"เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ หนังสือต้องห้ามของเซย์เมย์ที่หายไปอยู่ที่ชิคุราเงะ"
น้ำเสียงจริงจังที่ติดไปทางดุดันดังขึ้นจากชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวประจำตระกูล ผู้นำคนปัจจุบันของชิราโทริแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน เมื่อนึกถึงตระกูลที่เป็นเหมือนจุดด่างพร้อยของเหล่าองเมียวจิ ทั้งที่เป็นถึงหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่แต่กลับก่อปัญหาตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูก
"สร้างเรื่องเก่งตั้งแต่ผู้นำคนก่อนยันคนปัจจุบัน"
อีกเสียงที่ดังขึ้นสนับสนุนมาจากร่างระหงในชุดคลุมดำประจำตระกูลโคคุโตะ เธอยกมือขึ้นมากอดอกแสดงอาการไม่ต่างจากผู้นำของชิราโทริมากนัก ซึ่งอันที่จริงในบรรดาเจ็ดตระกูลที่กำลังเข้าร่วมการประชุมก็ไม่ได้มีอาการที่แตกต่างกันนัก
ชิเงรุถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังเก้าอี้ว่างที่ควรจะมีผู้นำตระกูลชิคุราเงะนั่งอยู่ หากแต่มันกลับว่างเปล่ามาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องบาดหมางกันขึ้นในครั้งนั้น
ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีแดงเลือดประจำตระกูลเอียงตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อกระซิบกับผู้ติดตามที่ตัวเองพาเข้ามาในการประชุมครั้งนี้ด้วย
"พ่อไปถึงแล้วใช่ไหม"
"ครับ"
คนถูกถามตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกลับมายืดตัวตรงอีกครั้ง ดวงตากวาดมองไปรอบห้องเพื่อดูแลความปลอดภัยในฐานะผู้ติดตาม เช่นเดียวกับตระกูลอื่นที่มีภูตพิทักษ์คอยติดตามอารักขาผู้นำตระกูลมาด้วยเช่นกัน
"บ่นไปก็เสียเวลาเปล่า มาเข้าเรื่องกันดีกว่าว่าเราจะจัดการกับชิคุราเงะยังไง"
เสียงที่ดังขึ้นจากชายในชุดคลุมเหลืองของตระกูลโอเกทสึทำให้ทุกคนในนั้นหันไปมอง ก่อนที่เสียงพูดจะดังขึ้นจากผู้นำตระกูลไฮโช ที่แค่นเสียงขำในลำคอเบา ๆ เหมือนจะเยาะเย้ยประโยคก่อนหน้า
"ป่านนี้เด็กนั่นคงอ่านถึงอีกวิธีที่จะทำลายผนึกเก้าหางแล้วล่ะ ไม่งั้นคงไม่เงียบไปแบบนี้หรอก"
"เห็นด้วย"
เสียงเห็นด้วยจากชิเงรุ ทำให้ผู้นำตระกูลไฮโชหันมายักไหล่ให้อย่างรู้กัน ในขณะที่ผู้นำตระกูลโอเกทสึขมวดคิ้วแน่น มองทั้งสองคนที่ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ ด้วยความไม่พอใจ
"อ่านถึงแล้วยังไง จะไม่หาวิธีรับมือกันหรือไง"
"แล้วต้องรับมือยังไงล่ะ ลองบอกมาหน่อยสิ"
ยิ่งได้ยินชิเงรุย้อนถามแบบนั้น ผู้นำตระกูลโอเกทสึก็ยิ่งแสดงท่าทีโมโหออกมา ดวงตาดุดันมองมาทางผู้นำของอาคาวะแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ก็ส่งคนไปคุ้มกันผนึกเก้าหางสิ มีกำลังคนเท่าไรก็ส่งไปคุ้มกันไว้ไม่ให้เด็กนั่นทำสำเร็จ นายเองก็ควรต้องกลับไปควบคุมจุดที่ตัวเองต้องดูแลด้วย ไม่ใช่มานั่งทำหน้าสบายใจอยู่ตรงนี้"
"ไม่ต้องห่วง ฉันส่งคนไปประจำที่จุดผนึกแทนแล้ว"
"ถึงอย่างนั้นนายก็ควรจะไปดูด้วย"
"นายดูอยากให้ชิเงรุไปเฝ้าที่ผนึกจังเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า"
"นั่นสิ ดูอยากจะหาเรื่องชิเงรุตั้งแต่มาถึงแล้ว"
