาร แมงมุมยักษ์ที่ได้มานั้นมันคือยานเกราะขนาดยักษ์ แม้จะยังไม่รู้วิธีใช้ แต่การได้เทคโนโลยีที่พวกเขาไม่รู้จักมานั้น มันสามารถบ่งบอกอะไรได้หลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ เรื่องที่แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 50 ปี พวกเขาก็ยังไม่เคยที่จะได้รับรู้ถึงมัน
ในคำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองร้านอาหารประจำของนักล่า จำเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือจากร้านอื่น ๆ เพื่อเสริมโต๊ะและการบริการให้มากขึ้น เนื่องจากวันนี้นักล่าห้าพันคนต่างพากันมารวมตัวยังสถานที่แห่งนี้ ด้วยจำนวนที่มากมายทำให้ทางร้านต้องเอาโต๊ะเก้าอี้หลายตัวมาวางเสริมด้านนอกร้าน
เด็กตัวเล็กกำลังถูกชายฉกรรจ์หลายคนโยนข้ามหัวส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ไปยังใจกลางร้านอาหารชีฟเป็นลูกครึ่งเอเชียแต่คนส่วนใหญ่ของที่นี่นั้นเป็นคนยุโรป นั่นทำให้ชีฟดูตัวเล็กเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ใจกลางพวกเขา
เคิร์กแบกชีฟที่ถูกส่งมาจนถึงเขาขึ้นไปนั่งบนไหล่แล้วขึ้นไปยืนบนโต๊ะอาหารจากนั้นก็เริ่มกล่าวปราศรัย เคิร์กเริ่มด้วยเรื่องราวการต่อสู้กับแมงมุมยักษ์ที่ดุเดือด จากนั้นก็ตามด้วยสิ่งที่เขาสงสัยมานานเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่มาโจมตีพวกเขาทุก ๆ หนึ่งถึงสองปี และจบท้ายด้วยเรื่องของชีฟ ที่เหมือนทุกคนจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะพวกเขามักจะเห็นชีฟโผล่มาที่ร้านนี้ แล้วจบด้วยการโดนหญิงสาวคนหนึ่งมาตามกลับไปอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อการปราศรัยจบทุกคนก็ส่งเสียงเชียร์ให้กับเคิร์กและชีฟ ด้วยความตัวเล็ก ชีฟโดนจับโยนขึ้นกลางอากาศโดยเหล่านักล่าชายหญิงผู้แข็งแกร่ง ซึ่งไม่รู้โยนกันอีท่าไหน ชีฟก็ล่วงไปอยู่กลางกลุ่มของเหล่าสาว ๆ นุ่งน้อยห่มน้อย สาว ๆ ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดให้กับเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก และพากันรุมหอมหัวหอมแก้มไปคนละทีสองที จนสักพักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่แผ่รังสีของนางยักษ์ออกมา แล้วฝ่าวงล้อมเข้ามาฉุดกระชากลากถูตัวชีฟออกไป
ชีฟนั่งดูอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะส่งกุ้งย่างถาดใหญ่ให้แม่ของตนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"กินมั้ยแม่ มันเรียกว่ากุ้งละ"
ผู้เป็นแม่ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วรับจานอาหารไปวางไว้ตรงหน้าตัวเอง
"ขอบใจนะลูก"
จากนั้นชีฟก็หยิบมาอีกจานแล้วหันไปหาชิซูกะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
"กินมั้ย"
ชิซูกะยิ้มแล้วตอบกลับอย่างอ่อนโยน
"ขอบใจนะ"
