Chereads / ONMYOJI องเมียวจิ / Chapter 29 - 25 - ตระกูลชิคุราเงะ

Chapter 29 - 25 - ตระกูลชิคุราเงะ

"อือ..."

เสียงครางแผ่วดังขึ้นในลำคอพร้อมกับเปลือกตาทั้งสองข้างที่ค่อย ๆ เปิดขึ้น แพขนตาหนาขยับไหวยามที่เจ้าตัวกระพริบอยู่ 2-3 ครั้งเพื่อปรับให้ชินกับแสง ภาพเพดานไม้สีทึบคือสิ่งแรกที่เข้ามาในครรลองสายตา ก่อนจะตามมาด้วยบรรยากาศอึมครึม เพราะแสงไฟสลัว ๆ ที่เปิดเพียงไม่กี่ดวงในห้องขนาดใหญ่ จนพาให้ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปกันใหญ่

หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าเล็กน้อยกับสภาพแวดล้อมอันไม่น่าอภิรมย์ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมานวดขมับเบา ๆ เพื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนความทรงจำบางอย่างจะไหลวาบเข้ามาในหัว จนต้องรีบผุดลุกขึ้นนั่งแล้วร้องเรียกหาใครอีกคนที่นึกถึงทันที

"อัลฟ่า--"

"ชู่!"

ลมหายใจที่เป่ารดอยู่ตรงต้นคอ ทำให้ชิโนบุขนลุกพรึบไปทั้งตัว รีบขยับถอยห่างแล้วหันกลับไปมองด้วยความระแวง ก่อนที่หัวคิ้วจะมุ่นเข้า เมื่อรู้สึกทั้งคุ้นและไม่คุ้นกับหน้าตาของอีกฝ่ายในคราวเดียวกัน หากแต่ยังไม่ทันได้ค้นความทรงจำของตัวเองมากกว่านั้น ประโยคที่ได้ยินก็ทำให้ต้องหันไปมองอีกทางด้วยความตกใจ

"อย่าเสียงดังดีกว่า ไม่งั้นจะไปกวนเวลาพักของเจ้านั่นเอานะ"

'เจ้านั่น' ที่อีกฝ่ายว่าทำเอาชิโนบุเผลอสะดุดลมหายใจของตัวเองทันที

ที่พื้นไม่ไกลกันนักมีร่างของใครบางคนกำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่ ตามตัวมีโซ่ตรวนล่ามไว้เต็มไปหมด ซึ่งมันดูเยอะยิ่งกว่าตอนก่อนที่เขาจะหมดสติไปเสียอีก ทั้งรอยแผลและร่องรอยของการถูกทรมานปรากฏให้เห็น ที่ไหล่ซ้ายถูกกรีดเป็นทางยาวจนเลือดไหลออกมาอาบย้อมเนื้อผ้าและพื้นบริเวณนั้นจนกลายเป็นสีแดงฉาน

"อัลฟ่า!"

ชิโนบุทำท่าจะวิ่งเข้าไปหาอัลฟ่า แต่กลับถูกคนข้าง ๆ คว้าแขนไว้ซะก่อน แรงบีบมือที่กดลงบนต้นแขนทำให้รู้สึกเจ็บจนต้องขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังพยายามดิ้นให้หลุดเพราะเป็นห่วงคนที่นอนเลือดไหลเต็มตัวมากกว่า

"ปล่อยนะ"

"อยู่เฉย ๆ"

"ฉันบอกให้ปล่อย"

"ฉันปล่อยแล้วจะยังไง เธอจะช่วยอะไรมันได้ล่ะ"

แรงดิ้นรนที่อยู่ ๆ ก็หยุดไปหลังจบประโยคนั้นของเด็กตรงหน้า ทำให้คนมองยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มพอใจ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่า กำไลเชือกถักบนข้อมือของเจ้าตัวกำลังเรืองแสงสีขาวขึ้นมาจาง ๆ