สองประโยคที่ดังขึ้นจากผู้นำตระกูลของอาโอโทระและชิราโทริที่ถือเป็นเพื่อนซี้กัน ทำให้ชิเงรุยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตวัดตากลับไปยังผู้นำของโอเกทสึอีกครั้ง
"ฉันไม่ได้หาเรื่อง แค่อยากให้เขาดูแลจุดผนึกให้ดี เก้าหางจะได้ไม่หลุดออกมา"
"ก็บอกแล้วไงว่าฉันให้คนไปประจำแทนแล้ว"
"ถึงยังไงนายก็ควรจะไปด้วย ยิ่งมีคนฝีมือดีอยู่ที่ผนึกเท่าไร เราก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น"
คำพูดของผู้นำตระกูลโอเกทสึทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที ดวงตาทั้งหกคู่ของคนที่เหลือสบมองกัน ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นจากผู้นำหญิงเพียงหนึ่งเดียวในนั้น รอยยิ้มบาง ๆ ที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ พร้อมกับคำถามที่ถูกย้อนกลับไป
"การที่เราส่งคนมีฝีมือไปยังจุดผนึก ใครจะได้เปรียบกันแน่นะ"
"พวกเราไง"
"ไม่ใช่นายคนเดียวเหรอ"
สิ้นประโยคนั้นของผู้นำตระกูลโคคุโตะ บรรยากาศภายในห้องก็เปลี่ยนไปทันที ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายในชุดคลุมสีเหลืองที่กำลังขมวดคิ้วแน่น ท่าทางไม่พอใจที่ตัวเองกลายเป็นคนที่ถูกกดดัน
"เธอหมายความว่ายังไง"
"ที่ให้พวกเราส่งคนฝีมือดีไปยังผนึก ก็เพื่อให้ตัวนายเองทำอะไรได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือไง"
"อย่ามาพูดเหลวไหล"
" 'อิตสึคุชิมะ' "
เพียงชื่อสั้น ๆ ที่ได้ยิน ก็ทำให้ผู้นำตระกูลโอเกทสึชะงักไป ในขณะที่คนพูดอย่างชิเงรุยังคงมีท่าทีสบาย ๆ หากแต่ดวงตาเริ่มมีประกายบางอย่างฉายออกมาอย่างน่ากลัว
"นายจะเปิดประตูแห่ง'โยมะ' ทำไม"
สิ้นคำถามนั้น บรรยากาศในห้องก็ยิ่งกดหนักเมื่อผู้นำตระกูลทั้งหกหันไปจ้องมองผู้นำแห่งโอเกทสึอย่างคาดคั้น แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้นำทุกคน ยิ่งทำให้คนที่ตกเป็นเป้าหมายยิ่งกดหัวคิ้วแน่นขึ้น
มาถึงตอนนี้ผู้นำแห่งโอเกทสึเพิ่งจะรู้ว่า แท้จริงทุกคนในห้องนี้ไหวตัวทันต่อสิ่งที่ตนกำลังจะทำแล้ว แต่ที่ยังปิดปากเงียบทำเป็นพูดคุยด้วยอย่างปกติมาตั้งแต่ต้น ก็เพื่อจะต้อนให้เขาจนมุมแบบนี้
หึ ไอ้พวกเจ้าเล่ห์!
แต่ก็ดี...จะได้เลิกเล่นละครสักที!!
"หึ!"
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของคนถูกจับได้ ก่อนที่หมอกควันประหลาดจะกระจายไปทั่วห้องพร้อมกับความมืดที่เข้าปกคลุมไว้ ความรู้สึกอันน่าสะอิดสะเอียนอบอวลอยู่รอบตัวในตอนที่ดวงตาคู่หนึ่งเรืองแสงขึ้นมาท่ามกลางความมืด
ประกายสีเหลืองในดวงตาคู่นั้นทำให้ทุกคนรู้ได้ทันทีว่านี่คือพลังของภูตพิทักษ์แห่งตระกูลโอเกทสึ...
เปรี้ยะ!
แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นไปมากกว่านั้น ก็มีเสียงดังสนั่นเหมือนกระจกที่กำลังแตกร้าว ความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้องค่อย ๆ เลือนหายจนทุกอย่างเริ่มกลับสู่สภาพเดิม พร้อมกับ...
"อย่าแม้แต่จะคิด"
เสียงกระซิบเย็นยะเยือกของภูตพิทักษ์สาวแห่งตระกูลโคคุโตะดังขึ้น พร้อมกับปลายเล็บแหลมคมที่จ่อเข้าตรงลำคอของผู้นำตระกูลโอเกทสึที่ทำท่าจะหยิบแผ่นยันต์ออกมา ในขณะที่ภูตพิทักษ์ของเจ้าตัวก็โดนภูตพิทักษ์ของตระกูลไฮโชและโรคุบะคุมตัวอยู่ด้วยเช่นกัน
"พวกแก!"