ชีฟส่งกุ้งให้คนอื่นเสร็จเรียบร้อย ตัวเขาก็เอาปลาหมึกย่างมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ชีฟกำลังติดอยู่กับการกินอาหารที่ไม่รู้จัก ฮิกก็โผล่มาข้างหลังแล้ววางมือที่ไล่ทั้งสองข้างของชีฟ แล้วก้มหัวให้กับแม่ของชีฟเล็กน้อย
"คุณนายเชสเตอร์"
แม่ของชีฟก้มหัวรับ
"ขอบคุณที่ดูแลลูกของฉันเป็นอย่างดี และขอโทษด้วยถ้าชีฟทำอะไรให้พวกคุณลำบาก"
"ไม่เลย ชีฟเป็นเด็กดีมาก ยังไงผมขอตัวชีฟสักครู่นะ"
พอพูดถึงตรงนี้ชิซูกะที่นั่งข้าง ๆ ชีฟก็เงยหน้าถลึงตามองฮิกทันที ด้วยอีกฝ่ายมักจะสอนชีฟแต่เรื่องไม่ดี
"ฉันไม่พาไอ้หนูไปยัดให้สาว ๆ หลอกน่า แค่จะขอยื่มไปเป็นกามเทพหน่อยแค่นั้นเอง"
ฮิกพูดจบก็ดึงชีฟออกจากเก้าอี้แล้วพาเดินไปด้วยกัน นั่นทำให้ชิซูกะแอบเคืองเล็กน้อย เพราะชีฟมักจะดื้อกับเธอ แต่พอไปกับคนพวกนี้ชีฟจะเดินตามต้อย ๆ ไม่เถียงสักคำ
ฮิกพาชีฟไปที่โต๊ะของตัวเอง ซึ่งมีคนอื่น ๆ และคริสที่กำลังนั่งจ้องดูบัตรของตัวเองอยู่ ที่หน้าบัตรของคริสนั้นโชว์ตัวเลขเงินในบัญชีทั้งหมดของคริสขึ้นมา สักพักคริสก็หันไปมองที่กลางร้าน ซึ่งจะมีสาว ๆ นุ่งน้อยห่มน้อยนั่งรอให้มีชายหนุ่มมาควงพวกเธอไป คริสมองสับไปสับมาระหว่างกลุ่มสาว ๆ กับหน้าบัตรของตัวเอง
ฮิกนั่งลงและขีดเขียนข้อความบางอย่างลงกระดาษ และเมื่อเขียนเสร็จก็หันมาหาชีฟและส่งแผ่นกระดาษให้ จากนั้นก็ถามว่า
"อ่านหนังสือออกใช่มั้ย"
ชีฟพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะมองข้อความในกระดาษ ฮิกหมุนตัวชีฟให้หันหน้าไปทางกลุ่มสาว ๆ ที่อยู่กลางร้าน แล้วผลักชีฟให้เดินไปหาสาว ๆ พวกนั้น
"ไปอ่านข้อความนี้ให้สาวชุดม่วงคนนั้นฟังนะ ไป"
ชีฟเดินเข้าไปหาสาว ๆ แล้วหยุดตรงหน้าหญิงสาวในชุดราตรีสีม่วง ชุดราตรีที่เธอใส่นั้นเป็นชุดที่เน้นโชว์สัดส่วนของอิสตรีเป็นอย่างมาก ผมสีทองยาวสลวยของเธอดูงดงามด้วยผ่านการดูแลเป็นอย่างดี ผิวพรรณของเธอยังคงขาวเปล่งปลั่งแม้อายุจะมากกว่าสามสิบแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอันสวยงามของเธอจ้องมองชีฟด้วยความประหลาดใจ เธอเสยผมไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม
"มีอะไรจ๊ะ อยากควงฉันเหรอ"
ชีฟส่ายหัว ก่อนจะเอากระดาษที่ฮิกให้ขึ้นมาถือไว้ตรงหน้า สาว ๆ ที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันมามองชีฟเป็นตาเดียว ด้วยความสงสัยว่าเด็กน้อยกำลังจะทำอะไร ชีฟเริ่มอ่านข้อความ
"คุณจำเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนได้ไหม ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เราสองคนเคยบังเอิญได้เจอกัน"
อ่านถึงตรงนี้หญิงสาวชุดม่วงก็เลิกคิ้วแล้วเพ่งสายตาไปยังชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองชีฟแล้วฟังต่อ
