Chereads / สุดแสงสีหม่น / Chapter 23 - เข้าใจผิดไม่เลิก

Chapter 23 - เข้าใจผิดไม่เลิก

วีรภัทรากลั้นใจและพยายามดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงของอัคราวิชญ์ไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่าเธอไม่ยอม จึงพูดคำแทงใจเธอกลับไปอีก

"ที่ไม่ยอมเพราะอะไร เพราะรังเกียจหรือเพราะกลัวว่าฉันจะรู้ความจริงของวีกันแน่" อัคราวิชญ์ซัดคำพูดหนัก ๆ กลับไป และเขาก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อกระซิบที่ข้างหูวีรภัทราต่อว่า "รู้ความจริงว่า...วีได้เสียตัวให้คนอื่นไปแล้วนะเหรอ หึ"

"ไม่ใช่ วีไม่เคยทำแบบนั้น" วีรภัทราพูดปฏิเสธออกไป พลางดิ้นหนีไปด้วย

"คุณมันร้ายเกินเยียวยาแล้วสินะ วีก็หลงดีใจที่คุณยอมปรับตัวเข้าหากัน ที่ไหนได้คุณมันก็ผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น" วีรภัทราต่อว่ากลับอย่างไม่ไว้หน้าอัคราวิชญ์อีกแล้ว

"คุณเลวมากกว่าผมอีก ยังจะกล้ามาต่อปากต่อคำ" อัคราวิชญ์พูดออกไปอย่างเหลืออด

"แล้วที่คุณทำตอนนี้ดีตายแหละ" วีรภัทราแสยะยิ้มออกมา

"ได้" อัคราวิชญ์ที่พยายามควบคุมอารมณ์โกรธอยู่ก็ขาดผึงทันที และจูบวีรภัทราโดยไม่ให้สัญญาณใด ๆ และทั้งคู่ก็ผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างเจ็บปวด

อัคราวิชญ์ที่ตื่นก่อน เห็นวีรภัทราหลับสนิทด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าก็รู้สึกผิดปนเจ็บปวดอยู่ข้างใน เพราะเขาได้รู้ความจริงแล้วว่าเธอไม่เคยผ่านชายใดมาก่อนหลังจากปลุกปล้ำกันเมื่อคืน หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัวตามปกติ ส่วนวีรภัทราที่ตื่นทีหลังและเห็นสภาพตัวเองตอนนี้ก็ได้แต่นั่งน้ำตาไหลอยู่คนเดียวโดยไม่มีเสียงสะอื้นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว พอเธอรู้สึกดีขึ้นก็ลุกขึ้นไปแต่งตัวกลับห้องนอนตัวเอง และเตรียมตัวไปทำงานโดยไม่คิดจะกินข้าวเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน

อัคราวิชญ์ที่นั่งรอกินข้าวอยู่ ไม่เห็นวีรภัทราลงมากินข้าวสักที จึงเดินขึ้นไปตาม แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ จึงกดโทรหาตามเบอร์ที่เธอเคยให้ไว้ เธอที่ไม่รู้ว่าใครโทรมาเลยกดรับแบบไม่คิดอะไร พอรับสายและได้ยินปลายสายถามหาเธอ เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร จึงบอกเพียงแค่ว่าไปทำงานแล้ว และตัดสายทิ้งไป ปล่อยให้เขาพูดอยู่คนเดียวด้วยความหงุดหงิดใจ

หลังจากค่ำคืนนั้น วีรภัทราก็เอาแต่เงียบ และทำทุกอย่างตามปกติ เพียงแค่ไม่ยอมคุยกับอัคราวิชญ์ ไม่ว่าเขาจะพูดใส่อารมณ์หรือพูดจาดี ๆ กับเธอ จนผ่านไป 3 วัน เขาทนไม่ไหว เลยพูดขึ้นก่อนว่า

"วี ผมขอโทษที่ไม่ฟังคุณนะ" อัคราวิชญ์พูดและแสดงสีหน้าอย่างรู้สึกผิดจริง ๆ

"ช่างมันเถอะค่ะ" วีรภัทราบอกปัด และไม่สนใจที่จะอยู่คุยต่อ เดินกลับขึ้นข้างบนทันที

