ชีฟขอตัวออกมาจากห้อง แล้วเดินไปตามฟุตบาทริมถนนเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านค้าแห่งหนึ่งที่เคยไปกับพวกนักล่า เดินมาสักพักชีฟก็มาถึงร้านค้าที่ถ้ามองผ่านกระจก จะเห็นปืนมากมายหลายชนิดวางตั้งโชว์อยู่ด้านในร้าน ชีฟเดินเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนไว้นวดไว้เคราและมีรูปร่างที่ใหญ่โต เขาจ้องมองชีฟครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาทักทาย
"นี่มันไอ้หนูที่อยู่กับคริสนี่ เจ้านั่นใช้ให้เธอมาซื้อของงั้นเหรอ"
ชีฟส่ายหัวปฏิเสธ ก่อนจะโชว์บัตรนักล่าให้อีกฝ่ายดู
"ผมอยากได้ปืนเป็นของตัวเอง"
เจ้าของร้านเลิกคิ้วมองบัตรตรงหน้า ก่อนจะเอามือลูบคางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
'เด็กจนจนจากสลัมคิดจะเป็นนักล่าแล้วงั้นรึ ก็จริงอยู่ที่คริสอยากให้เด็กคนนี้มีอนาคต แต่นี่มันยังไวเกินไปหรือเปล่า'
คิดเสร็จเจ้าของร้านก็ลองเอ่ยถามอะไรบางอย่าง
"อายุเท่าไหร่แล้วไอ้หนู"
"สิบสาม"
เจ้าของร้านขมวดคิ้ว
'อายุแค่นี้ไม่น่ารอด แต่จากที่เห็นตามไอ้สองตัวนั่นมานาน ทดสอบหน่อยละกัน'
เจ้าของร้านเดินไปตรงโซนปืนกลเบาขนาดเล็ก ก่อนจะหยิบปืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโซนนั้นมา แล้วเดินกลับมาหาชีฟ
"นี่เป็นปืนกลเบาที่มีอานุภาพใกล้เคียงไรเฟิลจู่โจมมากที่สุด ปรับโหมดการยิงได้สามโหมดนั่นคือยิงทีละนัดยิงทีละสามนัดและยิงรัว แม็กกระสุนบรรจุได้ห้าสิบนัดต่อแม็ก แม้จะยิ่งได้แรงเกือบเท่าไรเฟิลจู่โจม แต่แรงถีบของมันนั้นเบาที่สุดในหมู่ปืนกลเบา ซึ่งเด็กอย่างเธอก็ใช้ได้ ที่ปากกระบอกมีเลเซอร์ติดให้ด้วย และสุดท้ายระบบจดจำลายนิ้วมือ คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของจะใช้ไม่ได้ สนใจมั้ย"
"มันราคาเท่าไหร่"
"สามล้านพ็อย"
ชีฟอึ้งในราคาของมัน เพราะมันแทบจะเป็นเงินหนึ่งในสามที่เขามี แต่การมีอาวุธที่ดีก็จะทำให้เขาเริ่มต้นได้ดี แต่พอคิดถึงราคาของมันชีฟก็ลังเลที่จะซื้อ สายตาก็หันไปมองรอบ ๆ ร้านเพื่อมองดูปืนกระบอกอื่นเป็นทางเลือก
เจ้าของร้านเห็นท่าทีของชีฟก็รู้ว่าปืนกระบอกนี้มีราคาแพงเกินไปที่เด็กคนนี้จะตัดสินใจซื้อ เขาจึงยื่นข้อเสนอบางอย่าง
"ฉันมีข้อเสนอ ไปจัดการสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งให้ฉัน แล้วฉันจะให้ของที่มีค่ามากกว่าปืนกระบอกนี้แก่เธอแบบไม่ต้องเสียเงิน"
ชีฟตกลงรับข้อเสนอ ถ้าเขาได้อาวุธมาโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใด ๆ ก็จะทำให้เขามีเงินซื้อของให้ครอบครัวของเขาได้อีกนาน
เจ้าของร้านบอกให้ชีฟกลับไปฟิตร่างกายให้พร้อม เพราะเขาต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อเตรียมการบางอย่าง
เมื่อชีฟออกไปจากร้าน เจ้าของร้านก็ปิดร้านของตัวเองให้เรียบร้อย ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกปิดจนมิดชิด จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในโรงรถข้างร้านแล้วขับรถฮัมวี่ของตัวเองออกไป
