เด็กหญิงอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้เหล็กดัดใต้ต้นไม้ในสวนคฤหาสน์ ใกล้กันมีโต๊ะชุดเดียวกันตั้งขนมน้ำชา ทั้งหมดไวโอเล็ตเจาะจงให้สาวใช้ยกมาจัดที่นั่งพิเศษนี้ไว้ให้เองโดยเฉพาะ ซึ่งคนที่ซ้อมหวดดาบไม้ก็ย่นคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องมานั่งตรงนี้
"ไม่ใช่แสดงกายกรรมสักหน่อย จะมานั่งดูเพื่อ?"
"บางทีก็ต้องเปลี่ยนบรรยากาศบ้างค่ะ" ไวโอเล็ตโปรยยิ้ม "ขนาดเจ้ายังเปลี่ยนตำแหน่งฝึกซ้อมเลยนี่คะ"
"ก็เพราะมันน่ารำคาญที่เจ้ามานั่งดูต่างหาก!"
"ตายจริง ขออภัยอย่างยิ่ง ข้าแค่มานั่งทานขนมดื่มน้ำชาเท่านั้น ไม่ทราบเลยว่าเป็นการรบกวน"
ท่าทางเอะอะโวยวายของเขาทำให้เธอหลุดยิ้มสนุก ไวโอเล็ตหวังผูกมิตรไมตรีจึงหยิบถ้วยกระเบื้องเปล่าบนโต๊ะมาซ้อนจานรอง ใส่น้ำตาลสักก้อน รินน้ำชาลงไปแล้วนำเสนอ
"ถือว่าแทนคำขอโทษค่ะ ดื่มน้ำสักหน่อย แม้มันจะเป็นน้ำชาแต่ก็อร่อยชื่นใจนะคะ"
"ข้าไม่ชอบน้ำชา"
"ถ้าเพราะมันขม ข้าใส่น้ำตาลให้ได้นะคะ"
เฟลิกซ์จ้อง เด็กหญิงก็คลี่ยิ้มสว่างสดใสบริสุทธิ์มอบให้พร้อมยืนยันความหวังดีด้วยการหยิบยื่นมาด้านหน้า เขายอมเดินก้าวเข้ามารับในที่สุด ทว่าหลังจิบเข้าปากก็แทบจะพ่นออกมา
"เจ้า! เจ้าใส่เกลือลงไปเหรอ!"
"แย่แล้วสิคะ สงสัยข้าจะพลาดไป"
ปากบอกอย่างนั้นแต่ดันหัวเราะคิกคักห้ามไม่ไหว พอเธอหยิบคุกกี้ส่งให้เลยปฏิเสธที่จะรับ ความระแวงเพิ่มขึ้นสูง บุตรีดยุกจึงทานให้ดูชิ้นหนึ่งว่าหนนี้ปกติดี
"อร่อยมากนะคะ ไม่แกล้งแล้วแน่นอน"
"ให้ตายเถอะ"
เด็กชายถอนหายใจลองคว้ามาโยนเข้าปากหนึ่งอัน รสสัมผัสอร่อยเกินคาดก็ตาวาว เขาไม่รังเกียจของหวาน ไวโอเล็ตแบ่งใส่จานให้อีกใบเขาก็ขอรับมา ท้องกำลังฟ้องหิวพอดี เฟลิกซ์นั่งลงที่พื้นสนามหญ้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะน้ำชา
"ว่าแต่" เขายังเคี้ยวไม่หมดก็พูดเสียแล้ว "นั่นหนังสืออะไร เห็นเจ้าอ่านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"
"ช่วงนี้ข้าเรียนประวัติศาสตร์จักรวรรดิอยู่ค่ะ เนื้อหามันค่อนข้างเยอะ อ่านไปหลายเล่มแล้วล่ะ"
"เอ่อ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าเรียนไปทำไม?"
ดวงตาสีม่วงละจากหนังสือ เธอคลี่ยิ้มพูดสิ่งที่ถูกสอนมา
"ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ ทั้งผลกระทบ การเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งที่ถูกบันทึกจากอดีต สามารถนำมาใช้อ้างอิงหรือคาดคะเนสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันหรืออนาคตได้ค่ะ เพื่อจะได้รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร"
"มันได้ขนาดนั้นเลย?"
