วันเสาร์ที่จัดงานแต่งงานของลูกศิษย์ป้านุช ทุกอย่างรอบตัวดูเป็นปกติเรียบร้อย แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่ค่อยเหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร ตรงที่หน้างานไม่มีรูปคู่บ่าวสาว ซึ่งปกติจะติดไว้ทั่วงาน วีรภัทราแค่รู้สึกแปลกใจแต่ไม่ติดใจอะไร จึงเดินตามป้านุชเข้าไปยังห้องพักที่เตรียมไว้ จนกระทั่งเริ่มเอะใจ เมื่ออยู่ดี ๆ ป้านุชก็ผลักไสให้เธอต้องทำตามทุกอย่าง จนเธอโพล่งถามป้าออกไป
"งานแต่งลูกศิษย์ป้า วีต้องแต่งหน้า ทำผมขนาดนี้เลยเหรอคะ" วีรภัทราถามอย่างสงสัย
"ใช่จ้ะ งานแต่งก็ต้องจัดเต็มกันหน่อยนะ และก็ถือว่าให้เกียรติเจ้าของงานด้วย" ป้านุชตอบอย่างใจดี จนวีรภัทรารู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะปกติแล้ว ป้าจะไม่พูดอย่างใจดีแบบนี้
และพอวีรภัทราเห็นชุดที่ต้องใส่ยื่นมาให้เธอตรงหน้า ก็ยิ่งบอกให้เธอต้องรีบวิ่งหนีออกไปให้ไกล การบีบให้เธอต้องมาทำอะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ เธอไม่เคยเชื่อว่า การแต่งงานโดยไม่มีความรัก จะไปกันรอด ต่อให้พ่อแม่ของป้านุชอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ก็ยังมีอีกหลายคู่ที่ไปกันไม่รอด ไม่มีอะไรรับประกันได้ แต่ถ้ามีความรักเป็นพื้นฐาน อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะอยู่กันรอด
สุดท้ายวีรภัทราก็ห้ามความปรารถนาของป้านุชไว้ไม่ได้ ทำให้เธอต้องจำใจเดินลงไปแต่งงานกับคนที่ไม่เคยแม้แต่รู้จักหน้าค่าตา แต่เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปตามแผนที่ป้าวางไว้ก็ดันล่มลง หลังจากที่แฟนเก่าของเธอมาระรานถึงหน้างาน อีกทั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นตามมา นั่นคือการหายตัวไปของอัคราวิชญ์ ว่าที่เจ้าบ่าวที่ป้านุชพยายามยัดเยียดให้เธอ
ขณะที่ทุกคนกำลังละล้าละลังยืนคิดวกไปวนมาว่าจะทำยังไงดี ทั้งเรื่องเจ้าบ่าวหายตัวไป และเรื่องงานแต่งงานที่มีแขกเหรื่อมากมายอยู่ตรงหน้า แต่อยู่ ๆ ก็มีสายจากเบอร์แปลกที่ขึ้นต้นด้วย 02 โทรมาหาคุณหญิงวิไลรัตน์อ้างว่า เป็นคนขับรถที่บ้านคุณหญิง และบอกอีกว่าอัคราวิชญ์โดนชายฉกรรจ์ 3 คนที่มาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งจับตัวไป ลักษณะเป็นผู้หญิงสูงปานกลาง ใส่ชุดสีดำมิดชิดและรองเท้าหนังหุ้มข้อ พอณัฐชานนท์ฟังที่คุณหญิงบอกจบ ก็ขออนุญาตคุยต่อกับคนขับรถเอง โดยบอกให้ไปแจ้งพยาบาลที่รู้จักแล้วซ่อนตัวที่ห้องพักคนไข้วีไอพี แล้วเดี๋ยวเขาจะส่งคนไปรับ ส่วนงานที่นี่คงต้องให้คุณหญิงเป็นคนประกาศเลื่อนออกไปก่อน