เจ้าของร้านอาวุธขับรถมาจนถึงสำนักงานแห่งหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตึกสูงสิบชั้น รถฮัมวี่หักเลี้ยงเข้าไปในตัวอาคารทันทีที่ถึงปากทางเข้า
ภายในห้องแล็บแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านในอาคาร หญิงสาวสวมแว่นในชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งนั่งมองจอภาพที่เต็มไปด้วยตัวเลขด้วยอาการที่เซ็งสุดขีด มือขวาเท้าแก้มจนหน้าย่น มือซ้ายจับปากกาเคาะโต๊ะดังปัก ๆ ไม่หยุด
เจ้าของร้านอาวุธเดินเข้ามาภายในห้องโดยไม่มีการเคาะประตู ก่อนจะทักทายอีกฝ่าย
"แล็บเล็ก ๆ อย่างเรา การจะหาของคุณภาพดีนี่มันยากจังเลยนะ"
หญิงสาวเหลือบมองชายร่างใหญ่ด้วยหางตา ก่อนจะตอบกลับอย่างเกียจคร้าน
"มีอะไร"
"เมื่อวานมีนักล่าที่ฉันรู้จักมันเที่ยวคุยให้สาว ๆ ในร้านฟังว่ามีเด็กคนหนึ่งสามารถเอาชนะวานรล่องหนได้"
"แล้วไง เอาระเบิดแสงปาใส่พวกมันก็เผยตัวแล้ว จะยากตรงไหน"
"ก็..."
เจ้าของร้านอาวุธง้างเล็กน้อยให้อีกฝ่ายสนใจ
"ก็ตรงที่เด็กคนนั้นชนะพวกนั้นได้ด้วยตาเปล่าน่ะสิ ไม่ได้ใช้ระเบิดแสง ไม่ได้ใช้เครื่องตรวจจับแบบพิเศษอะไรทั้งนั้น"
ได้ผลหญิงสาวสวมแว่นกลมโตตาลุกวาวทันที ก่อนที่เธอจะหันไปคุยกับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
"เด็กนั่นอยู่ไหน มีใครรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง"
"อืม"
เจ้าของร้านอาวุธทำท่านึกคิด และเหลือบมองคู่สนทนาด้วยสายตาที่มีเลศนัย
เมื่อเห็นอาการของอีกฝ่าย หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาและยิ้มอย่างเซ็ง ๆ
"อาวุธทุกอย่างฉันจะซื้อจากคุณ"
"อ้อ นึกออกแล้ว ก็มีหญิงสาวโสเภณีหกคน และฉันที่ไปร่วมแจมโต๊ะอาหารในห้องส่วนตัวกับเจ้าหมอนั่นเมื่อคืน"
"คุณปิดปากคนพวกนั้นได้ใช่มั้ย"
"ได้แน่นอน แต่ก่อนนั้น ฉันต้องการแน่ใจว่าเด็กคนนั้นมีสัมผัสที่หกอยู่จริง ๆ ฉันจึงอยากส่งเขาไปประลองกับราชาวานรล่องหนซะหน่อย"
"แล้วที่มาหาฉันที่นี่ คุณต้องการอะไร"
"ก็นะ เด็กคนนี้อยู่ในความดูแลของคนรู้จักของฉัน ฉันเลยอยากได้ชุดเกราะที่ฉันจะแน่ใจได้ว่าเขาจะอยู่รอดจนกว่าฉันจะเข้าไปช่วยหากเขาพลาดพลั้ง"
"สองวัน"
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปในห้องแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแขนกลทันที ซึ่งมันทำให้เจ้าของร้านอาวุธยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
ในที่สุดก็ถึงวันนัดหมาย ชีฟกลับมาที่ร้านอาวุธอีกครั้ง วันนี้เจ้าของร้านอาวุธไม่ใช่คนเดียวที่รอชีฟอยู่ แต่กลับมีหญิงสาวใส่แว่นอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย
หญิงสาวใส่แว่นเธอตรงดิ่งเข้ามาหาชีฟทันทีและพาเขาไปสวมชุดเกราะที่เธอเตรียมมาให้ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ทดสอบอะไรบางอย่าง หญิงสาวจับชีฟถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว ชีฟมีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ ราวกับว่าเขาเป็นเด็กสาวที่กำลังถูกลวนลามยังไงยังงั้น ชีฟโดนถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว เขายืนมองหญิงสาวด้วยใบหน้าที่เขินอาย