"นั่นสินะคะ" เด็กหญิงเปิดหนังสือย้อนกลับไปทีละหน้า "ส่วนข้าเองคิดว่าประวัติศาสตร์สามารถควบคุมความคิดผู้คนได้ค่ะ"
"อะไรนะ?"
"บันทึกแต่ละเล่มต่างแฝงด้วยข้อคิดเห็นและภาพที่ผู้บันทึกรู้สึก การหาความจริงที่เกิดในเวลานั้นแทบเป็นไปไม่ได้ หากไม่ถูกทำลายก็จะส่งทอดมายังรุ่นหลัง" เธอคลี่หน้ากระดาษผ่านกลับไวๆ "กำหนดเขตความเชื่อของผู้คนได้ด้วยตัวอักษร เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์จริงไหมคะ?"
เฟลิกซ์ครุ่นคิดตามเงียบๆ ไม่ได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ เขาคาบคุกกี้ที่ปากพลิกไปพลิกมาก่อนเขมือบเคี้ยวกลืนเข้าไปโดยไม่ใช้มือ ไวโอเล็ตเห็นแล้วอยากลองทำตามก็คาบดูบ้าง
"ฟังดูยุ่งยาก ที่อัศจรรย์แล้วน่าสนใจจริงๆ เป็นไอ้ที่เจ้าใช้แกล้งข้าบ่อยๆ มากกว่า"
"อะไรเหรอคะ?" เธอทำตกแต่รับทัน "มีหลายอย่างจนคิดไม่ออกเลยค่ะ"
"เวทมนตร์ที่เจ้าใช้ ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนที่ใช้พลังแปลกๆ ได้ แล้วมาเห็นกับตาตัวเองก็ที่นี่"
บุตรีดยุกพยักหน้าน้อยๆ ทานคุกกี้ที่ถือให้หมดชิ้น ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากแล้วเธอก็หงายข้อมือตัวเองที่สวมสร้อยข้อมือให้ดู ในสายตาชาวเมืองอาจมองว่ามันเป็นพลังประหลาดจริงๆ เนื่องจากมีเพียงพวกขุนนางที่ใช้มัน ซึ่งสาเหตุก็เพราะราคาของอุปกรณ์ที่สูงลิบลิ่ว
"เรียกว่าสิ่งประดิษฐ์จะเหมาะกว่าค่ะ" ไวโอเล็ตอธิบาย "ตามหลักแล้วเราทุกคนต่างมีพลังเวทในตัวกันทั้งนั้นค่ะ ต่างเพียงจะมากหรือน้อยและส่งมันออกมาได้ไหม"
"หมายความว่าข้าก็ใช้มันได้เหรอ?"
"ค่ะ ลองดูไหมคะ?"
เขาตื่นเต้นกระตือรือร้น คนมองก็อมยิ้ม ไวโอเล็ตย้ายจากเก้าอี้ลงมานั่งด้วย เธอแกะสร้อยข้อมือตัวเองออกมาและจับมือเฟลิกซ์มาข้างหนึ่ง
"วางอุปกรณ์ไว้บนฝ่ามือแบบนี้" เธอใช้สองมือกุมมือเด็กชาย "กำเอาไว้นะคะ"
"จะกุมมือทำไม"
"อย่าเพิ่งโวยวายสิคะ" คิ้วบางขมวดกึ่งดุ "ฝึกใหม่ๆ ก็หลับตาลงก่อนจะง่ายกว่าค่ะ"
เด็กหญิงปิดเปลือกตาตัวเอง ฝ่ายเฟลิกซ์ก็ทำตาม สายลมเย็นๆ พัดผ่านมาท่ามกลางความเงียบ น่าจะเกือบห้านาทีได้ เขาหรี่ตามองเล็กน้อยเป็นบางครั้งด้วยความระแวง
"สัมผัสได้ไหมคะ?"
"อะไร?"