เสียงคำรามลั่นในลำคอดังขึ้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่ากำลังเสียท่า ผู้นำตระกูลโอเกทสึกวาดตามองพวกผู้นำตระกูลทั้งหกที่ลุกขึ้นมายืนล้อมตัวเองด้วยความโมโห เป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าทุกคนจะรู้ตัวแล้วจึงไม่ทันได้เตรียมตัวอะไร ครั้นจะให้ภูตในควบคุมพาหนีออกไปก็โดนพวกนี้ดักทางไว้ซะแล้ว
"ถ้าไม่เตรียมการกันไว้ก่อน คงแย่เหมือนกันนะเมื่อกี้"
ท่าทีสบาย ๆ ผิดกับสิ่งที่พูดของผู้นำตระกูลอาโอโทระ ได้รับการพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักของคนที่เหลือ เพราะก่อนหน้านี้ก็ค่อนข้างมั่นใจกันแล้วว่าคนทรยศคือใคร พวกผู้นำที่เหลือจึงแอบประชุมลับเตรียมการรับมือกับพลังพิเศษของภูตพิทักษ์ตระกูลโอเกทสึไว้อยู่แล้ว พอถึงเวลาจริงเลยจัดการได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเปลืองแรงมาก
"ทำไมนายถึงทรยศพวกเรา"
คำถามเข้าประเด็นแบบไม่อ้อมค้อมจากผู้นำตระกูลโรคุบะ ทำให้ภายในห้องเงียบลงทันที บรรยากาศกดหนักแผ่กระจายออกมาจากตัวผู้นำทั้งหก หากแต่คนถูกคาดคั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมตอบ
"นายจะสร้างประตูแห่งโยมะขึ้นทำไม ต้องการภูตตนไหนจากในนั้น"
แม้จะพอเดาได้ว่าเจ้าตัวต้องการเรียกใครออกมา แต่ถึงอย่างนั้นชิเงรุก็ยังถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ดวงตาคมกริบมองคนที่ยังเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบ แล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่ผู้นำคนอื่นเริ่มมีท่าทีโมโห จนกระทั่งร่างระหงในชุดคลุมดำหมดความอดทนก่อนใคร ดวงตาเรียวสวยฉายประกายน่ากลัวก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงแข็ง
"บ้าไปแล้วหรือไงถึงคิดจะเรียก'อิซานามิ'ออกมา"
ประโยคนั้นได้รับเพียงรอยยิ้มเยาะตอบกลับมาจากผู้นำตระกูลโอเกทสึ จนทำให้อารมณ์ของผู้นำหญิงเพียงหนึ่งเดียวเดือดดาลยิ่งขึ้น แต่ก็ยังพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองลง แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสาร กึ่งสมเพช
"นายมันบ้าไปแล้ว โอเกทสึตกต่ำลงขนาดไหน นายถึงคิดจะเรียกเทพีแห่งความตายออกมา"
"....."
"เก้าหางคือภูตที่อยู่เหนือภูต อิซานามิคือมารดาของเหล่าภูต เราทุกคนต่างรู้กันดีว่าพวกนางคือสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องเพราะไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แม้แต่เซย์เมย์ยังไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งแล้วทำไมนายถึงยังคิดจะทำ"
"แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้"
ถ้อยคำที่ย้อนถามกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ได้รับเป็นเพียงเสียงถอนหายใจจากผู้นำตระกูลทั้งหก ก่อนที่ชิเงรุจะเดินเข้าไปใกล้ผู้นำทรยศที่ตัวเองใช้เวลาควานหาตัวมาตั้งแต่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
ตั้งแต่แรกชิเงรุคิดไว้อยู่แล้วว่าในบรรดาตระกูลทั้งเจ็ดต้องมีคนทรยศ เริ่มจากระแคะระคายที่ทุกครั้งเวลาจะลงมือทำอะไร พวกชิคุราเงะก็จะดักทางกันทันตลอด แม้ไม่อยากจะดูถูกความสามารถของใคร แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กคนนั้นที่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ ไม่มีทางคาดการณ์สถานการณ์ได้ดีถึงขนาดรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเราขนาดนี้
ยิ่งตอนอาโอโทระได้รับรายงานจากเร็นที่ส่งมาบอกว่า เด็ก ๆ ในบ้านของเขาถูกลอบโจมตีที่นารา ก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่ามีคนทรยศจริง ๆ เพราะตอนที่พ่อบอกเรื่องนี้ เขาก็เอามาประชุมกับแค่พวกผู้นำตระกูลเท่านั้น ไม่ได้เอาไปคุยกับใครต่อแม้แต่ภรรยาของตัวเอง
จนกระทั่งได้รับข่าวจากแบล็กว่า ลูกชายของเขาปลอดภัยดีแต่อัลฟ่าโดนเล่นงานหนัก แถมพวกนั้นยังรู้แล้วว่าเจ้าตัวคือเก้าหาง การหาตัวคนทรยศจึงยิ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ ภายในระยะเวลาเพียงแค่วันเดียว เขาต้องนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ลองเอาทุกอย่างมาคำนวณถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง โดยอาศัยสัญชาตญาณที่ถูกแบล็กเคี่ยวกรำมาอย่างหนักเป็นตัวนำพาให้ในท้ายที่สุด...ทุกอย่างก็ชี้ไปที่ตระกูลโอเกทสึ
"นายคือคนที่ให้ข้อมูลของทางเรากับเด็กนั่นมาตลอดใช่ไหม"
"....."
