หลังจากวีรภัทรานั่งอธิษฐานเสร็จ เธอลุกขึ้นยืน และเดินไปหาป้านุชที่กำลังนั่งรออยู่ด้านหน้าวัด ทั้งคู่พากันไปซื้อปลาสด เพื่อจะทำบุญปล่อยปลากัน วันนี้ลมเย็นพัดอ่อน ๆ ริมแม่น้ำ ทำผมปลิวไสวเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความรู้สึกให้เธออิ่มเอมใจ มีความสุขและสดชื่นมากขึ้นไปอีก
ต่อจากนั้นป้านุชและวีรภัทรากลับมาจากทำบุญที่วัด ก็เตรียมตัวทำอาหาร สำหรับปาร์ตี้วันเกิดเล็ก ๆ เย็นนี้ แถมป้ายังบอกเธออีกว่า มีแขกพิเศษมาร่วมฉลองด้วย เป็นคนที่เธอรู้จัก ไม่ต้องกังวลอะไรมาก สำหรับเมนูวันนี้ที่ทำล้วนเป็นเมนูไทยทั้งสิ้น ซึ่งป้าสอนเธอทำมาตั้งแต่ 10 ขวบจนตอนนี้ 24 แล้ว
"ป้าคะ วันนี้มีเมนูอะไรบ้างคะ" วีรภัทราถามอย่างกระตือรือร้น เพราะเธอชอบและติดใจการทำอาหารมาก
"แกงเขียวหวานไก่ หมูผัดเปรี้ยวหวาน ข้าวผัดปลาสลิด ไข่ดาวทอดกรอบ ปลาดอลลี่นึ่งมะนาว ผัดไทยทะเล ผัดผักบุ้งไฟแดง ขนมจีนน้ำยากะทิ บัวลอยพาสเทล เครื่องดื่มน้ำผลไม้รวมแบบเย็น อยากกินอะไรอีกไหม" ป้านุชพูดจบ ก็ถามเธอกลับ เธอได้แต่ส่ายหัว เพราะแต่ละอย่างก็ใช้เวลาทำทั้งนั้น
วีรภัทราเริ่มจากช่วยล้างผัก หั่นผัก ตามด้วยล้างเนื้อหมู เนื้อไก่ และก็เนื้อปลา จากนั้นส่งให้ป้านุชแล่และหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วเธอก็ไปเตรียมแป้งสำหรับทำขนมบัวลอยต่อ หลังจากเสร็จ ก็มาทำเครื่องดื่มผลไม้รวมเตรียมไว้ ส่วนป้านำวัตถุดิบที่เธอเตรียมไว้ มาทำเป็นเมนูต่าง ๆ ที่ได้คุยไว้ก่อนหน้านี้ พอทุกเมนูเสร็จ เธอก็ช่วยยกจานอาหารย้ายไปที่โต๊ะอาหารใหญ่ ทุกอย่างกว่าจะเสร็จก็ล่วงเลยเวลาไปถึง 6 โมงเย็น ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถฮุนไดสีดำขับเข้ามาจอดหน้าบ้านพอดี เมื่อเธอเห็นก็รู้ทันทีเลยว่า น่าจะเป็นแขกของป้านุชแน่ ๆ เลยออกไปเปิดประตูต้อนรับหน้าบ้าน
คุณหญิงวิไลรัตน์ก้าวขาลงมาจากรถ จากนั้นหันกลับไปหยิบของขวัญในรถ พอหันกลับมาอีกที ก็เจอเข้ากับวีรภัทราพอดี วีจึงเดินก้าวเร็วเข้าไปหาเพื่อสวัสดี
"สวัสดีค่ะ คุณหญิงวิไลรัตน์" วีรภัทรายังจำได้ดี เพราะล่าสุดเพิ่งไปร่วมงานศพของเจ้านายมา และที่สำคัญเธอทำงานในบริษัทนั้นด้วย
"สวัสดีค่ะ หลานวี" คุณหญิงวิไลรัตน์รับไหว้ พร้อมยิ้มน้อย ๆ ให้
"เชิญเข้าบ้านก่อนนะคะ" วีรภัทราพูดชักชวนแล้วผายมือไปพร้อม ๆ กัน จากนั้นคุณหญิงก็เดินนำเข้าไปในบ้าน ส่วนเธอเดินตามไปติด ๆ
ป้านุชเดินออกมาจากห้องกินข้าวเห็นคุณหญิงวิไลรัตน์มาพร้อมกับกล่องของขวัญก็เดินจ้ำเข้ามาหา และทักทายกันอย่างสนิทสนมเช่นเดิม รอยยิ้มของทั้งคู่สดใสทันทีที่เห็นหน้ากัน
"มานั่งตรงนี้ก่อนค่ะ" ป้านุชเชิญคุณหญิงวิไลรัตน์นั่งที่โซฟาในห้องรับแขก ต่อมาวีรภัทราก็ยกน้ำมาเสิร์ฟให้