อัคราวิชญ์ที่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของวีรภัทรา ไม่สนใจเขาเหมือนอย่างเคย ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนเธอมักจะพยายามเข้าหาเขา และคุยดีกับเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์ไหน เขาก็ยิ่งสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะในความคิดเขา การที่เรา 2 คนมีอะไรกันมันก็เป็นเรื่องปกติของคู่สามีภรรยาอยู่แล้ว แต่อาจจะใช้อารมณ์มากไปหน่อย ซึ่งเขาก็ขอโทษแล้ว เธอต้องการอะไรกันแน่นะ ในใจเขาได้แต่คิดทบทวนอย่างไม่เข้าใจในตัวเธอ

ส่วนวีรภัทราที่เดินขึ้นไปเหมือนคนที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ แต่จริง ๆ แล้วเธอกลัวตัวเองใจอ่อน ยอมให้อัคราวิชญ์เข้ามาทำร้ายได้อีก และเธอก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้นมันอาจจะเลวร้ายสำหรับเธอ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดทั้งหมดซะทีเดียว เพราะความไม่ชัดเจนของเธอเอง ทำให้เขาเข้าใจผิดไปหมด เธอได้ให้อภัยเขาไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่สิ่งที่เธอทำตอนนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเองก็เพียงแค่เท่านั้น

หลังจากแยกย้ายกันไปในช่วงเช้านั้น ทำให้ตอนนี้พวกเขายังคงมองหน้ากันไม่ติด แต่ก็ยังนั่งกินข้าวด้วยกันได้ เป็นความแปลกที่ทั้งคู่ก็รู้สึกได้ แต่ในเมื่ออยู่บ้านเดียวกันก็คงหลบหน้าไม่ได้ นั่นคือความคิดมุมหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนกัน จนเวลาก็ผ่านเลยไปด้วยการที่พวกเขาแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง อัคราวิชญ์เลือกที่จะไปนั่งฟังเพลงในห้องชั้น 3 ส่วนวีรภัทรานั่งดูทีวีในห้องรับแขก

จนเวลา 6 โมงเย็นก็ถึงเวลาต้องเดินทางออกจากบ้านไปหากัลย์กมลตามที่คุยกันไว้ผ่านข้อความในโทรศัพท์ วีรภัทราและพริมาเดินทางไปพร้อมกัน แต่กัลย์กมลกลับวางแผนลากอัคราวิชญ์และณัฐชานนท์มาเกี่ยวข้องด้วยการแอบติดต่อส่วนตัวไป จึงทำให้พวกเขาทั้งหมดจำเป็นต้องเดินทางไปยังบ้านมน เหตุเพราะมนอ้างกับ 2 ชายหนุ่มว่าหลักฐานทั้งหมดอยู่ที่บ้าน ถ้าอยากได้ก็ต้องมาคุยที่บ้าน โดยมนข่มขู่อัคราวิชญ์ว่าจะแฉเรื่องวัยเด็กของวีรภัทรา และข่มขู่ณัฐชานนท์ว่าจะเปิดโปงเรื่องที่แอบชอบเมียเพื่อน ทำให้พวกเขาต้องมาร่วมในเหตุการณ์นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อทุกคนมารวมกันแล้ว กัลย์กมลก็เชิญให้นั่งก่อน และก็เดินด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทเข้าไปหยิบหลักฐานในชั้นวางที่ห้องนอน จากนั้นก็เอามาโปรยให้ทุกคนได้ดู พอวีรภัทราเห็นภาพทั้งหมดของตัวเอง ความกลัวที่คิดว่าดีขึ้นมากแล้ว ก็ย้อนกลับมาจนเธอประคองสติตัวเองแทบไม่ไหว พริมาที่เห็นเพื่อนเป็นแบบนั้นก็รีบเข้าไปกอดไว้ และหันมาต่อว่ากัลย์กมล

"คุณโคตรเลวเลย ทำกับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกันได้ไง" พริมาพูดอย่างเหลืออด