"คิดยังไงถึงไปร่วมมือกับชิคุราเงะปลุกเก้าหางขึ้นมา ไม่สิ...ฉันต้องถามใหม่ว่าทำไมนายถึงขโมยหนังสือต้องห้ามของเซย์เมย์ไปหลอกใช้เด็กคนนั้นให้ปลุกเก้าหางขึ้นมา เพียงเพราะนายต้องการเลือดของภูตที่แข็งแกร่งไปทำพิธีเปิดประตูแห่งโยมะเท่านั้นน่ะหรือ"
"....."
"นายต้องการเปิดประตูแห่งโลกภูตเพื่อเรียกอิซานามิออกมาทำไม"
"มาถามฉันตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร"
คำที่ย้อนมาทำให้ชิเงรุเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกริบจ้องสบกับอีกฝ่ายอย่างต้องการคำอธิบายก่อนจะย้อนถามกลับไป
"ทำไมล่ะ"
"ถึงตัวฉันจะอยู่ที่นี่ แต่พิธีจะยังคงเริ่มขึ้นเหมือนเดิม ต่อให้พวกแกออกจากโคคุโตะตอนนี้ก็ไปที่อิตสึคุชิมะไม่ทันอยู่ดี"
รอยยิ้มอย่างคนที่อยู่เหนือกว่าทำให้ผู้นำทั้งหกหันไปมองหน้ากัน บนใบหน้าของแต่ละคนไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ ความเงียบดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ชิเงรุจะเป็นคนหันกลับมายิ้มได้เหมือนเดิมขณะตอบกลับไป
"นั่นสินะ"
"....."
"ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้พ่อของฉันไปถึงอิตสึคุชิมะเรียบร้อยแล้ว"
สิ่งที่ได้ยินทำให้ผู้นำตระกูลโอเกทสึกลายเป็นฝ่ายที่ชะงักไป ใบหน้าที่แสดงความเหนือกว่าเมื่อครู่เริ่มฉายแววกังวล ก่อนจะยิ่งกดหัวคิ้วแน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำถามต่อมา
"อีกอย่างคือ...นายไม่ได้สังเกตเหรอว่าวันนี้แบล็ก เร็น และมิเนะไม่ได้มาด้วย"
ชื่อของภูตพิทักษ์ทั้งสามแห่งตระกูลอาคาวะ อาโอโทระ และชิราโทริ ทำให้ผู้นำแห่งโอเกทสึยิ่งขมวดคิ้วแน่นจนแทบเป็นปม ตอนแรกเขาก็แปลกใจอยู่แล้วว่าทำไมสามตระกูลนี้ถึงไม่มีภูตพิทักษ์มาด้วยแต่กลับมีเพียงภูตติดตามธรรมดา ทีแรกก็คิดว่าอาจจะส่งภูตสามตนนั้นไปเฝ้าที่ผนึกของเก้าหาง แต่ถ้าลองพูดแบบนี้แสดงว่า...
"ทุกอย่างมันจบลงแล้ว"
"....."
"ประตูแห่งโยมะ จะไม่มีทางถูกเปิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง"
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐
โครม!
เสียงโครมครามดังขึ้นพร้อมฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจาย ทำให้ทัศนียภาพโดยรอบแย่ลงจนมองอะไรแทบไม่เห็น
ชิโนบุรีบใช้จังหวะนี้ถอยห่างจากผู้นำตระกูลชิคุราเงะ ที่ตอนนี้อยู่ตรงกลางระหว่างผู้คุ้มกันทั้งสามคน ที่ขยับตัวเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้น
ครืน!
แรงสั่นสะเทือนจากพื้นใต้เท้า ทำให้ร่างสูงโปร่งซวนเซเกือบทรงตัวไม่อยู่ ได้แต่มองหาที่ยึดเกาะใกล้ ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรให้พอจับได้ หัวคิ้วทั้งสองข้างมุนเข้า ขณะที่ดวงตาก็กวาดมองโดยรอบ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร่างของอัลฟ่าที่ยังคงนอนอยู่ที่พื้น
ชิโนบุรีบออกวิ่ง แต่ก็ต้องชะงักกึกหันไปมองตามเสียงโครมครามที่ดังสนั่นอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดแน่นกว่าเดิม ก่อนจะรีบยกมือขึ้นมากันใบหน้าไว้ตามสัญชาตญาณ เมื่ออยู่ ๆ กำแพงฝั่งหนึ่งก็ถูกทำลายลงจนไม่เหลือซาก โดยพายุลูกย่อม ๆ ที่มีความสูงไม่เกินสองเมตร
สิ่งที่เห็นทำให้ชิโนบุรีบลดมือลง แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากส่งเสียงออกมาสักแอะ พายุลูกนั้นก็มุ่งตรงมาทางตัวเองจนเผลอหลุดสะดุ้งด้วยความตกใจ ดวงตาคู่สวยปิดลงยามที่สายลมแรงพัดผ่านร่าง แล้วเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นที่ทุกอย่างหยุดนิ่งลงจนพอลืมตาได้ ตัวของเขาก็มาหยุดอยู่ที่...