"จากนั้นเราก็เจอกันอีกหลายครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายที่ผมได้สัญญาเอาไว้ว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวและมารับคุณไปดูแล วันนี้ผมทำสำเร็จแล้วนะ"
เหล่าสาว ๆ ที่อยากรู้ว่าบุคคลในเนื้อหานี้เป็นใครก็พากันพูดยั่วยุให้อีกฝ่ายแสดงตัว
"ใครกัน ขี้ขลาดจังเลยใช้เด็กมาพูดแทนแบบนี้"
เมื่อชีฟอ่านถึงตรงนี้ โต๊ะอาหารฮิกนั่งอยู่ก็เกิดการต่อสู้ขึ้น ฮิก ไจโร อลาสก้า แจ็คเกอร์และสตาร์ค ทั้งห้าคนกำลังพากันปลุกปล้ำชายร่างกำยำ ก่อนจะสามารถหามอีกฝ่ายให้ลอยขึ้นจากพื้นได้สำเร็จ จากนั้นชายร่างใหญ่หรือคริส ก็ถูกเพื่อนทั้งห้าคนโยนลอยละริ้วมาล่วงกระแทกพื้นอยู่ข้าง ๆ ชีฟ
คริสค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง สายตาเอาแต่ก้มมองพื้น ก่อนจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง
"เอ่อ คือ"
คริสยังคงอ้ำอึ่ง ตอนนี้นักล่าที่อยู่โดยรอบต่างพากันเงียบสนิท และหันมามองที่พวกเขาเป็นตาเดียว
ชีฟที่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้จากเรื่องเล่าของชิซูกะมาก่อน ก็วิ่งไปรอบร้านแล้วไปรวบรวมเอาดอกไม้จากแจกันที่ประดับตามร้านมามัดไว้เป็นช่อเดียวกันด้วยเชือก ๆ ที่ได้มาจากนักล่าสาวใจดีคนหนึ่ง จากนั้นชีฟก็วิ่งกลับมาหาคริสและส่งดอกไม้ให้ คริสรับดอกไม้ไปถือไว้ในมือ สายตาที่เอาแต่จ้องมองพื้นก็เปลี่ยนมาเป็นมองที่ดอกไม้แทน
หญิงสาวที่เป็นเพื่อนของสาวเสื้อม่วงก็พูดขึ้น เมื่อเห็นว่าคนบางคนยังคงทำตัวขี้ขลาด
"เบื่อจังเลย ไปที่อื่นกันดีกว่าอีวา"
หญิงสาวคนนั้นทำท่าจะลุกขึ้นและจูงเพื่อนสาวของเธอไปด้วย
คริสโพร่งขึ้นมาทันที
"ช่วยรับดอกไม้ไว้ได้มั้ย"
คริสนั่งคุกเข่าแล้วยื่นดอกไม้ไปตรงหน้าหญิงสาวเสื้อสีม่วงที่ชื่ออีวา
อีวารับดอกไม้มาไว้ในมือ
"ขอบคุณนะ"
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ฮิกตบหน้าตัวเองดังผัวะเมื่อเพื่อนสุดแกร่งของเขาตอนนี้มันดันทำตัวเป็นไอ้โง่ซะแล้ว ฮิกขว้างอนุ่งใส่หัวชีฟ เมื่อชีฟหันไปมองฮิกก็ทำท่าทางชี้นิ้วใส่กระเป๋าเสื้อของตัวเอง จากนั้นก็ชี้ไปที่คริส ชีฟชะโงกหน้าดูในกระเป๋าเสื้อก่อนจะเห็นว่ามันมีกล่องอะไรบางอย่างอยู่ ชีฟถือวิสาสะล้วงมือเข้าไปแล้วเอาออกมาใส่มือคริสทันที คริสมองกล่องในมือก่อนจะอ้ำ ๆ อึ่ง ๆ ตามเคย แต่ในเมื่อเรื่องมันถึงขนาดนี้แล้ว คริสก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปมองก๊วนเพื่อนตัวแสบ แล้วหันมามองชีฟที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก็เงยหน้ามองอีวาที่จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ให้กำลังใจ คริสเปิดกล่องเล็ก ๆ ก่อนจะเผยให้เห็นแหวนสีเงินราคาถูก คริสยื่นกล่องแหวนไปด้านหน้าแล้วพูด
"คือ มันเป็นแค่ของราคาถูก เพราะฉันคิดว่าเราควรเก็บเงินไว้สำหรับอนาคต ฉัน ฉัน"
เมื่อนึกถึงรูปร่างและราคาของแหวน ความคิดที่ว่าเขากำลังทำให้หญิงสาวขายหน้าก็แล่นเข้ามาในหัวของคริส