"หึ" กัลย์กมลออกเสียงจากลำคอตัวเองแค่คำเดียว และยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม

"มนทำไมทำแบบนี้ ฉันเคยทำอะไรให้มนเสียใจงั้นเหรอ" วีรภัทราพูดออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ

"ไม่หรอก วีไม่เคยทำให้เราเสียใจเลยสักครั้ง วีทำให้เราพอใจมาก..." กัลย์กมลพูดด้วยน้ำเสียงยียวนใส่วีรภัทรากลับไป

"แล้วทำไม..." วีรภัทราถามต่อ เพราะไม่เข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายเลย ไม่ว่าจะพยายามคิดขนาดไหนก็ตาม

"ก็เพราะ...คนอย่างวีน่าหมั่นไส้มาก มีแต่คนรัก เห็นแล้วฉันไม่มีความสุขเลย ในเมื่อฉันไม่มีความสุข วีก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเหมือนกัน" กัลย์กมลพูดเน้นทีละประโยคให้วีรภัทราฟัง

"ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อมนไม่มีความสุข ก็ควรทำอะไรที่ให้มีความสุขสิ การทำร้ายฉัน มันทำให้มนมีความสุขมากงั้นเหรอ" วีรภัทราพูดด้วยความงุนงนกลับไป พลางเช็ดน้ำตาของตัวเองไปด้วย

"ใช่ ฉันมีความสุขมาก" กัลย์กมลพูดเสร็จ ก็หัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน

"ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย การกลั่นแกล้งคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรทำมาก ๆ เลยนะ" วีรภัทราพยายามพูดไปทำความเข้าใจอีกฝ่ายไป

"ที่วีไม่เข้าใจฉัน เพราะอะไรรู้ไหม" กัลย์กมลพูดออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่

"เพราะอะไรเหรอ ช่วยบอกฉันหน่อยสิ" วีรภัทราแกล้งถามกลับไป

"เพราะวีมีความสุขมากเกินไปไง จนฉันอยากช่วยให้วีได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ ดูบ้าง ไม่คิดว่าวีจะชิมอย่างเยอะเลยนะ ตลกจัง" กัลย์กมลพูดไปหัวเราะไปเหมือนคนกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำ

"แล้วที่ผ่านมามนทำอะไรฉันบ้างล่ะ ฉันอยากรู้ว่ารสชาติใหม่ ๆ ที่ว่ามันมีอะไรบ้าง" วีรภัทราพูดหย่อนเบ็ดไป หวังให้อีกฝ่ายอ้าปากงับกิน แล้วก็ได้ผลด้วย

"อยากรู้จริงเหรอ" กัลย์กมลพยายามพูดเล่นแง่ ทำเหมือนตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกคนตอนนี้

"อืม" วีรภัทราตีหน้าเศร้า

"ก็..." กัลย์กมลพูดทิ้งจังหวะ แล้วก็พูดต่อว่า

"บังเอิญไปเห็นวีทำงานหารายได้พิเศษ ตอนแรกก็สงสารอยู่หรอกนะ แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว วีก็ควรได้ลองรสอะไรใหม่ ๆ จะได้ไม่เบื่อไง เลยช่วยส่งเสริมให้ด้วยการแพร่ข่าวไปทั่วโรงเรียน สนุกดีไหมล่ะ" กัลย์กมลพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเห็นใจ แต่ก็ยังถามคำถามกวนประสาทกับวีรภัทรากลับไป

"อืม ดีเลยล่ะ มีแค่นี้เหรอ" วีรภัทราพยายามข่มอารมณ์ที่สับสนปนเปไปหมด ทั้งกลัว เสียใจ โกรธ โมโห อยากแก้แค้น ทำความเข้าใจ และให้อภัย ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในอารมณ์ไหน ได้แต่นิ่งเข้าสู้

"มีแค่นั้นจะไปสนุกอะไร ฉันก็หาพรรคพวกที่ไม่ชอบวีเป็นทุนเดิม วางแผนตั้งแต่ปล่อยข่าวลือ ไปจนถึงโรงอาหาร และการข่มขู่นั่นแหละ โคตรสนุกเลยล่ะ" กัลย์กมลเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น