"ข้าก็บรรยายไม่ถูกค่ะ มันเป็นเส้นแสงสีเขียวหลายๆ เส้น เจ้าต้องปล่อยประสาทสัมผัสให้ไหลวนไปกับกระแสเวทค่ะ"
เฟลิกซ์รู้สึกฉงนเมื่อหลับตาก็ไม่เห็นจะมีไอ้แบบที่เธอพูดถึงเลยสักนิด นี่เขาโดนหลอกให้ทำอะไรโง่ๆ หรือเปล่า แต่แอบลืมตามองเห็นไวโอเล็ตยังคงหลับตา น้ำเสียงอธิบายก่อนหน้าก็จริงจัง เวลานิ่งเงียบคุณหนูบุตรีดยุกคล้ายพวกตุ๊กตากระเบื้องไม่มีผิด ทั้งคิ้วเรียว แพขนตายาวเรียงสวยละผิวแก้มใส จมูกเชิดรั้นหน่อยๆ ผิวขาวละเอียด เส้นผมสีดำเงางาม ริมฝีปากเล็กสีชมพู มือนุ่มนิ่มที่จับกันไว้
"ไม่สิ ข้ามองอะไรเนี่ย"
"อะไรคะ?" เธอเปิดตาขึ้นมาสบเขาก็สะดุ้ง "ตกลงมองเห็นไหมคะ?"
"ไม่เห็น ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
เขาแย้งขาดตัวพร้อมหลับตาลงใหม่ กระนั้นอาการขัดเขินของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้เด็กหญิงกะพริบตาปริบ สังเกตใบหูเขาที่แดงเรื่อเลยยิ้มหวาน
"ตายจริง เขินเหรอคะ?"
"หนวกหูน่า ใครจะไปเขินเพราะเด็กตัวกะเปี๊ยกอย่างเจ้ากัน!"
"..ต-ตัวกะเปี๊ยก"
เธอตาโตกับคำว่า แถมเจอแลบลิ้นล้อเลียนอีก ไวโอเล็ตเม้มริมฝีปากแน่น ที่ผ่านมาในชีวิตไม่เคยมีใครว่าเธอแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง จะท่านพ่อ ท่านพี่ แม่นมหรือใครๆ ทุกคนก็ต่างชมว่าเธอน่ารักเหมือนท่านแม่
"เสียมารยาทกับเลดี้แบบนี้ได้อย่างไรคะ?"
"เลดี้? มีส่วนไหนของเจ้าที่ดูสมเป็นเลดี้บ้าง อย่างเจ้าเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกนั่นล่ะถูกแล้ว"
"น-นี่ เจ้าเองก็ตัวเปี๊ยกเหมือนกันนั่นล่ะค่ะ ทึ่มก็ทึ่ม ความเท่ก็ไม่มี สู้ท่านพ่อหรือท่านพี่ก็ไม่ได้สักนิด"
"เจ้าก็ไม่เห็นน่ารักเลยสักนิด พวกลูกคุณหนูคนอื่นยังดูน่ารักกว่าเยอะ"
เถียงกันไปมาก็เปิดตาจ้องเขม็งใส่กันจนได้ ไวโอเล็ตยิ้มมุมปากแผ่รังสีหงุดหงิด เฟลิกซ์เองก็กลอกหน้ากลอกตาล้อคำว่ายายตัวเปี๊ยกซ้ำไปมา สุดท้ายก็มีลมกระแทกคางแหงนขึ้นฟ้าไปหนึ่งที พอได้สร้อยข้อมือกลับมาสวม ไวโอเล็ตที่งับริมฝีปากตัวเองพองแก้มนิดๆ ก็ยกมือข้างนั้นขึ้นมาเตรียมเล็ง
"แย่ล่ะ" สัญชาตญาณสั่งเขาดีดตัวลุกวิ่ง "ใจเย็น!"
เธอจ่อไล่ยิงตามหลัง เขาก็กระโดดบ้าง กลิ้งบ้าง ไถลตัวพลิกหลบ เสียงในสวนอึกทึกผิดปกติพวกสาวใช้ที่ยืนรอเรียกใช้เลยวิ่งมาหา คุณหนูของพวกเธอก้าววิ่งไปทั่วยิงเวทลมจากอุปกรณ์ที่ข้อมือ กระทั่งสะดุดล้มบนสนาม
"ล-เลดี้ไวโอเล็ต!"