"เป็นยังไงบ้าง"
น้ำเสียงเป็นห่วงที่มาพร้อมสัมผัสเบา ๆ จากฝ่ามือที่แตะลงตรงต้นแขน ทำให้ชิโนบุได้แต่ส่ายหน้ากลับไป ดวงตาคู่สวยมองคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้ลุกขึ้นมายืนโดยไม่มีท่าทีเจ็บปวดต่อบาดแผลบนร่างกายเลยสักนิด มือทั้งสองข้างของเจ้าตัวกระชากโซ่ตรวนที่พันธนาการร่างกายออกได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้นไปอย่างไม่ใส่ใจ
"นายไม่เป็นไรนะ"
"ไม่"
อัลฟ่าตอบกลับประโยคนั้นไปเพียงสั้น ๆ ดวงตาคู่คมมองสำรวจร่างตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ผิวแก้มขาว ๆ ที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงอย่างชัดเจน หัวคิ้วกดเข้าพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มปะทุ ก่อนจะตวัดตามองไปทางผู้นำตระกูลชิคุราเงะด้วยความโมโห
ไอพลังสีแดงหมุนวนอยู่รอบตัว เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์จากบาดแผลที่ได้รับก่อนหน้านี้ ซึ่งเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ทั่วทั้งตัวก็ไม่เหลือร่องรอยของการถูกทำร้ายอยู่อีกเลย
"ไปจับพวกมันไว้สิ!"
เสียงตะโกนสั่งดังลั่นมาจากผู้นำตระกูลชิคุราเงะที่กำลังเดือดดาล หากแต่ไม่มีใครกล้าขยับตัวเลยสักคน แม้แต่ผู้คุ้มครองทั้งสามก็เริ่มมีสีหน้าหวั่นวิตกจนหยาดเหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมาตามแผ่นหลัง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังและจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของเก้าหาง ที่ดูรุนแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
ตอนนี้แรงกดดันจากไอพลังสีแดงที่แผ่ออกมา ดูน่ากลัวกว่าตอนที่ถูกจับกลับมาอย่างเทียบกันไม่ติด แถมไอ้ที่ทรมานไปมากมายก่อนหน้าก็ดูท่าจะไม่มีผลกับเจ้าตัวในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
เหมือนกับสภาพล่อแล่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแกล้งทำเท่านั้น
"ได้มาไหม"
อัลฟ่าถามภูตสายลมที่สลายพายุกลายเป็นตัวเพียงพอนน้อย มีสองตัวเกาะอยู่บนไหล่ของเขา และอีกตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ไหล่ของชิโนบุ
เจ้าตัวน้อยสองตัวช่วยกันประคองโหลแก้วที่ภายในบรรจุของสำคัญไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะยื่นมันให้กับคนถามที่เอื้อมมือมารับไปแล้วส่งต่อให้กับชิโนบุอีกที
"เอาคืนมา!"
เสียงตะโกนของผู้นำตระกูลชิคุราเงะ ไม่ได้ทำให้อัลฟ่าสะทกสะท้านแต่อย่างใด เจ้าตัวทำเพียงแค่สบตากลับไปตรง ๆ พร้อมกับจิตสังหารที่ยิ่งรุนแรงขึ้นจนผู้คุ้มกันทั้งสามยิ่งเป็นกังวล
จิตสังหารของสัตว์หางที่แข็งแกร่งที่สุด
จิตสังหารของจิ้งจอกเก้าหาง
กรรรร
เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังขึ้นในลำคอ เมื่อยิ่งนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อัลฟ่าก็ยิ่งหงุดหงิด เขารับรู้ได้ทุกอย่างตอนที่ชิโนบุโดนทำร้าย แต่กลับทำได้แค่นอนเฉย ๆ ไม่สามารถช่วยได้ เพราะก่อนหน้านี้เราให้สัญญากันไว้แล้ว แต่...
ถึงอย่างนั้นก็ยังโกรธ!