"แล้ว ๆ เรื่องที่เราคบกันล่ะ มนเป็นคนส่งข้อความติดต่อฉันกลับมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราก็แยกย้ายกันไปแล้ว จะกลับมาอีกทำไม" วีรภัทราพยายามคิดบวก และภาวนาในใจว่าอย่างน้อยเรื่องความรักกัลย์กมลคงไม่น่าจะโกหกกันนะ แต่ความจริงกับความฝันมันก็มักสวนทางกัน

"ก็สนุกดีนี่นา ตั้งแต่ที่ฉันได้รู้จักวีครั้งแรก วีก็เป็นตุ๊กตาของเล่นของเราตลอดไปแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ จะทำไมเหรอ" กัลย์กมลถามกลับมาอย่างหน้าตาเฉย

"...มนเคยรักเราจริง ๆ บ้างไหม" วีรภัทราเงียบไปแป๊บนึง ก่อนจะพูดไปสะอื้นไป เพราะอดทนที่จะเก็บความเสียใจไว้ไม่ไหวแล้ว

"ไม่นะ ฉันไม่เคยรู้สึก ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะคบกัน แต่วีเป็นคนหัวอ่อนไง พูดอะไรก็เชื่อไปหมด" กัลย์กมลพูดไปยิ้มไป และก็ใช้สายตาที่แสดงออกถึงความเห็นใจแบบปลอม ๆ ออกมา

"ทำไม ๆ ๆ ๆ" วีรภัทราพูดระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ

"ทำไมถึงต้องทำกันขนาดนี้ ที่กลั่นแกล้งกันมา ยังไม่พออีกเหรอ" วีรภัทราถามกลับไปอย่างทนไม่ไหวแล้ว

"อืม สนุกดีออก ไม่รู้สึกเหรอ" กัลย์กมลพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกผิดอะไรเลย

"ไม่ ใครจะไปสนุกด้วย" วีรภัทราพูดใส่อารมณ์กลับไป

"พอ ๆ" อัคราวิชญ์ที่ยืนฟังอยู่นาน ก็ห้ามให้หยุด เพราะเขาได้แอบอัดเสียงไว้ทั้งหมดแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

"มาห้ามทำไม กำลังสนุกเลย" กัลย์กมลพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย

"คุยกันพอแล้ว หลักฐานมีแค่นี้ใช่ไหม งั้นขอนะ" อัคราวิชญ์พูดตัดบท และหยิบหลักฐานทั้งหมดใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็หันไปจับมือวีรภัทราเพื่อชวนกลับบ้าน

แต่ความสนุกของกัลย์กมลยังไม่จบ เธอพูดจุดชนวนเรื่องความสัมพันธ์ของณัฐชานนท์กับวีรภัทรา

"ได้ข่าวว่า 2 คนนี้สนิทกันมาก... ไม่ใช่เหรอ" กัลย์กมลพูดพร้อมชี้ไปที่ณัฐชานนท์กับวีรภัทรา แถมยังเน้นคำบางคำให้น่าสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก

"ก็ปกติไหม เพื่อนกัน" ณัฐชานนท์ที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ แต่กลับโดนพูดถึงในทางที่ไม่ดี ก็เลยรู้สึกยอมไม่ได้ จึงพูดตอบโต้กลับไป

"แน่ใจว่าแค่เพื่อน" กัลย์กมลพูดจี้ใจดำณัฐชานนท์ไม่พอ ยังยิ้มเยาะเย้ยให้อีก

"คุณอย่ามาพูดจาให้คนอื่นเสียหายนะ" ณัฐชานนท์รู้สึกทนไม่ได้กับคำพูดสองแง่สองง่าม จึงพูดต่อว่ากลับไป

"ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริง จะร้อนตัวทำไม ทำแบบนี้ เดี๋ยวสามีเขาก็เข้าใจผิดหรอก" กัลย์กมลพูดใส่ไฟเข้าไปอีก

