วีรภัทราถึงบ้านอย่างอ่อนล้า ไม่ใช่เพราะงานหนักหนาสาหัสที่เจอทุกวัน แต่เป็นเพราะความเครียดและความกดดันที่ถาโถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งจากเพื่อนร่วมงาน และสามีของเธอ ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้จัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางการ หลังจากจดทะเบียนสมรสไปแล้ว จึงทำให้ผู้ใหญ่ต่างรีบหาฤกษ์ใหม่ให้ทั้งคู่
ผ่านไปเกือบ 2 อาทิตย์งานแต่งงานอย่างเป็นทางการของอัคราวิชญ์และวีรภัทราก็เกิดขึ้น ท่ามกลางช่วงเวลาเร่งด่วน เพราะดันจัดงานในวันศุกร์ที่พวกเขาต้องทำงานกัน แถมรถติดหนักด้วย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่า เธอไม่สามารถกลับมาคิดให้ถี่ถ้วนอย่างดีได้ก่อนเลย แต่เท่าที่เธอพิจารณาเขาในแต่ละวันก็พอจะเห็นว่าเขาเก่ง มีความสามารถ ขยันทำงานมากแค่ไหน แม้นิสัยส่วนตัวออกจะแปลกไปสักหน่อย เพราะเธอไม่สามารถเดาอารมณ์ของเขาได้ถูกเลยสักครั้ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความหวังดีจากป้าทำให้เธอไม่อยากพังงานนี้ จึงทำได้แค่ปล่อยไปตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจให้ จากนั้นคุณหญิงวิไลรัตน์และป้านุชก็รีบจัดแจงให้เธอย้ายไปอยู่บ้านของเขาทันทีหลังจากจบงาน
ณ บ้านหรูสไตล์โมเดิร์นผสมผสานความคลาสสิก 4 ชั้น ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี รถส่วนตัวของอัคราวิชญ์ขับเข้ามาจอดในบริเวณบ้านอย่างเช่นเคย แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือการที่เขาได้พาภรรยาอย่างวีรภัทราเข้ามาอยู่อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ประโยคแรกหลังลงจากรถที่เธอได้ยินจากเขา ทำให้เธอต้องหยุดชะงักเดิน และสับสนกับท่าทีเขามากกว่าเดิม ในใจก็ได้แต่คิดว่า ทำไมต่อหน้าคนอื่นถึงไม่แสดงออกว่าไม่ชอบเธอ ทั้ง ๆ ที่เขาเองเป็นคนตอบตกลงเรื่องแต่งงานนี้อย่างง่ายดายกว่าเธอแท้ ๆ แต่กลับปฏิบัติตัวต่อเธอราวกับไม่ใช่คน ความใจร้ายของเขา ทำให้เธอลังเลว่าควรจะอยู่ต่อดีหรือไม่
เมื่อเดินเข้าไปในตัวบ้าน วีรภัทราสังเกตเห็นโซฟาสีเทาอ่อน และโต๊ะกระจกใสสี่เหลี่ยม ทุกอย่างจัดอย่างเรียบง่ายและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับปลูกต้นไม้เยอะแยะไปหมด เป็นความย้อนแย้งในการตกแต่งบ้าน มีทั้งความเป็นธรรมชาติและความทันสมัยอยู่ในตัว ทำให้บ้านไม่น่าอึดอัดจนเกินไป และยังได้รับความรู้สึกผ่อนคลายจากการเห็นสีเขียวธรรมชาติรอบตัวอีกด้วย ระหว่างที่เธอมองไปรอบ ๆ อัคราวิชญ์ก็ชี้ไปที่ประตูไม้ด้านหนึ่งที่ชั้น 2 พร้อมบอกให้เธอไปพักผ่อนห้องนั้น
"ห้องนอนคุณอยู่ทางนั้น" อัคราวิชญ์พูดเสียงเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ
"ค่ะ" วีรภัทราตอบรับอย่างสุภาพ และเดินขึ้นไปยังห้องที่อัคราวิชญ์บอก