ดีที่คาไมทาจิหาโหลใส่พลังวิญญาณของสามหางเจอซะก่อน ไม่งั้นเขาอาจจะโมโหจนสติขาด แล้วถล่มที่นี่ทิ้งก่อนที่งานจะสำเร็จก็ได้
ตัวเองเจ็บอัลฟ่าไม่เป็นไร ที่โดนทรมานก่อนหน้าก็ไม่ได้สะเทือนผิว หากแต่พอเห็นว่าชิโนบุโดนทำร้าย แถมยังมีคำพูดที่เหมือนไม่เห็นว่าชีวิตของเจ้าตัวสำคัญ กลับทำให้เขาโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะตลอดเวลาได้ยินเสียงกระซิบของเจ้าตัวส่งผ่านกำไลมาให้ตลอดว่า 'ไม่เป็นไร' 'ไม่ต้องห่วง' สติของเขาอาจจะขาดเร็วกว่านั้น
"นายท่าน เรารีบไปกันเถอะครับ"
"ตอนนี้ต้องปล่อยพลังวิญญาณของสามหางไปก่อน เพราะเลือดเก้าหางที่เราได้มาสำคัญกว่า"
ประโยคที่ดังขึ้นจากสองในสามของผู้คุ้มกัน ทำให้ผู้นำตระกูลชิคุราเงะได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ นึกโมโหที่แผนโดนพังจนต้องเสียของดี ๆ อย่างพลังวิญญาณของสามหางไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามจะควบคุมสติ แล้วออกคำสั่งให้ผู้คุ้มกันพาตัวเองออกไปจากที่นี่ทันที
"อัลฟ่า"
พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะหนีชิโนบุก็รีบเรียกคนข้าง ๆ ทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบรับเร็วทันใจ รีบพุ่งตัวตามไปแต่กลับต้องต้องชะงักไว้ เมื่อโดนภูตในรูปร่างประหลาดที่เดาไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรกระโจนมาดักหน้า
"....."
โดยไม่ต้องมีคำพูดใด เพียงเสี้ยววินาทีที่ไอพลังสีแดงถูกสะบัดออกจากมือ ร่างของภูตตรงหน้าก็แตกสลายกลายเป็นละอองน้ำนองอยู่ที่พื้น
ดวงตาคู่คมตวัดมองไปทางที่ผู้นำตระกูลชิคุราเงะหนีไปแล้วก็ยิ่งกดหัวคิ้วเข้า แต่พอจะตามไปก็ถูกภูตประหลาดอีกหลายตัวมาขวางทางไว้
ดูท่าพวกมันจะแอบสร้างภูตประหลาดพวกนี้จากพลังวิญญาณของสามหางไว้หลายตัวเลย
ภูตตัวแล้วตัวเล่าถูกทำลาย จนตอนนี้มีหยาดน้ำนองอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด รวมไปถึงตามตัวของอัลฟ่าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดเลือดสีแดงสดที่ไม่ใช่ของตัวเอง
เสียงการต่อสู้ดังขึ้นหลัก ๆ จากสองทางคืออัลฟ่าและคาไมทาจิ ในขณะที่ชิโนบุไม่มีภูตตนไหนเข้าใกล้ได้เพราะไอพลังสีแดงที่โอบล้อมอยู่รอบตัว
"มานี่เร็ว"
อัลฟ่าหันไปเรียกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักให้เข้ามาหา ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปตรงหน้าเพื่อรับคนถูกเรียกที่กำลังกอดโหลแก้วเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ดวงตาคู่คมเรืองแสงสีแดงอย่างดุร้าย ก่อนที่ไอพลังสีแดงจะแผ่พุ่งออกจากกลางฝ่ามือ โจนทะยานเข้าสะบั้นภูตสามตนที่คิดจะกระโจนเข้าใส่ชิโนบุ จนตัวขาดเป็นสองท่อน สลายกลายเป็นละอองน้ำไปทันที
"เจ็บตรงไหนไหม"
"ฉันสิต้องเป็นคนถาม พวกนั้นมันกรีดเลือดนายไปด้วยเหรอ"
ใบหน้าที่พยักรับกลับมาเบา ๆ ทำให้ชิโนบุหน้าเสียไป ตอนที่ตื่นมาเห็นสภาพอีกฝ่ายโดนทรมานขนาดนั้นเขาเองก็โมโหมากเหมือนกัน แต่ก็ต้องข่มใจตัวเองจัดการตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จ
อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง แล้วก็ไม่อยากให้อัลฟ่าต้องมาเจ็บตัวไปด้วยกัน เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกชิคุราเงะคงไม่จับมาเป็นตัวประกันเฉย ๆ แต่เพราะอยากให้เรื่องนี้มันจบลงจริง ๆ ไม่คาราคาซังเหมือนกับหลายปีที่ผ่านมาถึงจำเป็นต้องยอม
ช่วงที่อัลฟ่าสลบไปสามวัน เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากพ่อและปู่จนรู้ว่าแท้จริงแล้วสาเหตุของความวุ่นวายในครั้งนี้เกิดขึ้นจากใคร