นิ้วที่เรียวบางยื่นมาข้างหน้า ก่อนที่นิ้วนางข้างซ้ายอันเรียวสวย จะค่อย ๆ สวมเข้าไปในแหวนวงนั้น โดยไม่สนใจเลยว่ามันจะเป็นแค่แหวนราคาถูก ที่หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป เธอไม่คิดที่จะรังเกียจแหวนวงนี้เลยสักนิด แต่เธอกับมีความสุขเป็นอย่างมาก ที่ได้สวมมัน เมื่อสวมแหวนแล้วเสียงหวาน ๆ ก็พูดพร้อมกับรอยยิ้ม
"ผู้ชายรู้จักใช้เงินฉันชอบนะ"
อยู่ดีดีคริสก็รู้อุ่นวาบไปทั้งกาย สายตาอันคมเข้มของบุรุษจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างมีความสุข แม้จะเต็มไปด้วยความสุขแต่ร่างกายของคริสก็แข็งทื่อไปแล้ว ทุกอย่างเงียบสนิทอีกครั้ง อีวาหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะนึกสนุกหาเรื่องแกล้งเจ้าก้อนหินตรงหน้า อีวาคว้าชีฟไปไว้ในอ้อมกอด
"เจ้าของแหวนเขาเอาแต่ทำตัวเป็นก้อนหิน แต่งกับเด็กคนนี้แทนดีกว่า"
คริสได้สติ
"ไม่ได้"
จากนั้นคริสก็ลุกพรวดไปยืนตรงหน้าอีวาแล้วคว้ามือที่เรียวบางทั้งสองข้างเอาไว้ แต่เหมือนจะมีบางอย่างมันขัดอยู่ตรงกลาง คริสก้มมองไอ้เด็กตัวเล็กด้วยสายตาอันดุดัน ก่อนจะอาศัยพละกำลังจากกล้ามที่ใหญ่โต ดึงชีฟออกมาจากอีวา แล้วโยนทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็หันไปหาหญิงสาวตรงหน้า สองสายตาจ้องสบประสานกันอย่างลึกซึ้ง คริสพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
"ออกจากงานไปอยู่กับฉันนะ"
อีวาพยักหน้า
"อื้ม"
มือหนาขวาร่างบางที่ตัวเล็กว่าเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะบรรจงจุ่มพิษลงบนริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา
เสียงเฮดังขึ้นไปทั่วร้าน ชีฟที่มีกลุ่มนักล่าใจดีให้ไปนั่งรับประทานหมึกบนโต๊ะด้วย ก็ชูหมึกย่างสองไม้ขึ้นเหนือหัวแล้วชูโบกไปโบกมาด้วยความยินดี
หากเป็นสมัยก่อนก็จะมีการทำพิธีแต่งงานแล้วก็โยนดอกไม้ แต่สมัยนี้ด้วยหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนไป พิธีแบบนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว อีวาผละจากคริสแล้วก้มมองดูดอกไม้ในมือ เหล่าสาว ๆ ที่เห็นท่าทางของอีวา ก็เริ่มพากันไปรวมตัวอยู่ตรงจุดจุดหนึ่งเพื่อรอให้มีการโยนดอกไม้ไปทางพวกเธอ อีวามองดูกลุ่มสาว ๆ แล้วหันหลังให้ ก่อนจะโยนดอกไม้ไปด้านหลังตัวเองสุดแรง
ดอกไม้สดลอยละริ้วไปในอากาศ อาจจะด้วยความแรงในการเหวี่ยงที่มากเกินไป ทำให้ดอกไม้มันเลยข้ามหัวกลุ่มสาว ๆ ไป ก่อนจะไปตกอยู่ในมือของชิซูกะที่นั่งสงบอยู่ที่โต๊ะอาหารของตัวเอง
ทั้งร้านเงียบสนิทอีกครั้ง ทุกสายตาหันไปมองชีฟเป็นตาเดียว พฤติกรรมที่ชิซูกะแสดงออกแต่ละครั้ง ทุกคนมองออกว่ามันไม่ใช่แค่พี่สาวหวงน้องแน่ ๆ
ชีฟที่รู้ตัวว่าโดนคนทั้งร้านจ้อง ก็หันไปถามนักล่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