"เป็นอะไรไหม!"
เฟลิกซ์ตกใจย้อนกลับ ทว่าคนที่นั่งจุ้มปุ๊กก้มหน้าก้มตาก็เงยควับมองคู่กรณี เขาเลยเปลี่ยนใจวิ่งหน้าตั้งหนีสาวน้อยที่ผุดลุกไล่ล่า แต่ละคนก้มหลบกันแทบไม่ทันต่อลูกหลงเวลาเฟลิกซ์วิ่งผ่าน
"หยุดนะคะ!"
เด็กหญิงเอ่ยสั่งวิ่งตามคนหนี ทว่าไปได้ไม่ไกลเธอเหลือบเห็นคนๆ หนึ่งก็หยุดเท้า ไวโอเล็ตร้อนรนปัดฝุ่นจัดผมเผ้าตัวเอง ซึ่งเหล่าสาวใช้ก็ยืนตัวตรงเรียงแถวก้มศีรษะลง
"ถวายบังคมเพคะ ท่านดยุก"
ดยุกเมอร์ริแกนตรงมาหาบุตรี คนตัวเล็กมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ยิ้มหวานถอนสายบัว
"ท่านพ่อ กลับมาแล้วหรือคะ?"
"อืม" เขาหยิบใบไม้ออกจากเส้นผมเธอ "สะดุดล้ม?"
"เอ่อ ค่ะ นิดหน่อย"
ไวโอเล็ตยิ้มกลบเกลื่อนหวังว่าสภาพตัวเองจะไม่แย่มาก เธอคาดโทษเฟลิกซ์ไว้ในใจ ดยุกใช้มือเช็ดรอยเปื้อนดินตรงแก้มให้แล้วจึงอุ้มลอยขึ้นจากพื้น
"ไปพักด้านในเถอะ ข้างนอกลมค่อนข้างแรง"
"ลูกไม่เป็นไรเลยค่ะ" เธอส่ายหน้ายืนยัน "ช่วงนี้ร่างกายแข็งแรงดีมากๆ ค่ะ"
"ลูกไม่รู้ตัวเองหรอก"
พูดจบพ่อของเธอก็หันไปสั่งให้สาวใช้เร่งเตรียมชุดใหม่สำหรับเปลี่ยน ห้องน้ำ อ่างน้ำอุ่น ผ้าขนหนูสะอาด รวมถึงจัดการห้องนอนของคุณหนูให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิบนาที เรียกว่าไวโอเล็ตกลับเข้าไปในคฤหาสน์ก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำแผลที่ขา
"ลูกไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ"
เด็กหญิงพยายามยืนกรานแม้ถูกส่งมานอนที่ห้องแล้ว แค่บ่ายแก่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินด้วยซ้ำ ท่านพ่อลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเอื้อมมือแตะหน้าผากวัดไข้ ดยุกเมอร์ริแกนย่นคิ้วที่ลูกสาวตัวร้อน
"ลูกอาจมีไข้"
"คะ?" เธอจับหน้าตัวเอง "คงเพราะลูกวิ่งค่ะ ลูกอยากออกกำลังกายก็เลย.."
"เย็นนี้พ่อจะให้หมอเข้ามาตรวจ"
รู้ว่าเถียงไม่ขึ้น เธอแน่ใจว่าพักนิดเดียวก็ปกติแล้วแน่ๆ ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ทว่าน่าจะยากที่ท่านพ่อจะยอม ดยุกเมอร์ริแกนประคองลูกสาวให้นอนลงหนุนหมอนห่มผ้า เด็กหญิงปลงแล้วก็หลับตานอน สักพักถึงลืมตาขึ้นมาใหม่ เธออยากอ้อนขอสักนิดก่อน ปกติท่านพ่อจะงานยุ่งเสมอเลยไม่ค่อยมีโอกาส
"ลูกขอจับมือได้ไหมคะ?"