หลังจากที่เสียหน้ากับแขกระดับไฮโซมากมาย รวมถึงเหล่าพนักงานในบริษัทที่มาร่วมงานบางส่วนนั้น ตอนนี้คุณหญิง ป้านุช วีรภัทรา และณัฐชานนท์ พวกเขากลับมาตั้งสติ และแก้ปัญหาที่จะต้องตามตัวอัคราวิชญ์ให้เจอ โดยนนท์เป็นคนประสานงานกับทางตำรวจ ส่วนคุณหญิงประสานงานฝั่งทนายความ และนักสืบที่สนิทสนมกับครอบครัวของคุณดนุพัฒน์ที่เป็นสามีของเธอให้ช่วยออกตามหาอีกแรง
ภายใน 1 ชั่วโมง ณัฐชานนท์ติดต่อกลับมาหาคุณหญิงที่นั่งรอในคฤหาสน์ตัวเอง พร้อมป้านุชและวีรภัทรา เพื่อแจ้งให้ทราบว่า รู้แหล่งที่อัคราวิชญ์โดนจับตัวไปแล้ว เป็นตึกร้างเก่าฝั่งบางนา-ตราด พอทุกคนทราบเรื่องทั้งหมด ก็ประสานทุกฝ่ายให้หยุดตามหา และมุ่งไปที่การเข้าช่วยเหลือตัวประกันแทน
หลังจากนั้นณัฐชานนท์เป็นคนพาตำรวจไปยังตึกร้างด้วยตัวเอง ในขณะที่กองกำลังตำรวจกำลังล้อมเพื่อจับกุม ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกำลังพูดอยู่กับใครสักคน พอเขาเดินเข้าไปในมุมที่เห็นผ่านช่องตึกได้ ก็เห็นอัคราวิชญ์ถูกมัดด้วยเชือกและนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ตำรวจที่เห็นเหตุการณ์ร่วมด้วยนั้นเริ่มกระชับวงให้แคบลง
ระหว่างนั้นณัฐชานนท์ก็ได้ยินประโยคที่ทำให้เขาหยุดชะงักมองไปที่ผู้หญิงคนนัั้นอย่างเพ่งพิจารณา แต่ก็เห็นได้เพียงแค่ด้านหลังของเธอเท่านั้น จนกระทั่งเธอเดินอ้อมไปอีกด้าน เขาจึงถึงบางอ้อเลยทีเดียว นี่คือคนเดียวกับเลขาหน้าห้องคนใหม่ของอัคราวิชญ์นี่นา ที่ชื่อ ญาณิศา มองภายนอกก็สวยแซ่บหน้ามอง แต่ไม่คิดว่านิสัยเธอจะร้ายกาจเพียงนี้ ถึงขั้นทำเรื่องที่ชวนช็อกได้ขนาดนี้
"คุณคินน์คะ คุณรู้ใช่ไหมคะว่าฉันไม่พอใจมากที่คุณจะไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน" ญาณิศาพูดอ่อยพลางลูบไล้ไปบนตัวของอัคราวิชญ์ ขณะที่เขาทำสีหน้าเกร็งฝืนอยากจะหนีไปให้พ้น
"..." อัคราวิชญ์เลือกที่จะไม่ตอบโต้ใด ๆ กลับ
"คุณคินน์คะ ยัยผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีเหรอคะ ถึงได้อยากแต่งงานกับมัน" ญาณิศาทนไม่ไหวจึงพูดใส่หน้าอัคราวิชญ์ พร้อมทั้งระเบิดอารมณ์โมโหออกมาด้วย
"…" อัคราวิชญ์ก็ยังเงียบเช่นเคย
"คุณคินน์คะ ถ้าคุณแต่งงานกับฉัน คุณจะได้ทั้งเลขา ภรรยา แม่ของลูกคุณ และแม่บ้านแบบครบทุกด้านเลยนะคะ" ญาณิศากลับมาพูดเสียงออดอ้อนอีกครั้ง
"..." อัคราวิชญ์เลือกที่จะมองไปทางอื่นแทนการตอบ
"นี่คุณคินน์! คิดว่าการไม่ตอบฉัน มันจะทำให้ฉันปล่อยตัวคุณไปงั้นเหรอคะ โทษทีนะ คุณน่ะคิดผิดแล้วค่ะ" ญาณิศาพูดเสียงแข็งใส่อย่างคนอยากเอาชนะ แต่ก็ไม่มีผลอะไร
ระหว่างที่ญาณิศากำลังจับจ้องอยู่กับอัคราวิชญ์อยู่ ชายชกรรจ์ 3 คนที่อยู่ข้างนอกก็ถูกจัดการโดยตำรวจไปอย่างเงียบเชียบจนเธอไม่รู้ตัวว่า กำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว และตอนนี้ตำรวจก็เข้าไปรวบเธอจากด้านหลัง ส่วนตำรวจอีกนายไปช่วยตัวประกัน หลังจากจบการจับกุม ณัฐชานนท์ก็เป็นคนพากลับบ้านไปหาคุณหญิงวิไลรัตน์ที่กำลังรออยู่อย่างร้อนใจ