สักพักเธอก็เอาชุดเกราะที่เธอเตรียมไว้มาให้ เมื่อสวมชุดเกราะ ชีฟก็กลายเป็นนินจาในชุดผ้ารัดรูปสีดำ ปลอกขาและแขนสำหรับกันกระแทกทำให้ชุดนินจาของชีฟดูทันสมัยขึ้นมาเล็กน้อย เสื้อกั๊กที่ถูกสวมทับลงไปมีช่องสำหรับใส่แม็กกระสุนและของอย่างอื่นอีกมากมาย นั่นทำให้ชีฟสามารถพกสิ่งของได้หลายอย่าง ส่วนหมวกครอบหัวนั้นทำจากพลาสติกแข็งอย่างดี เพื่อเอาไว้สำหรับกันกระแทก เมื่อสวมชุดจนเสร็จหญิงสาวก็มองชีฟด้วยความพอใจ ก่อนจะพาเดินออกมาหาเจ้าของร้านอาวุธที่รออยู่
ชีฟขึ้นรถฮัมวี่ไปกับทั้งสามคน ลุงเจ้าของร้านมีชื่อว่าเอ็ดดี้ ส่วนหญิงสาวใส่แว่นนั้นชื่อคาเร็น ชีฟมองดูชุดและอุปกรณ์ของตัวเองด้วยความเครียดเล็กน้อย เพราะเมื่อพิจารณาดูแล้วมันคงจะมีราคาที่แพงน่าดู เขาหันไปหาเอ็ดดี้ที่เป็นคนขับ ก่อนจะหันไปมองคาเร็นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วถามถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย
"เอ่อ ของพวกนี้ผมต้องจ่ายเงินมั้ย"
เป็นเอ็ดดี้ที่หันมาตอบ
"ไม่ ถ้าเธอทำพลาดเราก็แค่เอาคืน แต่ถ้าเธอทำสำเร็จเรายกให้เธอเลย"
ชีฟก้มมองดูปืนกลเบา S223 ในมือที่เอ็ดดี้โฆษณาให้เขาฟังเมื่อวาน และชุดเกราะที่เขาใส่อยู่ก็เท่สุด ๆ แววตาของชีฟเป็นประกายขึ้นมา และคิดในใจว่า
'เขาต้องทำให้ได้'
ขับรถกันมาได้สักพักทั้งสามคนก็มาถึงป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูง ต้นไม้เหล่านี้นั้นทั้งสูงใหญ่และหนาแน่นไปด้วยใบ นั่นทำให้ภายในป่าแทบจะไม่มีแสงสาดส่องเข้าไปได้เลย ป่าแห่งนี้เป็นป่าที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ภายในป่าเต็มไปด้วยพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยไม่มีใครกล้าเข้ามาในป่าแห่งนี้แม้แต่คนเดียว นักล่าที่เข้ามายังป่าแห่งนี้มักจะจบชีวิตลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถของเจ้าป่าที่ทุกคนให้ฉายาว่า ราชาวานรล่องหน
เจ้าราชาตัวนี้มันมีความเฉลียวฉลาดพอพอกับคน มันหลบเลี่ยงแสงไฟจากมนุษย์ได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อเห็นระเบิดแสงมันก็แค่หันหลังหนีไปทางอื่น นักล่าธรรมดาไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้เลย ส่วนนักล่าระดับสูงก็ปฏิเสธที่จะรับงานมากำจัดมัน ด้วยผลตอบแทนที่ได้นั้นน้อยนิด นั่นจึงทำให้ป่ากับราชาวานรตัวนี้ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
เอ็ดดี้และคาเร็นตัดสินใจยืนรอที่ชายป่า ส่วนชีฟนั้นมีภารกิจก็คือไปล่าเอาชีวิตวานรตัวนี้มาให้ได้ ชีฟเดินเข้าไปในป่าด้วยตัวคนเดียว เขาเดินมาได้สักพักจนกระทั่งลับสายตาจากทั้งสองคน ความรู้สึกเสียวสันหลังวาร์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชีฟยกปืนขึ้นมาตั้งท่าเล็งทันที ก่อนจะมองไปยังจุดที่มาของความรู้สึก
คาเร็นมองโฮโลแกรมที่ฉายภาพผ่านกล้องติดหมวกของชีฟอย่างตื่นเต้น ถึงแม้เธอจะยังไม่เห็นอะไร แต่การที่ชีฟตั้งท่าเตรียมพร้อม และระดับการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้น นั่นก็ทำให้รู้แล้วว่าเจ้าราชาวานรได้ปรากฏกายออกมาแล้ว