"มีอะไร"
เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวมันยังไม่รู้เรื่องอะไร นักล่าทุกคนหันกลับไปฉลองกันอีกครั้ง โดยทำราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น ส่วนชีฟเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรก็หันไปกัดกินหมึกย่างอย่างเอร็ดอร่อยตามเดิม
ชายหนุ่มผมสีทองหน้าตาคมเข้ม เปิดประตูเข้ามาในห้องทรงสี่เหลี่ยม ที่ริมหน้าต่างด้านในสุดมีชายสูงวัยผมขาวกำลังนั่งรอเขาอยู่ ชายสูงวัยผายมือให้อีกฝ่ายนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"นั่งสิเคิร์ก"
"ขอบคุณท่านเจ้าเมือง"
"ไม่ต้องเรียกกันเต็มยศขนาดนั้น"
"ตามท่านสั่ง คุณครูส ว่าแต่วันนี้เรียกผมมาคุณต้องการสิ่งใด"
"ไอ้สิ่งที่เธอจับมาได้ มันมีคุณค่าเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในด้านวิทยาศาสตร์แต่ยังมีด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ทางส่วนกลางเขาก็เลยอยากจะศึกษา และอยากให้ข้อมูลที่ได้เป็นความลับที่สุด"
ครูสดันเอกสารบนโต๊ะชุดหนึ่งไปทางเคิร์กแล้วพูดต่อว่า
"เนื่องจากช่วงนี้สงครามรุนแรงขึ้นทุกที เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลสูงสุด ทางนั้นจึงจะส่งนักวิทยาศาสตร์ที่ไว้ใจได้มา เพราะฉะนั้น ช่วยไปตรวจสอบและรับพวกเขามาทีนะ"
"ผมจะไม่ให้คุณผิดหวัง"
เคิร์กรับเอกสารแล้วกำลังจะเดินออกจากห้อง ก่อนจะถูกครูสเอ่ยทักไว้ก่อน
"อ้อ แล้วเด็กที่มีพลังแบบใหม่ละ"
"บริษัทคาเรร่าที่เป็นบริษัทขนาดเล็กเป็นคนดูแล ทางนั้นบอกว่าตนเองจะเป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียว ไม่ขอให้ใครมาเกี่ยวข้อง หากยากได้ข้อมูลก็ให้ติดต่อพวกเขาเท่านั้น"
"ก็คงจะเป็นแบบนั้น ลาภก้อนโต้คงจะไม่ยอมแบ่งปันกันง่าย ๆ ขอบคุณมาก"
เคิร์กก้มหัวบอกลาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
การที่โลกยุคใหม่ไร้กฎหมาย ก็ทำให้มีผู้คนพยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่ แม้จะไม่ดีเท่าเดิม แต่อย่างน้อยก็พอที่จะปกป้องคนอ่อนแอได้ ทางเมืองจะมีนักล่าเป็นของตัวเองอยู่ส่วนหนึ่งเพื่อค่อยปกป้องผู้คนในเมือง และดูแลรักษาความสงบ แต่ด้วยเงินค่าจ้างที่น้อยกว่าการเป็นนักล่าตามองค์กรอิสระต่าง ๆ ก็ทำให้นักล่าที่มีนั้นเป็นนักล่าระดับกลาง ๆ ไม่ได้มีฝีมืออะไรมากนัก เพราะฉะนั้นการที่จะคบค้ากับองค์กรนักล่าใหญ่ ๆ เพื่อผลประโยชน์จึงเป็นเรื่องปกติ
เคิร์กเป็นหัวองค์กรนักล่าที่มีอิทธิพลมากในฝั่งเหนือ ส่วนฝั่งใต้ก็มีนักล่าที่ชื่อเซโน่ที่คอยคุมอยู่ เซโน่นั้นเป็นนักล่าหัวรุนแรง การที่ทางเมืองสามารถตีสนิทกับเคิร์กได้นั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเท่ากับว่าทางเมืองจะสามารถคานอำนาจของเซ่โน่ได้อย่างสมบูรณ์ และรักษาความสงบในเมืองไว้ได้