ท่าทางที่สงบลงทำให้คนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่เหนือกว่า แค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ มืออีกข้างเอื้อมไปเชยคางให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"จำฉันได้ไหม"

"ไม่ได้"

คำตอบที่สวนกลับมาทันควันแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ทำให้มือที่เชยคางอยู่เปลี่ยนเป็นบีบคางอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ จนคนถูกกระทำเผลอหลุดเสียงร้องออกมาเบา ๆ เพราะความเจ็บ

"มองหน้าฉันดี ๆ แล้วนึกให้ออก"

"ก็บอกว่าจำไม่ได้"

"งั้นดูนี่"

แขนเสื้อยาวถึงข้อมือถูกถลกขึ้นจนพ้นข้อศอก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่แค่ดูก็รู้ว่าตอนที่ยังไม่ได้รับการรักษามันคงสาหัสมาก มีทั้งรอยเล็ก ๆ และรอยกรีดเป็นทางยาวอยู่เต็มไปหมด ผิวเนื้อตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบเนียนเพราะรอยเย็บกินพื้นที่ไปเกือบทั้งแขน ยิ่งชวนให้รู้สึกน่ากลัวไม่น่ามองเข้าไปใหญ่

แต่...รู้สึกคุ้น ๆ จัง

"จำได้หรือยัง"

คำถามที่ย้ำมาอีกทำให้ชิโนบุยิ่งมุ่นหัวคิ้วแน่นขึ้น เขารู้ดีว่าคนที่จับตัวเองมาคือคนจากตระกูลชิคุราเงะที่เคยมีเรื่องกันแน่ ๆ เพียงแต่จำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร

คนที่มีแผลตรงแขน?

ความทรงจำในวันที่ถูกจับตัวไปทรมานเกือบตายหวนคืนกลับมา ยิ่งมองไปที่แผลนั้นก็ยิ่งเหมือนถูกกระตุ้นให้สิ่งที่ฝังอยู่ในใจถูกขุดขึ้นมา ภาพของแบล็กที่กำลังคุ้มคลั่ง ดวงตาแดงฉาน ตามตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด และพื้นรอบตัวก็มีแต่เศษซากของสิ่งที่เคยมีชีวิต

จำนวนคนหลายสิบลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ตระกูลที่เคยเป็นใหญ่กลับเหลือคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ไม่ถึงสิบคน ในตอนนั้นกว่าเขาจะพาร่างอันบอบช้ำของตัวเองเข้าไปเรียกสติของแบล็กคืนมาได้ คนของชิคุราเงะก็เหลือเพียงแค่ 2-3 คนเท่านั้น

เสียงกรีดร้องของแบล็กที่เห็นสภาพเขาในตอนนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในหัว หยาดน้ำไหลรินออกมาจากดวงตาแดงฉานคู่นั้นที่มองมาอย่างหวาดกลัวว่าจะสูญเสียกันไป ก่อนเจ้าตัวจะยอมปล่อยแขนที่ถูกกัดจนเหวอะหวะแทบไม่เหลือเค้าเดิมของใครบางคนเมื่อเขาขอให้พอ

ใครคนนั้นที่ตะโกนร้องขอชีวิตอย่างหวาดกลัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังร่วมมือกับคนทั้งตระกูลคิดจะฆ่าเขาให้ตายอยู่เลย

คนที่ร้องไห้เพราะกลัวตายอย่างน่าสมเพชในวันนั้น

ผู้สืบทอดอันดับสองของชิคุราเงะที่รอดชีวิต

"นายคือคนที่รอดในวันนั้น"

"ใช่"

"....."

"ฉันคือคน ๆ นั้นที่อยู่ ๆ ก็ต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะอาคาวะของเธอไง!"

ความเคียดแค้นที่ส่งผ่านมาทางแววตาและน้ำเสียง ทำให้ชิโนบุเผลอผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ก่อนจะสะดุ้งตัวนิด ๆ เมื่อรู้สึกเหมือนกำไลที่ข้อมือจะเริ่มอุ่นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงไปมอง ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะความเจ็บจากแรงบีบอย่างหนักที่ต้นแขน

"ที่ชิคุราเงะต้องเจอเรื่องแบบนี้ก็เพราะเธอ"

"มันเป็นเพราะชิคุราเงะของนายคิดจะทำร้ายฉันก่อนต่างหาก"

"หุบปาก!"

เสียงที่ตวาดขึ้นในคราวนี้ไม่ได้ทำให้ชิโนบุนึกกลัวแต่อย่างใด กลับยิ่งทำให้ดวงตาคู่สวยวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ เมื่อโดนโยนความผิดให้แบบซึ่ง ๆ หน้า โตขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังคิดไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะตระกูลของตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนเริ่ม ตระกูลที่ในตอนนั้นไม่มีใครสักคนคิดจะสงสารเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเขา ไม่มีความปรานี ไม่มีความเมตตา สิ่งที่แสดงออกมาคือความพอใจ ความสะใจที่จะทำลายอาคาวะลงได้ด้วยการฆ่าเด็กอย่างเขา

ตระกูลที่ไม่มีใครหลงเหลือความเป็นคนอยู่เลย

"ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ไอ้หมาบ้านั่นมันจะมาพังตระกูลฉันแบบนี้เหรอ"

"ใช้สมองนายคิดดูให้มันดี ๆ ว่าเรื่องมันเกิดเพราะอะไร"

"ก็แค่เด็กคนหนึ่งต้องตายมันเทียบกับตระกูลฉันได้หรือไง"

"วันนั้นฉันไม่น่าขอให้แบล็กปล่อยนายไปเลย คิดผิดชะมัด ไอ้คนเนรคุณ"

เพี้ยะ!

เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังลั่นขึ้น พร้อมกับรอยแดงเป็นปื้นที่ปรากฏขึ้นบนผิวแก้มในทันที ชิโนบุขมวดคิ้วแน่นเพราะความเจ็บ กลิ่นเลือดคาวคลุ้งอยู่ในปาก ขณะที่แก้มด้านที่ถูกตบเริ่มรู้สึกแสบร้อนหลังจากที่ความชาเลือนหายไป

"ไอ้--"

จากที่จะหันไปด่าและถ่มเลือดใส่หน้าไอ้คนไม่มีสมองสักหน่อย ชิโนบุก็จำเป็นต้องหยุดตัวเองไว้ก่อน หัวคิ้วเหนือดวงตาคู่สวยขมวดมุ่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกได้ว่ากำไลที่ข้อมือมันร้อนขึ้น จนต้องหันไปมองเจ้าของกำไลที่ยังคงนอนฟุบอยู่ที่พื้น

"ถึงมองไปมันก็ลุกขึ้นมาช่วยไม่ได้หรอก"

ประโยคที่ได้ยินทำให้ชิโนบุจำต้องละสายตาจากอัลฟ่ามามองคนตรงหน้า ระหว่างนั้นดวงตาคู่สวยถึงเพิ่งมองเห็นชายชุดดำอีกสามคนที่ยืนให้การคุ้มครองเจ้าคนไร้สมองนี่อยู่ด้านหลัง จึงพยายามปรับระดับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ เพราะไม่อยากให้มันส่งผลไปถึงเจ้าของกำไล ที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

"นายทำแบบนี้ทำไม"

"ดูไม่ออกจริง ๆ เหรอ"

น้ำเสียงติดจะเยาะเย้ยที่ได้ยินทำให้ชิโนบุยิ่งนึกโมโห ที่ดูท่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความสำนึกเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องข่มอารมณ์ตัวเองไว้

"ทำลายผนึกสัตว์หางทำไม"

"ทำไมฉันต้องตอบ"

"ไม่กล้าตอบเพราะกลัวฉันรอดออกจากที่นี่ แล้วเอาความลับของนายไปบอกคนอื่นหรือไง"

"ฝันอยู่หรือไงว่าจะออกไปจากที่นี่ได้"

"ถ้าคิดว่าฉันจะออกไปไม่ได้ แล้วทำไมถึงไม่กล้าบอก"

"....."