เมื่อวีรภัทราเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน สิ่งแรกที่สะดุดตาคือเตียงขนาดใหญ่สีขาวไร้ลวดลาย และเก้าอี้บุนวมสีเดียวกันสามารถนั่งชมวิวนอกบ้านได้ พอเดินต่อเข้าไปใกล้บริเวณประตูกระจกในแถบเดียวกับเก้าอี้ก็จะเห็นระเบียงกว้างที่สามารถนำกระถางต้นไม้มาวางไว้ได้ เธอจึงมีความคิดอยากจะปลูกดอกไม้สักต้น หรือไม่ก็ผักสวนครัว เพราะเธอชอบกลิ่นหอม ๆ ของดอกไม้และชอบทำอาหารมาก ทำให้เธอตั้งมั่นในใจว่า พรุ่งนี้เช้าจะรีบตื่นขึ้นมาทำอาหารให้อีกฝ่ายกิน แม้อัคราวิชญ์จะไม่ได้ขอร้องให้เธอทำก็ตาม
เช้าวันรุ่งขึ้น เวลาตี 5 เสียงนาฬิกาปลุกตรงเวลาเป๊ะ วีรภัทราตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน และเดินลงไปทำอาหารที่ห้องครัว เธอตั้งใจจะทำเมนูอาหารฝรั่งที่อัคราวิชญ์ชอบ แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมกินไหม เพราะท่าทีเมื่อคืนที่เขาแสดงต่อหน้าเธอนั้นแย่มาก ถึงอย่างนั้นเธอก็หวังว่า การกระทำต่าง ๆ ที่ใส่ใจเหล่านี้ พอจะช่วยลดทอนความเย็นชาและใจร้ายของเขาลงได้บ้าง อีกทั้งคำสอนที่ป้านุชบอกมาว่า ให้รู้จักเป็นแม่ศรีเรือน เอาอกเอาใจสามีให้มาก ๆ จะทำให้อยู่อย่างเป็นสุข แม้เธอไม่อยากจะเชื่อคำสอนนี้เท่าไร แต่การทำอาหารที่เธอกำลังทำอยู่นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่รู้สึกว่ากำลังโดนบังคับจิตใจมากนัก
พอวีรภัทราเดินมาถึงห้องครัวก็พบกับโต๊ะเตรียมอาหารทรงสี่เหลี่ยมที่เคลือบลามิเนตสีดำ จากนั้ันเธอก็หันไปเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ แต่กลับเจอแค่วัตถุดิบที่มีน้อยนิด เมนูเดียวที่พอจะทำได้ตอนนี้ก็คือสปาเกตตี้ครีมซอสกุ้ง
ส่วนอัคราวิชญ์ตื่นขึ้นมาตอน 7 โมงครึ่ง ขณะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรประจำวันปกติ ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนมีคนใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดียวกับเขา หลังจากเขาเตรียมตัวเสร็จ จึงกดลิฟต์ลงมาชั้นล่าง แล้วเดินต่อไปยังห้องครัว เพื่อหาอะไรกิน แต่เขากลับเจอเข้ากับเมนูอาหารอย่างสปาเกตตี้ครีมซอสกุ้งที่วีรภัทราเป็นคนทำให้ เล่นทำเขาจุกในอก พูดไม่ออก อยากจะร้องไห้อีกครั้ง เพราะความคิดถึงที่ซ่อนอยู่ภายในใจเขายังไม่จางหายไปไหน แต่เพื่อความสุขของแม่ หัวใจดวงนี้จึงพยายามลืมและหันไปสนใจสิ่งที่ต้องทำตรงหน้ามากกว่า ความเจ็บปวดที่เคยคิดว่าหายแล้ว และเคยชินมากพอที่จะอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีนันทิชานั้น ตอนนี้เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่ามันไม่จริง เขาไม่เคยลืมคนรักได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว จึงยืนมองนิ่งอยู่สักพัก แล้วพูดใส่วีรภัทราว่า
"เอาไปทิ้ง" อัคราวิชญ์พูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดปนความเศร้าที่อยู่ภายในใจ เขาจำได้ดีว่าเมนูนี้คือเมนูโปรดของคนที่เขารักสุดหัวใจ