เมื่อบิดาส่งมือมาให้จับ เธอก็ยิ้มแย้มนำไปกอดซบที่แก้ม พ่อของเธอทั้งเท่ ทั้งใจดี เป็นสุภาพบุรุษ ตั้งใจทำงาน ดูแลชาวเมืองในดัชชีอย่างดีไร้ข้อบกพร่อง
พลันไวโอเล็ตนึกถึงที่เถียงกับเฟลิกซ์เมื่อครู่ มุ่นคิ้วนินทาในใจหลายชุดว่าเขาเป็นแค่เจ้าหนูแท้ๆ ตัวก็สูงกว่าแค่นิดเดียว ไว้ต้องฝากคนเอารังมดไปโยนใส่ห้องพักให้รู้แล้วรู้รอด กำลังภูมิใจต่อแผนการในหัว พอมองดยุกผู้เป็นพ่อเธอก็คืนมือที่กอดไว้ รู้ว่าท่านเพิ่งเดินทางกลับมาเหนื่อยๆ
"ท่านพ่อพักผ่อนเถอะค่ะ ลูกจะนอนแล้ว"
"พ่อจะนั่งเป็นเพื่อน"
"ลูกนอนได้ค่ะ ที่สำคัญเดี๋ยวท่านพี่ก็กลับมาแล้วด้วย ตอนมื้อค่ำลูกอยากทานอาหารด้วยกันสามคน ดังนั้นท่านพ่อก็ควรพักก่อนค่ะ"
ดยุกตระกูลแบล็คไม่ได้ตอบเพียงพยักหน้า แต่ลูกสาวรู้ว่าพ่อไม่มีทางไปจนกว่าเธอจะหลับ วิธีเดียวที่มีคือทำเป็นว่านอนแล้วเท่านั้น
บิดาของเธอไม่เคยสนใจว่าใครจะว่าอย่างไรเรื่องที่คอยดูแลประคบประหงมบุตรี ไวโอเล็ตเข้าใจดีว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะเรื่องของท่านแม่ จะว่าความประมาทก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าอาการของดัชเชสเมอร์ริแกนจะรุนแรงขึ้นภายในเวลาสั้นๆ
'ไม่เป็นไร แค่เป็นหวัดเท่านั้น' ท่านแม่กล่าวให้ท่านพ่อสบายใจ แดเนียลเล่าให้น้องฟัง ตอนนั้นแม่นมคอยดูแลพวกเธอแทนนายหญิงที่ป่วยไข้เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ไม่สบายไปด้วย
หากรู้ตัวเร็วกว่านั้น ถ้าตามหาหมอเก่งๆ มาช่วยกันวินิจฉัย บิดาของเธอคงตอกย้ำตัวเองเช่นนั้น
เด็กหญิงไม่เคยคิดว่าเป็นความผิดของท่านพ่อ ตำแหน่งดยุกมีหน้าที่ต้องแบกรับหลายอย่าง คำสั่งจักรพรรดิจะให้เมินเฉยก็ไม่ได้ แต่ท่านพ่อรู้สึกเสียใจ ไวโอเล็ตเองที่โตขึ้นจนเข้าใจว่าฝันประหลาดนั้นเป็นจริงก็อยากย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน
หลังท่านแม่ของเธอเสียชีวิต ท่านพ่อยิ่งกังวลเป็นห่วงเธอมากเกินจากเดิม ทั้งห้ามก้าวออกจากคฤหาสน์ ห้ามรับลม รับน้ำค้าง ตากแดด จะแมลงกัดนิดเดียวหรือเผลอจามก็ต้องวุ่นเรียกหมอมาตรวจ สารพัดอย่างจนคนรับใช้ทั้งหมดกดดันไปด้วย
ดังนั้นไวโอเล็ตจึงคอยดูแลตัวเองให้ดีไม่เจ็บป่วย เธอจะแข็งแรง เป็นบุตรีดยุกที่เหมาะสม ช่วยเหลือครอบครัว หวังว่าสักวันพ่อของเธอจะรู้สึกผิดน้อยลงกว่านี้ มั่นใจว่าท่านแม่เองก็ต้องการเช่นเดียวกันกับเธอ