"ขอบใจจ้ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์เห็นความน่ารักของวีรภัทราก็เริ่มรู้สึกเอ็นดูมากขึ้น
"ค่ะ" วีรภัทรายิ้มกว้างสดใส
ป้านุชเดินกลับไปจัดแจงโต๊ะให้เรียบร้อย และกลับมาเชิญคุณหญิงวิไลรัตน์ไปที่โต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้แล้ว ส่วนวีรภัทราหลังจากเสิร์ฟน้ำเสร็จก็ไปเชิญให้คุณปู่ธนเดชที่อาวุโสที่สุดในบ้าน และคุณปู่กรชวัลกับคุณย่าฐิติวรรณ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของป้านุช มาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
วันนี้โต๊ะอาหารครื้นเครงเป็นพิเศษ เพราะมีแขกพิเศษมาร่วมด้วย และสำคัญที่สุดคือ ป้านุชและคุณหญิงวิไลรัตน์แสดงท่าทีแปลก ๆ แบบมีลับลมคมนัยด้วยกันมาก่อนหน้านี้ หลังจากกินข้าวเสร็จ วีรภัทราก็ช่วยยกจานไปล้าง ส่วนป้านุขและคุณหญิงพากันแยกไปคุยในห้องทำงานของป้า ภายในห้องตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูสะอาดตา เน้นสีไม้ธรรมดา ส่วนโต๊ะ เก้าอี้ที่ใช้ก็เป็นแบบฉบับโต๊ะทำงานในบริษัท ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมาย มีเพียงชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือที่เกี่ยวกับภาษา และตู้ปลาขนาดเล็ก มีปลาหางนกยูงสีสันสดใสอยู่ 2 - 3 ตัว มองดูก็เพลินตา จนกระทั่งป้าเชิญให้คุณหญิงนั่งลงก่อน
พอคุณหญิงนั่งลง และสูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ
"คือรัตน์มีเรื่องที่จะปรึกษาคุณพี่นุชเกี่ยวกับลูกชายน่ะค่ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์แสดงสีหน้ากังวลออกมานิด ๆ
"พี่ก็มีเรื่องปรึกษาคุณหญิงเหมือนกันค่ะ คืออยากจะหาผู้ชายดี ๆ สักคนให้หลานวีได้แต่งงาน เพราะตัวพี่เองก็อายุเยอะแล้ว เฮ้อ... ได้แต่หวังว่าเขาจะได้มีชีวิตที่ดี กับคนที่ดี คุณหญิงพอจะรู้จักบ้างไหมคะ" ป้านุชเปิดประเด็นทีละนิด เพื่อที่จะไม่กดดันคุณหญิงมากจนเกินไป
"เอ... เราแอบใจตรงกันหรือเปล่าคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์เริ่มแสดงความคิดเห็นในประโยคถัดมา
"ก็ไม่แน่นะคะ พี่อยากให้หลานวีได้เจอใครสักคนที่ดีน่ะค่ะ" ป้านุชหยั่งเชิงเล็กน้อย แต่แล้วคุณหญิงวิไลรัตน์ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
"รัตน์เองก็อยากให้ลูกชายรู้จักใครใหม่ ๆ สักคนเหมือนกันค่ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์พูดพลางแสดงสีหน้าเห็นด้วย
"ค่ะ งั้นถ้าเราเห็นตรงกัน ให้ทั้งคู่มาเจอกันบ้างดีไหมคะ" ป้านุชกระแซะต่อ
"คงจะยากน่ะค่ะ ลูกชายรัตน์ เขาไม่พร้อมเจอใครตอนนี้" คุณหญิงวิไลรัตน์ปฏิเสธ
"อ้าว ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้น" ป้านุชถามด้วยความเป็นห่วง