พอคุณหญิงได้ข่าวผ่านการโทรมาของณัฐชานนท์แล้ว เธอก็รีบร้อนเดินไปยืนรอที่ประตูหน้าบ้าน เมื่อเธอเห็นหน้าลูกชายที่มีบาดแผลจากการทำร้ายที่หน้างานแต่งไม่พอ ยังมีคราบฝุ่นดินที่เลอะเปรอะเปื้อนจากตึกที่โดนจับตัวไป และรอยแดงตามแขนที่ถูกรัดไว้อีก ยิ่งทำให้เธอรู้สึกปวดใจพาลทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาทันที
"โอ้ ลูกคินน์" คุณหญิงวิไลรัตน์ลูบไปที่ใบหน้าของอัคราวิชญ์ และจับเนื้อตัวของเขาไม่ปล่อยด้วยความรู้สึกสงสาร
"เรื่องนี้เลขาคนนั้นต้องรับผิดชอบ เดี๋ยวแม่จะส่งทีมทนายมือดีไปจัดการคนที่ทำให้ลูกต้องเจ็บตัวแบบนี้" คุณหญิงพูดอย่างเกรี้ยวกราด ไม่สนว่าใครจะได้ยินแล้วตอนนี้
"แม่ครับ ผมเหนื่อย ขอตัวไปอาบน้ำก่อนได้ไหม แล้วค่อยคุยกันนะครับ" อัคราวิชญ์พูดขึ้นเสียงเรียบ ๆ เมื่อเห็นว่าแม่ไม่ยอมปล่อย
"จ้ะลูก ไปอาบน้ำก่อนก็ได้" คุณหญิงปล่อยแขนของอัคราวิชญ์ แล้วนึกขึ้นได้ว่า ป้านุชและวีรภัทรานั่งรออยู่ จึงเรียกเขาไว้
"ลูกคินน์ แม่ลืมบอก ด้านนี้คุณพี่นุช และหลานวี คนที่จะแต่งงานกับคินน์น่ะลูก" คุณหญิงยืนพูดแนะนำพร้อมผายมือไปหาทั้ง 2 คนที่นั่งรอบนโซฟา
"สวัสดีครับ" อัคราวิชญ์ยกมือไหว้ไปที่ป้านุชอย่างนอบน้อม ส่วนวีรภัทรา เขากลับทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบจนเกือบจะเรียกว่าเย็นชาใส่ได้เลย ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทีสนใจใด ๆ แล้วก็เดินไปอาบน้ำที่ห้องนอนตัวเองที่ชั้นบน
เมื่อป้านุชเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย จึงเอ่ยขึ้นมาว่า "พี่ขอตัวกลับก่อนนะคะ โล่งใจไปทีนะคะ" ป้าพูดพลางบีบมือคุณหญิงเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจกับคนที่เพิ่งเสียขวัญมา และคุณหญิงเองก็พยักหน้าและยิ้มบาง ๆ ไปด้วยพร้อมกล่าวขอบคุณ
"อยู่ก่อนสิคะ ไหน ๆ ก็ได้เจอกันแล้ว รัตน์เองก็อยากให้เด็ก ๆ ทำความรู้จักกันเลย" คุณหญิงยังคงจับมือป้านุชไว้ พร้อมทั้งส่งสายตาเชิงรู้กัน
"...ก็ได้ค่ะ พี่รอก่อนก็ได้" ป้านุชเว้นจังหวะตอบเล็กน้อยก่อนที่จะตอบตกลง และจากที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้ที่นั่ง ก็ต้องกลับมานั่งเหมือนเดิม
ผ่านไป 30 นาที อัคราวิชญ์ลงมาจากชั้น 2 ด้วยชุดสบาย ๆ อย่างเสื้อยืดและกางเกงวอร์มโทนสีเทาทั้งตัว เขาตวัดสายตาไปมองวีรภัทราเล็กน้อย ก่อนจะกลับมามองแม่ตัวเอง ทำเอาวีเกร็งขึ้นมา ไม่ใช่แค่ในฐานะพนักงานตัวเล็ก ๆ ในบริษัทเขาเท่านั้น แต่ยังพ่วงตำแหน่งว่าที่ภรรยาเขาอีกด้วย
หลังจากที่ลงมาแล้วเห็นว่าทุกคนนั่งเงียบ อัคราวิชญ์จึงพูดขึ้น "แม่ กลับบ้านก่อนนะครับ"