"หรือว่าจิตใต้สำนึกนายมันถูกฝังไปแล้วว่าต้องกลัวคนจากอาคาวะ"

"หุบปาก!"

ร่างสูงโปร่งถูกผลักออกอย่างแรงจนกระแทกพื้น ความเจ็บแล่นปราดไปตามแขนขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหันไปส่งยิ้มยียวนให้ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของชิคุราเงะยิ่งหัวเสียกว่าเดิม

"คิดจริง ๆ หรือไงว่าถ้าทำลายผนึกเก้าหางแล้วนายจะควบคุมได้"

ชิโนบุยังคงไล่ถามต่อไปในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมกวนอารมณ์อีกฝ่ายไปด้วยเพื่อถ่วงเวลา มือข้างที่สวมกำไลกำแน่น ก่อนจะแอบเหลือบมองไปยังคนที่นอนฟุบอยู่ตรงพื้นไม่ไกลแล้วหันกลับมามองคนตรงหน้าเหมือนเดิม พร้อมกับประเมินสถานการณ์ไปด้วย

จากที่สังเกต แม้อีกฝ่ายจะมีตำแหน่งเป็นเจ้าบ้านของชิคุราเงะ แต่ด้วยความเป็นเด็กที่ดูท่าจะอายุมากว่าเขาไม่เกิน 5-6 ปี คงทำให้อารมณ์และความสุขุมยังไม่ได้ถูกขัดเกลาอย่างดีนัก เวลาถูกพูดสะกิดจุดก็เลยออกจะหงุดหงิดง่าย ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ไม่เหมือนกับพ่อหรือคุณลุง คุณป้าผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ที่มีตำแหน่งเดียวกัน

"แน่นอนสิ"

"มั่นใจเกินไประวังจะเจ็บเอง"

ประโยคนั้นทำให้คนฟังหันกลับมามองตาขวาง หากแต่ชิโนบุไม่ได้สนใจ ยังคงพูดต่อให้อารมณ์ของอีกฝ่ายยิ่งปะทุขึ้นอย่างเดือดดาล

"คิดจะทำการใหญ่แต่ไม่ประมาณฝีมือตัวเอง"

"หุบปาก!"

"เก้าหางไม่ใช่ภูตที่นายควรไปยุ่งด้วย นางร้ายกาจกว่าที่นายคิด ไม่งั้นเซย์เมย์ไม่ทำแค่ผนึกไว้หรอก"

"ยิ่งร้ายก็ยิ่งดี"

"มันจะไม่สร้างความเสียหายแค่อาคาวะ แต่รวมถึงตระกูลอื่นและคนธรรมดาด้วย"

"ฉันไม่สน!!"

เสียงที่ตวาดกลับมาฟังดูเกรี้ยวกราดกว่าปกติ พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ย่อตัวลงมาตรงหน้า ผู้นำคนปัจจุบันของชิคุราเงะเอื้อมมือมาบีบคางชิโนบุอย่างแรง แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตา

"คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่างมันไปสิ"

"นายมันบ้าไปแล้ว"

"หึ!"

คนโดนว่าทำเพียงแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินจากไป หากแต่ก็ต้องชะงักขาไว้ทั้งที่ไปได้ยังไม่ทันถึงสองก้าว เมื่อได้ยินประโยคที่ดังขึ้นจากคนข้างหลัง

"นายไม่มีทางเอาเก้าหางออกมาได้หรอก ผนึกที่เหลือมีคนจากหลายตระกูลคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา"

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากผู้นำแห่งชิคุราเงะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มมั่นใจผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ หันหลังกลับมา

"แล้วใครว่าฉันต้องทำลายผนึกที่เหลือ"

"หมายความว่ายังไง"

"มันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอยู่นะ"

สิ่งที่ได้ยินทำให้ชิโนบุขมวดคิ้วแน่นทันทีเพราะไม่เข้าใจ เขาไม่เคยรู้ว่านอกจากไล่ทำลายผนึกของสัตว์หางทั้งแปดแล้ว ยังมีวิธีอื่นในการทำลายผนึกของเก้าหางอยู่ด้วย

"เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ก่อนหน้านี้มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นผนึกถึงคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่ถูกทำลาย"

"....."