ได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างไม่ใช่ชิคุราเงะ แต่คือโอเกทสึที่หลอกให้ชิคุราเงะปลุกเก้าหางขึ้นมา เพื่อที่ตัวเองจะใช้เลือดของเก้าหางทำพิธีเปิดประตูแห่งโยมะเรียกอิซานามิออกมา
โอเกทสึถึงขั้นขโมยหนังสือต้องห้ามของเซย์เมย์ไปให้ชิคุราเงะศึกษาเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ จนกระทั่งพวกนั้นรู้ว่าอัลฟ่าคือเก้าหางไม่ใช่ภูตธรรมดา ก็ยิ่งอยากได้ตัวอัลฟ่ากันมากขึ้น เพราะอย่างนี้พ่อเลยต้องยอมเสี่ยงปล่อยให้เขาและอัลฟ่าโดนจับตัวมาอยู่ในดงศัตรู โดยมีคาไมทาจิที่ไม่รู้ว่าพ่อไปทำอะไรถึงยอมตามมาช่วยชิงพลังวิญญาณของสามหางเพื่อเอาไปผนึกไว้เหมือนเดิม จะได้ถือเป็นการตัดกำลังของทางชิคุราเงะ ไม่ให้ใช้พลังวิญญาณธาตุน้ำของอิโซนาเดะสร้างภูตประหลาดพวกนั้นขึ้นมาได้อีก
ทางด้านพ่อและผู้นำตระกูลคนอื่น ก็จำเป็นต้องไปประชุมกันทั้งหมดเพื่อไม่ให้โอเกทสึไหวตัวทัน ขณะเดียวกันก็ส่งปู่ แบล็ก และภูตพิทักษ์ของอาโอโทะและชิราโทริไปที่อิตสึคุชิมะ เพื่อทำลายพิธีเปิดประตูแห่งโลกภูต ทางด้านผนึกของเก้าหางก็จะมีแม่และกำลังคนอีกเล็กน้อยที่ประจำอยู่ เพราะพวกเราตัดสินใจส่งคนส่วนใหญ่ไปที่อิตสึคุชิมะแล้ว
ความจริงไม่ว่าจะทางเก้าหางหรืออิซานามิ ก็ถือว่าน่ากลัวและไม่ควรปล่อยให้หลุดออกมาทั้งคู่ ทางหนึ่งก็สัตว์หางที่แข็งแกร่งที่สุด อีกทางก็มารดาของเหล่าภูต จะทางไหนก็จำเป็นต้องทุ่มกำลังจัดการด้วยกันทั้งนั้น แล้วเรื่องนี้ก็ดันบังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน จนทำให้เราจำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่งไปเลย เพราะหากแบ่งกำลังเท่า ๆ กันจะทำให้รับมือได้ไม่เต็มที่ทั้งสองฝั่ง จนกลายเป็นจัดการทางไหนก็ไม่สำเร็จ
ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เลือก...
อิซานามิ
เหตุผลคือทางเก้าหางถึงจะแข็งแกร่งแต่ก็ยังมีแค่ตัวเดียว แต่ทางอิซานามิ ถ้าประตูแห่งโยมะถูกเปิดออกจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีภูตอันตรายตนอื่นหลุดออกมาด้วย
สุดท้ายเรื่องก็เลยมาลงเอยแบบนี้
วันที่อัลฟ่าฟื้นขึ้นมา ชิโนบุเลยกระซิบเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง...โดยไม่ได้ขอความเห็นใด ๆ ทั้งนั้น
แม้จะรู้สึกผิดที่ตัดสินใจแทน แม้จะรู้ว่ามันเสี่ยง แต่เขาอยากให้เรื่องนี้มันจบลงสักที ภาพที่อัลฟ่าเกือบจะหลุดเพราะโดนปั่นป่วนกระแสวิญญาณจนแบล็กต้องใช้ไม้แข็งเรียกสติกลับมา ทำให้เจ้าตัวเจ็บหนักจนหลับไม่ได้สติไปสามวันแบบนั้น
ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
ก็เลยขอร้อง...
ขอให้ยอมเสี่ยงไปด้วยกันในครั้งนี้เพื่อให้ทุกอย่างมันจบลง
'ฉันไม่อยากให้นายต้องเจ็บตัวอีก ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแล้ว'
'ฉันก็เหมือนกัน ไม่อยากเห็นนายต้องเจ็บตัวอีกแล้ว'
เพราะเราสองคนต่างก็ไม่อยากให้ใครโดนทำร้ายจนต้องเจ็บหนักแบบนั้นอีก แผนการทุกอย่างจึงได้เริ่มขึ้นอย่างสมบูรณ์
แต่ก่อนหน้านั้นเขาแอบให้แบล็กพาไปหาแม่ เพราะสภาพของอัลฟ่าดูไม่พร้อมกับเรื่องนี้ ถึงพลังฟื้นฟูของจิ้งจอกเก้าหางจะเป็นเลิศแต่ยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ถึงต้องไปหาแม่ที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่าพ่อ ปู่ หรือแบล็ก เพราะเก้าหางจัดอยู่ในประเภทกึ่งภูต กึ่งปีศาจ และกึ่งเทพ ซึ่งถือว่าอยู่ในความถนัดของแม่มากกว่า
ความรู้ที่จำเป็นถูกเรียบเรียงเข้าหัวเขาภายในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เกี่ยวกับการฟื้นฟูพลังวิญญาณและ...