"ทำไมคะ วีคิดว่าคุณจะน่าจะทานได้ เพราะคุณแม่บอกวีว่าคุณชอบอาหารฝรั่ง แถมเมนูนี้ก็ไม่หนักท้องเกินไปที่จะกินตอนเช้าด้วยค่ะ" วีรภัทราแจกแจงให้อัคราวิชญ์เข้าใจ แม้ในใจเธอเองจะงุนงงว่าเขาโกรธอะไร เธอแค่ทำอาหารง่าย ๆ เองนะ หรือโกรธที่เธอมาใช้ห้องครัวเขาโดยพลการ
"หรือว่าคุณโกรธที่วีมาใช้ห้องครัวคุณคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น วีขอโทษค่ะ" วีรภัทรายกมือขึ้นขอโทษและเธอเองก็ไม่ชอบที่จะทะเลาะกับใครด้วย เลยเลือกวิธีเจรจาอย่างสันติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
"ไม่ใช่" อัคราวิชญ์ตอบกลับเสียงแข็ง และพยายามไม่ปรายตามองหน้าอีกฝ่าย ด้วยกลัวจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นความอ่อนแอภายในใจ
"ไม่ใช่เรื่องไหนคะ" วีรภัทราถามกลับอย่างสงสัยกับคำตอบ พร้อมขมวดคิ้วไปด้วย
"ห้องครัวอยากใช้ก็ใช้ไป แต่ต้องเก็บให้เรียบร้อยด้วย" อัคราวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด และรู้สึกไม่อยากอธิบายหรือยืนคุยตรงนี้แล้ว จึงเดินหนีไป และขับรถออกจากบ้าน เพื่อไปหาที่สูดอากาศ ผ่อนคลายอารมณ์ทันที
"อ้าว เดี๋ยวก่อนคุณ แล้วตรงนี้ล่ะ..." วีรภัทรางงหนักกว่าเดิม และยังตะโกนเรียกอัคราวิชญ์ให้กลับมา แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาเดินไวมากเกินกว่าที่จะหยุดยืนฟังเธอได้ครบประโยค
"งั้นวีกินเองก็ได้" วีรภัทราพูดอยู่คนเดียว เพื่อปลอบใจตัวเอง
หลังจากกินมื้อเช้าที่ทำเองคนเดียวเสร็จ วีรภัทราก็ลุกขึ้นเก็บจานอาหารให้เรียบร้อยตามคำสั่งของอัคราวิชญ์ก่อนหน้านี้ จากนั้นเธอก็เดินกลับขึ้นห้องนอนไป นั่งเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่เมื่อคืนนี้โดนป้านุชมัดมือชกด้วยการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเธอมายัดที่รถของคินน์โดยไม่บอกเธอล่วงหน้า พอเสร็จทุกอย่างเธอก็ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดสบาย ๆ อย่างเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ก็พลางคิดถึงเรื่องที่จะขออนุญาตอัคราวิชญ์อย่างการปลูกดอกไม้กับผักสวนครัว แต่ก็ลังเลว่าจะบอกยังไงดี ถ้าจะให้โทรหาก็ทำได้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่มีเบอร์เขานี่สิ หรือควรจะโทรไปขอเบอร์จากคุณแม่ดีนะ จะดูแปลกไปไหม เพราะคุณแม่คงคาดหวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันในวันหยุดนี้ แต่ความเป็นจริงก็ต่างคนต่างอยู่นั่นแหละ
วีรภัทราตัดสินใจลงมารออัคราวิชญ์ด้วยการนั่งดูทีวีในห้องรับแขก แต่ระหว่างดูทีวีอยู่นั้นก็ผลอยหลับไปกลางคัน โดยไม่รู้ว่าอัคราวิชญ์กลับมาถึงบ้านแล้ว เมื่อเขาเห็นเธอนอนหลับที่โซฟา ก็แอบเอาผ้าห่มมาห่มให้เธอ และก็หลบขึ้นห้องไป พอเธอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เห็นผ้าห่มอยู่บนตัว เธอแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย และก็ออกไปดูหน้าบ้านเพื่อความแน่ใจว่าเป็นเขา พอเห็นรถเขาจอดอยู่ เธอก็แอบยิ้มอย่างดีใจ รู้สึกได้ว่าเขาใส่ใจ และนี่อาจจะเป็นการขอโทษของเขาก็ได้ เพราะปกติเขาก็ไม่ค่อยจะคุยกับเธอเท่าไร และตอนนี้ก็เป็นเวลา 1 ทุ่มแล้ว จึงตัดสินใจไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นและมื้ออื่น ๆ
พอวีรภัทราเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เจอเข้ากับอัคราวิชญ์ที่นั่งกินข้าวเย็นอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะไม่ได้โอกาสแก้ตัวในการทำอาหารให้เขากินเย็นนี้ี ขณะเดียวกันเธอก็รู้ได้เลยว่าเขาสั่งอาหารออนไลน์ให้มาส่งในตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวเมื่อกี้นี้เอง เพราะดูได้จากอาหารที่ยังมีไอร้อนลอยอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้สั่งอาหารเผื่อเธอเลย เธอสนใจแค่เพียงถามเขาถึงสิ่งที่อยากให้ซื้อกลับบ้าน พอได้รับคำตอบ เธอก็ออกจากบ้านตรงไปยังห้างสรรพสินค้าเลยทันที ซึ่งระหว่างที่เขากินข้าวอยู่นั้น เขาก็รู้ตัวมาสักพักแล้วในช่วงที่ขับรถออกจากบ้านไปว่า จริง ๆ แล้วมันก็ผิดที่ตัวเขาเองที่ยังยอมรับความจริงไม่ได้ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนันทิชายังคงอยู่ในความทรงจำของเขา สิ่งที่วีทำจึงกระแทกลงที่กลางใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่สามารถโทษใครได้ นอกจากต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้และพยายามไม่ไปลงที่คนอื่น แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคอเลยทำให้เขารู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก พูดขอโทษไม่ออก เลยได้แต่พูดจาเรียบเฉยใส่เธอกลับไป
หลังจากออกไปซื้อของเข้าบ้านเสร็จ วีรภัทราก็เตรียมทำอาหารไทยสำหรับตัวเธอเอง ในตอนที่ออกไปซื้อของนั้นเธอได้ไปเจอเข้ากับผักสด เนื้อไก่ และแฮมที่น่ากินมากในแผนกขายอาหารสดที่ห้าง จึงได้เมนูที่อยากกินมาอย่างไก่ผัดผักรวมมิตร และไข่ข้นแฮม ขณะที่เธอกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่นั้น อัคราวิชญ์ก็เดินเข้ามาทางด้านหลัง และพูดแหย่ใส่เธออย่างแรง
"ทำไมกลิ่นแรงอย่างนี้" อัคราวิชญ์พูดหาเรื่องไปอย่างนั้น เพราะเขาก็กำลังสับสนว่าควรง้อดีไหม ทั้ง ๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ตัวเองผิดเต็ม ๆ
"เหม็นเหรอคะ เดี๋ยววีรีบทำรีบกินนะคะ" วีรภัทราตอบกลับอย่างจริงจัง พลางผัดผักมือเป็นระวิง โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าลังเลของอัคราวิชญ์ ที่นาน ๆ ทีเขาจะเป็น เพราะปกติแล้วเขามักจะทำทุกอย่างออกมาได้ดีเสมอ
"เปล่าหรอก ค่อย ๆ ทำไปเถอะ" อัคราวิชญ์พูดออกไปอย่างตัดใจแล้วที่จะขอโทษวีรภัทรา
"อ๋อ ค่ะ" วีรภัทราก็ตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ และไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพิ่มเติม เพราะตอนนี้ต้องตั้งใจทำอาหารให้เสร็จก่อน ส่วนอัคราวิชญ์ก็เดินออกจากห้องครัว กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนที่ห้องนอนของเขาเอง