"แต่ตอนนี้มันเป็นไปได้แล้ว"

ความมั่นใจที่ส่งผ่านมาทางสายตา ทำให้ชิโนบุยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ร่างสูงโปร่งยันตัวลุกขึ้นอย่างตั้งใจว่าจะถามต่อ แต่ก็ต้องเปลี่ยนมาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินอีกประโยคที่ดังขึ้น

"รอดูความพินาศของอาคาวะด้วยตาเธอเองได้เลย"

"นายก็รอดูความพินาศของชิคุราเงะได้เลย แล้วครั้งนี้ฉันจะไม่ร้องขอชีวิตนายจากใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบล็กหรืออัลฟ่า"

"ปากดี--"

ยังพูดไม่ทันจบผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของชิคุราเงะก็ต้องสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างตกใจ ทางด้านชิโนบุเองก็เหมือนกัน หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่นจนแทบเป็นปมเมื่อรู้สึกว่าพื้นมันเริ่มสั่นเบา ๆ

ก่อนจะมีเสียงโครมครามดังสนั่นมาจากด้านนอก พร้อมกับฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายเข้ามาถึงด้านใน

โครม!

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ของตระกูลโคคุโตะที่ถูกใช้เป็นสถานที่รับรองอย่างเร่งด่วน ปรากฏร่างของผู้นำตระกูลทั้งเจ็ดที่ตอนนี้แต่ละคนมีสีหน้านิ่งสนิท หากแต่สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ที่กำลังจะปะทุขึ้นมาได้เป็นอย่างดีแม้จะไม่มีใครพูดอะไรก็ตาม

บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่วบริเวณ เมื่อเกือบทุกคนรู้เรื่องที่กำลังจะกลายเป็นหัวข้อหลักในวันนี้ ดวงตาเจ็ดคู่สบมองกันเอง ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายไปนั่งยังที่ที่ถูกจัดไว้

ที่นั่งทั้งหมดถูกจัดแบ่งเป็นสองฝั่งหันหน้าเข้าหากัน ทางฝั่งขวามีคนนั่งเต็มทั้งสี่ที่ เริ่มแรกด้วยร่างระหงในชุดคลุมสีดำประจำตระกูลของผู้นำหญิงเพียงหนึ่งเดียวในที่นั้นซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ ด้านหลังของเธอมีภูตพิทักษ์ประจำตระกูลยืนอารักขาอยู่ไม่ต่างจากตระกูลอื่น ถัดจากเธอไปคือคนสามคนในชุดคลุมประจำตระกูลสีเขียว เทา และเหลือง ซึ่งก็คือผู้นำตระกูลโรคุบะ ไฮโช และโอเกทสึ

อีกฝั่งหนึ่งคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่สามคนที่นั่งเรียงกัน คนแรกอยู่ในชุดคลุมสีขาวประจำตระกูลชิราโทริ คนที่สองเป็นชุดคลุมสีน้ำเงินประจำตระกูลอาโอโทระ และคนสุดท้ายในชุดคลุมสีแดงเลือด ปักรูปเหยี่ยวสยายปีกตรงกลางหลังอันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลอาคาวะ

ตระกูลที่รุ่งเรืองที่สุดโดยการนำของผู้นำคนปัจจุบัน

อาคาวะ ชิเงรุ

"ในเมื่อมาพร้อมกันทั้งเจ็ดตระกูลแล้ว"

"....."

"ก็เริ่มประชุมกันได้เลย"

tbc...