ราชาวานรแสยะยิ้มราวกับว่ามันเป็นมนุษย์ เหยื่อตรงหน้าเป็นแค่เด็กที่เรียกว่าวัยรุ่นก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เหยื่อครั้งนี้ของมันนั้นช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน แต่ครู่เดียวรอยยิ้มของมันก็ต้องหายไป เมื่อปากกระบอกปืนชี้มาบนกิ่งไม้ที่มันยืนอยู่ และถึงแม้มันจะล่องหน แต่แสงเลเซอร์นั้นไม่ได้ทะลุผ่านมันไปแต่อย่างใด เมื่อลำแสงทาบลงบนตัวของมัน นิ้วเล็ก ๆ ก็เหนี่ยวไกลทันที
ราชาวานรไม่รอให้กระสุนพุ่งมาโดนตัว มันกระโดดหนีไปยังกิ่งไม้อื่นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่ามันจะพยายามหนีไปไหน เลเซอร์ปืนก็จี้ตามมันมาไม่หยุด
ชีฟมองราชาวานรที่ไม่ยอมอยู่นิ่งให้ยิงง่าย ๆ แบบไม่สบอารมณ์ แม้เขาจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นมันได้ นั่นทำให้เขาต้องเอาเลเซอร์ไปทาบตัวมันให้โดนทุกครั้งก่อนเหนี่ยวไก
เจ้าราชาวานรที่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมองเห็นมัน มันก็ส่งเสียงร้องเรียกพรรคพวกทันที สักพักชีฟก็สัมผัสได้ถึงวานรนับสิบตัวที่กำลังตรงมาหาเขา ปากกระบอกปืนหันไปหาสัมผัสที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อเลเซอร์ทาบลงบนตัวกระสุนก็ถูกสาดออกไป วานรตัวแรกสิ้นใจไปอย่างง่ายดาย S223 เปลี่ยนทิศทางไปยังเป้าหมายต่อไปแล้วปลดปล่อยอานุภาพทำร้ายล้างของมันอีกหลายครั้ง ลูกสมุนวานรนั้นไม่ได้มีความเฉลียวฉลาดใด ๆ นั่นทำให้พวกมันพุ่งเข้าหาชีฟตรง ๆ และตกเป็นเป้าของปืนได้อย่างง่ายดาย
แต่เหมือนกับว่าวานรเหล่านี้จะมีเยอะจนเกินไป เมื่อมีสัมผัสหนึ่งปรากฏขึ้นในระยะประชิดจากด้านหลังของชีฟ ด้วยความตกใจชีฟหันขวับกลับไปแล้วสาดกระสุนใส่โดยไม่สนใจว่าเลเซอร์จะทาบลงบนตัวของมันหรือยัง การกระทำนี้ทำให้ชีฟนึกถึงครั้งแรกที่ยิงพวกมันขึ้น ตอนนั้นเขาไม่ได้อาศัยเลเซอร์ในการเล็ง แต่อาศัยว่าสาดกระสุนออกไปจำนวนมากและเป็นวงกว้าง เพื่อหวังว่าสักนัดจะโดนพวกมัน การที่เขามัวแต่รอให้เลเซอร์ทาบลงบนตัวของพวกมันนั้น นั่นทำให้เขาเสียเวลาไปชั่วอึดใจและทำให้ไอ้ตัวใหญ่มันไหวตัวทัน
เมื่อจัดการลูกสมุนจนหมด ชีฟก็ปิดแสงเลเซอร์ ความรู้สึกใหญ่ ๆ ที่อยู่ห่างออกไปนั้น ทำให้ชีฟระบุตำแหน่งราชาวานรได้อย่างชัดเจน ชีฟเปลี่ยนแม็กกระสุนใหม่แล้วหันปืนไปทางนั้นทันที ก่อนจะรัวกระสุนออกไปจนหมดแม็กโดยจงใจผ่อนกำลังแขนลงเล็กน้อย เพื่ออาศัยแรงถีบของปืนทำให้กระสุนที่พุ่งออกไปกระจายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น เลือดสด ๆ ไหลออกมาพร้อมกับเศษกิ่งไม้บนพื้นที่ส่งเสียงดังเปาะแปะราวกับมีอะไรมาหล่นทับ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลูกกระสุนของชีฟนั้นโดนเจ้านั่นเข้าแล้ว
เมื่อสัมผัสเสียวสันหลังหายไปจนหมด ชีฟก็เดินไปยังจุดที่เขาคิดว่าราชาวานรน่าจะอยู่ตรงนั้น และเป็นจริงดังคาด ร่างโปร่งใสอาบไปด้วยเลือดทั้งตัว เลือดบางส่วนกระเพื่อมขึ้นลงจากลมหายใจที่รวยริน นั่นหมายความว่าราชาวานรตรงหน้ายังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก็คงอีกไม่นาน
"สุดยอด!!!"