วีรภัทราเดินออกจากครัวไปยังโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่ทำมาจากหินอ่อนสีขาวนำเข้าจากต่างประเทศ เธอวางจานอาหารทั้งหมดที่เธอทำ และนั่งลงด้านข้างฝั่งที่สามารถชมบรรยากาศนอกบ้านได้ ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินอยู่ก็มีคนโทรมาเมื่อเห็นเป็นเบอร์ที่ไม่ได้รับเชิญอย่างกัลย์กมลโชว์ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ เธอก็วางลงทันที ไม่สนใจที่จะรับสาย ส่วนอัคราวิชญ์ลงลิฟต์มาจากชั้น 3 ที่เป็นห้องนอนเขา เพื่อมานั่งดูทีวีด้านล่าง แต่กลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ จึงเดินตามหาต้นเสียงจนมาเจอว่าเป็นโทรศัพท์ของเธอ เขาหยุดยืนแอบมองเธออยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเธอจะรับสาย เขาจึงเดินเข้าไปแซะเธอ
"สายจากแฟนเก่าหรือไง ถึงไม่กล้ารับ" อัคราวิชญ์พูดพลางพยักพเยิดไปทางมือถือของวีรภัทรา
"ก็...ประมาณนั้นค่ะ" วีรภัทรากลับตอบตรงใส่อัคราวิชญ์ เล่นทำเอาอัคราวิชญ์ทำหน้าไม่ถูก จึงตอกกลับด้วยคำพูดเจ็บแสบในใจ
"ทำตัวให้ดี ๆ หน่อย อย่าทำคนอื่นเขาเดือดร้อน" อัคราวิชญ์ใช้คำพูดที่แฝงคำด่าไปในตัวแบบนิ่ม ๆ
"นี่คุณ วียังไม่เคยกล่าวหาหรือก้าวก่ายเรื่องของคุณเลยนะ ให้มันน้อย ๆ หน่อย ถ้าไม่รู้ปัญหาของคนอื่น ก็อย่ามายุ่ง และไม่ต้องมาทำตัวว่ารู้ดีทุกอย่าง" วีรภัทราทนไม่ไหวจึงพูดกลับใส่อัคราวิชญ์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างแรง
อัคราวิชญ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ และเดินออกไป ปล่อยให้วีรภัทรากระฟัดกระเฟียดกับตัวเอง และเมื่อพายุแห่งความโกรธสงบลง เธอก็กลับมานั่งกินข้าวตามปกติและปล่อยให้ใจสบาย ๆ มองต้นไม้ และสิ่งสวยงามตามธรรมชาติรอบตัว เพื่อเยียวยาใจตัวเอง ส่วนอัคราวิชญ์ที่ไม่รู้หงุดหงิดอะไรระหว่างสิ่งที่ตัวเองทำผิดและยังไม่ได้ขอโทษ กับการกระทำที่ไม่น่าไว้วางใจของเธอ จึงตัดสินใจขึ้นไปห้องฟังเพลงที่อยู่ชั้น 3 ฝั่งตรงข้ามห้องนอนเขาเอง และเขาก็ไม่ลืมที่จะหยิบไวน์ขึ้นมาดื่มจากตู้แช่ไวน์ขนาดเล็กที่อยู่ในห้องเดียวกันนี้ ระหว่างนั้นเขาก็นั่งทบทวนพร้อม ๆ กับนั่งดื่มด่ำกับเพลงและเครื่องดื่มที่ช่วยให้ผ่อนคลายนี้ จนเขาเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า จริง ๆ แล้ว เดิมเขาแค่ซื้อของที่นันทิชาชอบ มาตุนไว้ที่บ้านตามความเคยชิน เผื่อวันไหนนันทิชาแวะมาจะได้ทำให้กินได้ แต่หลังจากที่ไม่มีเบสตี้แล้ว เขาก็ไม่เคยคิดที่จะแวะกลับเข้าครัวอีกเลย และมักจะออกไปกินข้าวนอกบ้านหรือไม่ก็สั่งเมนูอาหารในมือถือแทนในวันที่เหนื่อยล้ามาก ๆ และอยากพักผ่อน ซึ่งสิ่งที่เขาตกผลึกได้กลับไม่ใช่ความรู้สึก ณ ตอนนี้ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้แค่นั้น