"หือ?"
ห้วงความคิดของชิโนบุถูกหยุดลง เมื่อนกกระดาษตัวหนึ่งบินตรงเข้ามาหา ฝ่ามือขาวผ่องยื่นออกไปรับมันไว้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
"พ่อบอกว่าทางนั้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนทางปู่กำลังเร่งจัดการกันอยู่"
"อืม"
"งั้นพวกเรารีบเอาพลังวิญญาณของสามหางไปผนึก แล้วตามไปสมทบที่ผนึกเก้าหางกันดีกว่า ถ้าหากหยุดได้ทันผนึกอาจจะไม่ถูกทำลาย"
คำพูดของชิโนบุทำให้อัลฟ่าพยักหน้ารับเบา ๆ ไอพลังสีแดงแผ่กระจายออกมาจากตัวแล้วขยายเป็นวงกว้าง ทันทีที่สัมผัสถูกภูตตนไหนเสียงกรีดร้องก็จะดังขึ้น ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นละอองน้ำนองอยู่ที่พื้น
เพียงชั่วอึดใจที่เสียงกรีดร้องดังระงม หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบเหมือนเดิม อัลฟ่าหันมาคว้าข้อมือคนข้าง ๆ พาเดินออกจากสถานที่ที่จะพังมิพังเหล่จนออกมาถึงพื้นที่โล่งกว้างตรงด้านหน้า
"ไปกัน--อือ!"
เสียงที่เหลือถูกกลืนหายไปกับริมฝีปากที่ทาบทับลงมา ชิโนบุตัวแข็งทื่ออย่างตกใจ ดวงตาคู่สวยกระพริบปริบอย่างตามเรื่องตามราวไม่ทัน แต่ยังไม่ทันได้ผละตัวออกก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมไปทั้งร่าง พร้อมกับไอพลังสีแดงที่ค่อย ๆ ซึมเข้ามาในตัว
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งที่สัมผัสแผ่ว ๆ ยังคงประทับอยู่ตรงริมฝีปาก ดวงตาคู่สวยมองสบกับดวงตาคู่คมที่อยู่ใกล้กันเพียงปลายจมูกคั่น และถ้าหากมองไม่ผิด...เขาว่าเขาเป็นประกายขำ ๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น
"ทำอะไรของนาย"
พออีกฝ่ายผละออกไป ชิโนบุก็ได้แต่ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง บนใบหน้าขาว ๆ แดงก่ำโดยที่ไม่รู้ว่ามาจากอารมณ์ไหน และยิ่งได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย ดวงตาคู่สวยก็ยิ่งถลึงมองจนได้รับเสียงหัวเราะเบา ๆ ตอบกลับมา
"ฟื้นฟูพลังให้ไง เหมือนที่นายเคยทำให้ฉัน"
"ไม่ได้ต้องการคำตอบ"
น้ำเสียงติดจะเหวี่ยงที่ได้ยิน ทำให้อัลฟ่าอมยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนที่ไอพลังสีแดงจะแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งตัว
เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ก็ปรากฏร่างสี่เท้าของจิ้งจอกสีขาวขนาดใหญ่ พวงหางทั้งเก้าสะบัดไปมา ทำให้ร่างนั้นยิ่งดูน่าเกรงขามจนเหล่าภูตผีที่อยู่ในบริเวณโดยรอบรีบกระจายตัวหนีด้วยความหวาดกลัว แม้เจ้าของร่างจะยังไม่ได้แผ่จิตสังหารออกมาก็ตาม
ตัวตนแห่งความแข็งแกร่งที่สร้างความหวาดผวาให้แม้แต่เหล่าภูตด้วยกันเอง ในตอนนี้กลับหมอบตัวลงรับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งขึ้นมาบนหลัง ภาพที่ดูขัดแย้งต่อคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมาสร้างความประหลาดใจให้เหล่าภูตที่แอบมองอยู่ไกล ๆ
จิ้งจอกเก้าหางคือภูตที่ทรงพลังที่สุด
จิ้งจอกเก้าหางคือภูตที่แข็งแกร่งที่สุด
จิ้งจอกเก้าหางคือภูตที่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติใคร
หากแต่...จิ้งจอกเก้าหางที่ได้เห็นในตอนนี้ กลับยอมรับฟังเด็กคนหนึ่งด้วยท่าทีเต็มใจ
'นั่งดีแล้วนะ'
"ดีแล้ว เรารีบไปกันเถอะ"
'อืม'
เสียงครางรับดังขึ้นในลำคอเบา ๆ ก่อนที่ร่างสีขาวขนาดใหญ่จะกระโจนขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วหายลับสายตาไปด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
tbc...