เสียงตะโกนดังมาจากคาเร็นที่ชะโงกหัวออกมาจากรถ รถฮัมวี่กำลังวิ่งหักหลบต้นไม้น้อยใหญ่และตรงเข้าไปยังจุดที่ชีฟยืนอยู่
ชีฟยังคงชี้ปากกระบอกปืนไปที่เจ้าราชาวานร ไฟหน้ารถฮัมวี่ทำให้มันเผยตัวออกมา ตอนนี้มันนอนหอยหายใจรวยรินอยู่บนพื้น มือสองข้างของมันพยายามปิดแผลเลือดไหลบนตัวของมันเอาไว้
คาเร็นรีบลงจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล
"อย่ายิง"
คาเร็นวิ่งเข้าไปประคองราชาวานร ก่อนจะฉีดยาสลบให้มันแล้วเริ่มดำเนินการปฐมพยาบาล
เอ็ดดี้เดินมาตบหลังชีฟ แล้วเอ่ยชื่นชมอย่างพอใจ
"เก่งมากไอ้หนู แบบนี้คริสกับฮิกมันต้องภูมิใจแน่"
เอ็ดดี้มองชีฟด้วยความทึ่ง แล้วคิดในใจ
'คิดเทคนิคในการรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้เร็วมาก พอรู้ว่าอีกฝ่ายหลบได้เพราะเลเซอร์ก็ปิดมันทันที แถมยังจงใจปล่อยให้แรงถีบปืนเป็นตัวช่วยในการกระจายรัศมีของกระสุนอีก เด็กคนนี้จะกลายเป็นสุดยอดนักล่าแบบไม่ต้องสงสัยเลย'
ทั้งสามขนราชาวานรกลับไปยังตัวเมือง ยามเฝ้าประตูมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจและหวาดระแวงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นบัตรประจำตัวของคาเร็น พวกเขาก็ยอมให้ขนราชาวานรเข้าไปในเมืองโดยไม่ตรวจสอบ
เอ็ดดี้และคาเร็นแวะส่งชีฟที่บ้านก่อนจะขับรถจากไป ชีฟเดินเข้าไปในตึกและมุ่งหน้าไปยังห้องของชิซูกะ เพื่อให้เธอตรวจสอบร่างกายและทำแผลให้เหมือนกับทุกที
ชิซูกะที่พึ่งอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เปลือยเปล่า ช่วงสิบโมงเช้าของวันมักจะเป็นเวลาอาบน้ำของเธอ ด้วยช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนออกไปทำงานกันหมด นั่นทำให้เธอไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาแอบดู ขณะที่เธอกำลังเช็ดผมอยู่ ชายชุดดำคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต
ชิซูกะมีท่าทางตกใจเป็นอย่างมาก ชีฟที่เห็นใบหน้าตกใจของชิซูกะ เขาก็เอ่ยพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด
"ผมเอง"
ชีฟถอดหมวกออก
แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กแม้ไม่ต้องถอดหมวกชิซูกะก็รู้ว่าเจ้าเด็กชุดดำตรงหน้ามันคือชีฟ เพราะฉะนั้นปัญหาในตอนนี้คือไอ้เด็กบ้าตรงหน้ามันกำลังจ้องมองเธอยืนโป๊อยู่ต่างหาก ชิซูกะสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วตะโกนสุดเสียง
"ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!"
ผ้าห่ม หมอน หวี ของจิปาถะพุ่งเข้าใส่ชีฟราวกับห่ากระสุน ชีฟที่เห็นข้าวของลอยมาก็รีบเผ่นแน่บอย่างรวดเร็ว