วันรุ่งขึ้นวีรภัทราตื่นแต่เช้า เพื่อทำอาหารให้อัคราวิชญ์ โดยเลือกจากวัตถุดิบที่เขาฝากซื้อเมื่อวานนี้ หลังจากที่โดนเขาตัดหน้าด้วยการสั่งอาหารออนไลน์มากิน เมื่อเขาเดินลงมาถึงครัวด้านล่างก็เห็นเธอวางเรียงรายจานอาหารที่เขาชอบกินบนโต๊ะเตรียมอาหาร พอเธอเห็นเขาก็รีบกวักมือเรียกให้มากินด้วยกัน แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ จะเดินหนี จนเธอเดินไปใกล้เขาแล้วใช้วิธีลากแขนเขาให้ไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว แถมเธอยังข่มขู่เขาเล็กน้อยว่า หากเขาหนี จะเท่ากับเขายอมรับว่ากลัวเธอ เขาจึงนั่งนิ่งรอเธอเอาอาหารมาวาง จากนั้นเขาก็ถูกบังคับให้ลองกิน ปรากฏว่า อร่อยทุกเมนู เขาแสดงสีหน้าไม่คาดคิดออกมา จนถูกเธอแซว
"อร่อยสินะคะ ถึงทำสีหน้าแบบนั้นออกมา" วีรภัทราพูดแหย่เขา และขำออกมาเล็ก ๆ ด้วย
"เปล่าสักหน่อย" อัคราวิชญ์ปฏิเสธเสียงแข็ง พลางก้มกินข้าวต่อ และปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่สิ่งที่วีรภัทราเห็นคือมันไม่ปกติ ใครมาเจอคงคิดว่าเขาเป็นไบโพลาร์แน่ ๆ คนอะไร อารมณ์เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ถ้าเป็นผู้หญิงคงบอกว่าประจำเดือนมาแน่นอน
หลังจากกินข้าวเสร็จ อัคราวิชญ์ก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินออกจากโต๊ะอาหาร เตรียมตัวไปทำงาน แต่แทนที่เขาจะขับรถออกไปเลย ก็ไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นแทน และแอบมองว่าวีรภัทราล้างจานเสร็จหรือยัง จะได้พาไปทำงานด้วย แต่แล้วจังหวะที่เขาเผลอคุยโทรศัพท์กับแม่ตัวเองอยู่ เพื่อรายงานความเป็นอยู่ที่บ้าน ก็ไม่ทันสังเกตเห็นว่าวีรภัทราขึ้นไปหยิบกระเป๋าและกำลังเดินออกจากบ้าน เพื่อไปขึ้นรถแท็กซี่ พอเขาหันมามองในห้องครัวอีกที ก็ไม่เห็นแล้ว จึงเดินไปดูที่หน้าบ้านเห็นว่า เธอกำลังเปิดประตูรถแท็กซี่อยู่ เขาจึงรีบวิ่งหน้าตั้ง แต่ชะลอฝีเท้าในตอนใกล้ถึงเธอ จับแขนเธอไว้ และดึงเธอออกมาจากรถ จากนั้นก็ผลักเธอขึ้นรถ และขับพาไปทำงานทันที โดยไม่ถามเธอสักคำ
วีรภัทรานั่งอึ้งในรถยนต์หรู เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้นั่งรถแบบนี้ แถมยังได้นั่งข้างอัคราวิชญ์อีก จากนั้นเธอหันหน้าไปมองหน้าเขาเพลิน ๆ และรู้สึกได้ถึงใบหน้าอันหล่อเหลา หุ่นที่สมบูรณ์แบบ ทำให้เธอละสายตาไปไม่ได้ จนเขาทักขึ้นมา ทำให้เธอสะดุ้งด้วยความตกใจ
"ตกหลุมรักแล้วล่ะสิ" อัคราวิชญ์ยิ้มเยาะขึ้นมา ขณะมองทางข้างหน้าอยู่
"ปะ...เปล่าสักหน่อย" วีรภัทราพยายามพูดแก้ตัว แต่ดันพูดติดอ่างขึ้นมา
"เหรอ" อัคราวิชญ์ยังไม่หยุดที่จะขยี้ต่อ
"จริงค่ะ" วีรภัทราพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
"พูดแค่นี้ ทำเป็นจริงจังไปได้" อัคราวิชญ์พูดไปขำไป แถมยังส่ายหัวให้กับความไม่รู้ทันของวีรภัทรา
วีรภัทราได้แต่กำหมัดแน่น ที่ไปเสียรู้ให้คนอย่างอัคราวิชญ์ เธอไม่ยอมแน่ ๆ สักวันจะต้องเอาคืนเขาให้ได้ ตอนนี้ทั้งแววตาและสีหน้าของเธอมุ่งมั่นมาก ชนิดที่ว่าถ้าใครมายุ่มย่ามตอนนี้อาจโดนลูกหลงได้ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาเขาที่แอบมองอาการเธอเป็นระยะ และก็ทำให้เขาอมยิ้มนิด ๆ อย่างอารมณ์ดี