"คือคนรักของคินน์เพิ่งเสียชีวิตไปน่ะค่ะ ตอนนี้เลยไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น" คุณหญิงวิไลรัตน์แสดงสีหน้ากังวลและเป็นห่วงอัคราวิชญ์มากจนป้านุชเห็นช่องทางที่จะเสนอหลานสาวให้ได้
"พี่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ เห็นใจจริง ๆ ค่ะ แต่ว่า ถ้ามีใครสักคนคอยช่วยดูแล ไม่ใช่แค่งานในบ้าน แต่หมายถึงดูแลรักษาใจด้วย น่าจะดีนะคะ" ป้านุชเริ่มพูดเข้าประเด็นเพิ่มขึ้น
"นั่นสิคะ แต่จะไปหาผู้หญิงที่ไหน ที่พร้อมจะเข้าใจและดูแลคนอื่น ทั้งที่ไม่ใช่คนในครอบครัวตัวเองได้ล่ะคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์เห็นด้วย แต่ก็เข้าใจปัจจัยแวดล้อมที่ไม่อาจเลือกได้
"ก็หลานวีของพี่ไงคะ เธอเป็นคนเข้มแข็ง สู้ชีวิต อดทน พร้อมที่จะดูแลคนรอบข้าง ทำงานบ้านก็เก่ง ทำงานนอกบ้านก็เก่ง แถมยังเข้าใจคนรอบข้างมาก ๆ ค่ะ" ป้านุชพูดเจาะตรงประเด็น ชี้ให้คุณหญิงวิไลรัตน์เห็น
"อืม... ก็ดีนะคะ รัตน์เองก็อยากให้ใครสักคนมาอยู่กับลูกคินน์เหมือนกันค่ะ แต่หลานวีจะเห็นด้วยเหรอคะ แล้วถ้าเธอต้องไปดูแลจริง ๆ รัตน์คิดว่าคงไม่เหมาะสม ถ้าจะเข้าไปดูแลแค่ในฐานะน้อง เพื่อนหรือแม้กระทั่งหลานของคุณพี่น่ะค่ะ คนอื่นจะมองหลานวีไม่ดีได้นะคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์กำลังจะปฏิเสธอ้อม ๆ แล้ว พอป้านุชเห็นอย่างนั้น ก็รีบเสนอทางเลือกใหม่อย่างการแต่งงานให้ เพื่อแก้คำครหา
"คุณพี่จะให้เด็กทั้ง 2 คนแต่งงานกันเหรอคะ คือ... การคลุมถุงชนแบบนี้ เด็กสมัยนี้คงไม่ชอบใจนัก แล้วพวกเขาจะยอมกันเหรอคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์ท้วงติง
"เราก็หาวิธีกันสิคะ พวกเรามีความหวังดีให้ ยังไงก็ต้องเข้าใจสิ" ป้านุชพูดหว่านล้อม
"โอเคค่ะ จะลองดู แต่ถ้าลูกชายรัตน์ไม่เห็นด้วยยังไง อย่าว่ากันนะคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์พูดออกตัวก่อนจะได้ลองทำ
"แน่นอนค่ะ เรามาวางแผนกันดีกว่า แล้วถ้าคุณหญิงมีเรื่องอะไรสงสัยเกี่ยวกับตัวหลานวี ถามได้หมดเลยนะคะ" ป้านุชแสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น
"ได้ค่ะ ก่อนอื่น รัตน์อยากรู้ชีวิตวัยเด็กของหลานน่ะค่ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์เปิดคำถามแรกที่ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงในการเล่าให้ฟัง หลังจากทราบเรื่องทั้งหมด คุณหญิงได้แต่เห็นใจ และเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพี่อรนุชถึงเป็นห่วงมากขนาดนี้
"ตกลงค่ะ รัตน์จะหว่านล้อมลูกชายให้ได้ค่ะ" แววตามุ่งมั่นของคุณหญิงส่งผ่านมาถึงป้านุช ทำไมป้านุชยิ้มออกมาอย่างพอใจ