"ผมไม่เข้าใจผิดหรอก" อัคราวิชญ์พูดสวนขึ้นทันที

"แน่ใจเหรอ แววตาคุณดูสั่นไหวนะ" กัลย์กมลพูดแหย่ด้วยคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกระแวงใจตัวเองขึ้นมา

"แน่ใจ" อัคราวิชญ์พูดกลับทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"วี กลับกัน" อัคราวิชญ์หันไปพูดกับวีรภัทรา พร้อมจูงมือเธอกลับ เพราะไม่อยากจะคุยกับคนที่ชอบสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นต่ออีกแล้ว

"เดี๋ยวสิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ" กัลย์กมลตะโกนตามหลังไป แต่ก็ไม่มีใครอยู่ฟังแล้ว

ทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน โดยณัฐชานนท์เป็นคนขับรถไปส่งพริมาที่คอนโด ส่วนอัคราวิชญ์และวีรภัทรากลับบ้านด้วยกันตามปกติ แต่ท่าทางของวีเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้รู้ความจริงทั้งหมดจากปากคนที่เธอเคยเชื่อใจมาก เธอเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่คินน์ก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกันเพราะในหัวมัวแต่คิดวนกับเรื่องที่กัลย์กมลหยอดยาพิษไว้

เมื่ออัคราวิชญ์และวีรภัทราถึงบ้าน เธอไม่คิดที่จะยืนรอเพื่อจะคุยกับอีกฝ่ายเลย รีบเดินขึ้นห้องนอน ขังตัวเองไว้ในห้องและร้องไห้เงียบ ๆ อยู่คนเดียว ส่วนเขานั้นก็ไม่พร้อมที่จะคุยซะทีเดียว จึงเดินคิดวนไปวนมาในห้องรับแขก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าคงต้องถาม เพราะคิดเองอยู่คนเดียวมีหวังเข้าใจผิดแบบรอบที่แล้ว ครั้งนี้จะต้องเปิดใจรับฟังให้มากขึ้น เลยเดินขึ้นไปชั้น 2 เคาะประตูห้องนอนเธอ แต่กลับได้ยินแค่เสียงคนร้องไห้ ไม่ยอมเดินมาเปิดประตูให้เขาสักที ทำให้เขาเกิดความกังวลขึ้นมา เพราะเขายังคงจำสีหน้าของเธอได้ดี เธอไม่เคยแสดงสีหน้าเหมือนคนยอมแพ้อะไรสักอย่างขนาดนี้มาก่อน หากเธอคิดทำร้ายตัวเองขึ้นมาจะทำอย่างไร เขาจึงใช้กุญแจสำรองเปิดเข้าไป เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด เขาไม่อยากสูญเสียใครไป โดยยังไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ

พออัคราวิชญ์เห็นวีรภัทรานั่งขดตัวร้องไห้อยู่มุมหนึ่งของห้อง จากที่เขาอยากมาคุยให้รู้เรื่อง แต่กลับเป็นเขาที่รู้สึกใจอ่อน เดินเข้าไปหาและทรุดตัวลงไปกอดปลอบโยนเธอ หลังจากเธอรู้สึกดีขึ้นเขาก็พาเธอมานั่งที่เตียง ส่วนเขาก็นั่งลงข้าง ๆ และหันหน้าเข้าหาเธอ

"ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ" อัคราวิชญ์เปิดประเด็นอย่างเรียบง่าย

"ค่ะ" วีรภัทราตอบสั้น ๆ

"ขอถามเรื่องนนท์หน่อย ทำไมถึงมีเรื่องใหม่มาอีก" อัคราวิชญ์ถามด้วยความสงสัยในตัวอีกฝ่าย

"ทำไมคุณถึงถามแบบนั้นคะ วีไม่เคยทำอะไรผิดลับหลังคุณเลยนะคะ" วีรภัทราไม่ตอบคำถาม แต่เลือกที่จะแก้ตัวกลับไป

"ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าคุณทำผิดเลยนะ ทำไมคุณพูดให้ผมรู้สึกว่าคุณทำผิดล่ะ" อัคราวิชญ์พูดกลับอย่างงุนงงปนระแวงนิด ๆ