"เดี๋ยวลูกคินน์ กินข้าวเย็นกับแม่ก่อน ไหน ๆ ก็มาถึงบ้านเราแล้ว และก็จะได้ทำความรู้จักกับหลานวีด้วยไงจ้ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์พูดยื้อไว้อย่างนิ่มนวล
พออัคราวิชญ์เห็นสายตาของแม่ เขาก็ตอบตกลงด้วยความใจอ่อน "ก็ได้ครับแม่"
วันนี้มื้ออาหารเย็นพิเศษกว่าวันไหน ๆ ทั้งคุณหญิงวิไลรัตน์และป้านุชต่างอมยิ้มนั่งมองลูกหลานทั้ง 2 คนกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนที่คุณหญิงจะเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่
"คืนนี้คุณพี่กับหลานวีก็พักที่นี่ด้วยกันเลยนะคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์เอ่ยชวนตามแผนที่แอบคุยกับป้านุช ตอนเข้าครัวมาเตรียมมื้อเย็นด้วยกัน
"พี่เกรงใจน่ะค่ะ แต่ว่า..." ป้านุชกำลังจะปฏิเสธ
"ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ ไหน ๆ ก็อยู่ที่นี่แล้ว ถือว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศกันสักคืนนะคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์รับส่งมุขกับป้านุชด้วยการพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
"ก็...ดีเหมือนกันค่ะ" ป้านุชทิ้งจังหวะการพูดเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลงไป
"แต่ว่าวี..." วีรภัทราพูดขึ้น หลังจากที่ได้ยินคำตอบของป้านุช
"ติดอะไรหรือเปล่าจ้ะ" คุณหญิงถามกลับและมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา
"คือว่า... พรุ่งนี้วีต้องไปเตรียมงานไว้ประชุมกับทีมน่ะค่ะ" หลังจากวีรภัทราพูดจบก็ก้มหน้างุดทันทีด้วยความเกรงใจ
"พรุ่งนี้วันหยุดนะจ้ะ" คุณหญิงตอบกลับเสร็จก็หันหน้าไปมองด้วยสายตาตำหนิอัคราวิชญ์ทันที
"ลูกคินน์ ที่บริษัทลูกทำงานหนักขนาดนี้เลยเหรอ วันหยุดพนักงานก็ต้องทำงานด้วย" คุณหญิงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจนิดหน่อย และแอบลำเอียงเข้าข้างวีรภัทรา
อัคราวิชญ์ส่งสายตาพิฆาตใส่วีรภัทรา ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทำให้เธอสะดุ้งกลัวขึ้นมา เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า มันอาจจะเป็นคำพูดที่สามารถคิดไปในแง่นั้นได้ด้วย และที่สำคัญผู้บริหารอย่างเขากำลังนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอยู่ตรงนี้ จากนั้นเขาก็หันกลับมาตอบคุณหญิงวิไลรัตน์
"แม่ครับ ที่บริษัทเราไม่ได้กดดันพนักงานขนาดนั้น บางทีพนักงานเขาคงแค่...ขยัน หรือไม่ก็อยากทำผลงานละมั้งครับ" อัคราวิชญ์ตอบ แต่ก็ยังแอบแซะใครบางคนไปด้วย
"อ่อ... แม่ก็นึกว่าเราไปบังคับพนักงานให้ทำแบบนั้น" คุณหญิงวิไลรัตน์พยักหน้าหลังจากเข้าใจเหตุผล แต่ก็ไม่ทันได้สังเกตว่าอัคราวิชญ์พูดแดกดันใครบางคนอยู่
"ครับแม่" อัคราวิชญ์ยิ้มให้แม่เขาเล็กน้อย