"วีก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ที่วีไปเจอคุณนนท์วันนั้นก็แค่ปรับทุกข์เรื่องของคุณ ตอนนั้นก็มีพริมไปด้วยนะคะ วีไม่ได้ไปคนเดียว" วีรภัทราอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นให้อัคราวิชญ์ฟัง

"เดี๋ยวนะ เรื่องผม ทำไมคุณถึงไปคุยกับคนอื่น ทำไมไม่คุยกับผมล่ะ" อัคราวิชญ์พูดพร้อมมีเสียงขำเล็ก ๆ เพราะสมเพชตัวเอง ในใจก็ได้แต่คิดว่า ทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นแบบนี้ ปัญหาทุกอย่างตอนนี้ทำไมถึงหมุนรอบตัวเขาล่ะ

"วีไม่ได้หมายความว่าคุณผิดอะไรนะคะ แค่วีหาเพื่อนปรึกษา และคุณนนท์เขาก็เป็นที่ปรึกษาที่ดี แค่นั้นค่ะ" วีรภัทรากลัวอัคราวิชญ์เข้าใจผิดแบบครั้งก่อน ๆ จึงรีบขยายความประโยคทันที

"คุณรู้อะไรไหม เวลาคู่รักมีปัญหากัน ก็ต้องคุยกันเองสิ ทำไมถึงไปคุยกับคนอื่น" อัคราวิชญ์แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไป

"ค่ะ แต่ว่า...เรา 2 คนรักกันเหรอคะ อีกอย่างคุณก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับวีเท่าไร ก็เลย..." วีรภัทราที่เผลอพูดความจริงออกไป จึงหยุดพูดในประโยคถัดมา

"อ๋อ เป็นเพราะแบบนี้สินะ" อัคราวิชญ์พูดด้วยความขมขื่นภายในใจ และพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ

"คุณเคยคิดถึงความรู้สึกผมบ้างไหม คุณเคยรู้สึกไหมว่าผมก็เจ็บเป็น ผมเสียใจมากนะ รู้ไหม" อัคราวิชญ์พูดอย่างกล้ำกลืน แต่น้ำตาก็เอ่อล้นอยู่เต็มตาไปแล้ว

"เพราะวีเห็นแก่คุณ เลยพยายามหาทางแก้ไข แต่ในเมื่อคุณมองว่าสิ่งที่วีทำนั้น มันทำให้คุณรู้สึกแย่แบบนี้ วีก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีกแล้วค่ะ" วีรภัทราพูดในมุมมองที่ตัวเองคิดและรู้สึกไป

"อ๋อ... งั้นผมต้องหายเองสินะ" อัคราวิชญ์พูดต่อ

"ไม่ใช่ค่ะ วีจะไม่ทำอีก เพราะคุณไม่ชอบ สบายใจขึ้นได้แล้วนะคะ" วีรภัทราพยายามจบบทสนทนานี้ เพื่อที่เธอจะได้อยู่คนเดียว

"ครับ ดีขึ้นก็ได้" อัคราวิชญ์ตอบตกลงไปอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งมองหน้ากันสักพักเหมือนมีอะไรมาหยุดไว้ แล้วอยู่ดี ๆ อารมณ์ของอัคราวิชญ์ก็พาไป เขาจึงเข้าไปจูบพลางดึงวีรภัทราเข้ามากอดอย่างแนบชิด ส่วนเธอก็ตอบสนองกลับอย่างไม่ขัดขืน ไม่รู้ว่าเพราะเขากำลังต้องการการปลอบโยนจากใครสักคนหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็เริ่มจู่โจมด้วยการลูบไล้วีรภัทราไปทั่วตัวเธอ ส่วนเธอเองก็มีอารมณ์ที่อ่อนไหวอยู่แล้วเช่นกัน อีกทั้งยังรู้สึกอยากได้รับการปลอบประโลมใจจากใครสักคนเหมือนกัน ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหากัน และก็ไปจบลงที่เตียงด้วยความรู้สึกวาบหวามใจ