Chereads / สุดแสงสีหม่น / Chapter 16 - ความขมขื่นในใจ

Chapter 16 - ความขมขื่นในใจ

หลายสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ค่ำคืนนี้วีรภัทราอยากผ่านไปเร็ว ๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็มานอนพักผ่อนบนเตียง แต่สายตากลับมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง ขณะคิดคำนึงถึงเหตุการณ์วุ่นวายมากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอไม่คิดว่าการตัดสินใจในวันนั้นกับกัลย์กมลจะทำให้ครอบครัวเธอและครอบครัวอัคราวิชญ์เดือดร้อนได้ถึงเพียงนี้ เธอยังจำสายตาที่เขามองมาที่เธออย่างไม่ชอบใจ แต่ออกแนวจะข่มขู่มากกว่าด้วยซ้ำไป เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับปัญหาใหม่นี้อย่างไรดี เป็นหนึ่งคืนที่เธอลืมตาตื่นจนถึงเช้า และก็ออกเดินทางไปทำงานตอนเช้าด้วยขอบตาหมีแพนด้า

วีรภัทราเดินเข้าไปในตึกทำงานเหมือนเคย แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกไม่เหมือนเดิมคือทุกทีจะมีเพื่อนพนักงานในแผนกอื่น ๆ ทักทายอย่างน่ารัก แต่วันนี้ทุกคนกลับเมินเฉย ไม่สนใจเธอ แม้ว่าเธอจะพยายามยิ้มให้ก็ตาม เธอจึงหน้าเจื่อนลง ความรู้สึกไม่มั่นใจเริ่มก่อตัวขึ้น ทำไมเหตุการณ์ถึงเหมือนตอนที่เธอยังเด็กนะ ที่มีแต่คนเกลียดเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเลยนะ ตลอดการขึ้นลิฟต์จนเดินตรงไปถึงโต๊ะทำงาน และนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนเธอหลุดเข้าไปในห้วงความคิดจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเรียกของเพื่อนสนิทเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

"ฮะ เมื่อกี้ว่าไงนะ" วีรภัทราสะดุ้งขึ้นมา แล้วเปลี่ยนสายตาจากที่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์มามองหน้าพริมาแทน

"แกไหวไหมเนี่ย" พริมาถามอย่างห่วงใย

"สับสนอะ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้ถูกใจทุกคน" วีรภัทรากระซิบเบา ๆ ด้วยเกรงว่าใครจะมาได้ยิน

"อืม ก็เข้าใจแหละ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบแบบนั้น ใคร ๆ ก็อยากได้ไปครอบครอง พอไม่ได้ก็พาลคนที่ได้" พริมาพูดอย่างเข้าใจสถานการณ์ที่วีรภัทราเผชิญดี

"อืม กำลังคิดว่า จะปล่อยให้เลยตามเลยดีไหม หรือเราควรยกเลิกงานแต่งดีอะแก" วีรภัทราพูดอย่างสับสน ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นการทำตามความปรารถนาของป้านุช อยากให้ครอบครัวมีความสุข แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นทำลายความรู้สึกคนมากมาย

"ไม่มีใครตอบได้ดีเท่าแกหรอก เรามีหน้าที่รับฟังและเคียงข้างแก ดังนั้นไม่ต้องกังวลกับคนรอบข้างมากจนเกินไป ฟังเสียงตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้" พริมาพูดอย่างเห็นใจและปลอบใจวีรภัทราไปในตัวด้วย

"อืม เข้าใจ มาทำงานกันเถอะ มีอีกเยอะที่ต้องจัดการ" วีรภัทราพูดตัดบทสนทนา เมื่อเห็นพนักงานคนอื่น ๆ เริ่มเดินทยอยเข้ามาในห้องทำงาน

สายตาของพนักงานจับจ้องมาที่วีรภัทราขณะที่พวกเขากำลังก้าวขาเข้ามา จังหวะการเดินและเสียงรองเท้าที่กระทบลงพื้นยิ่งเพิ่มความรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบจะคุมสีหน้าและท่าทางไว้ไม่อยู่ และเสียงดังที่ทุกคนได้ยินตอนเช้าก็มาถึง หากวันไหนมีประกาศตอนเช้าจากหัวหน้าทีม ให้ทุกคนรู้ตัวไว้เลยว่า อีกครึ่งชั่วโมงจะมีการประชุม แต่จะเป็นอะไรก็ต้องรอหัวหน้าชี้แจง

"สวัสดีค่ะทุกคน เช้านี้มีประชุม เป็นการประชุมใหญ่คือรวมทุกแผนกเพื่อดูความคืบหน้าของผลประกอบการและการทำงานที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง เพื่อวางแผนหรือปรับปรุงงานก่อนจะสิ้นสุดไตรมาสแรกกันนะคะ ทุกคนเตรียมรายงานให้พร้อมนะคะ" หัวหน้าพูดเสียงเหมือนผู้ประกาศข่าวเสร็จก็เขยิบตัวเดินเข้าห้องทำงานส่วนตัวทันที โดยไม่ทันได้สังเกตพนักงานหลาย ๆ คนกำลังจับจ้องมาที่วีรภัทรา ด้วยสายตาจับผิด เพราะถ้าเป็นการประชุมใหญ่ก็จะต้องเจอผู้บริหาร และทุกคนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่ต้องเห็น คือความสนิทสนมของ 2 คนนี้

เมื่อวีรภัทราเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนจับจ้องมาที่เธอเต็มไปหมด ทำให้เธอใจเต้นแรงเพิ่มขึ้น หายใจไม่ค่อยสะดวก จึงรีบลุกขึ้น เพื่อเดินออกไปสูดอากาศนอกห้อง แต่จังหวะที่ลุกขึ้นและก้าวขาเดินนั้น อยู่ ๆ ก็มีเพื่อนพนักงานในทีมพูดแขวะขึ้นมา

"ดีเนอะ มาทำงานก็ได้เจอสามีด้วย น่าอิจฉาจัง" พนักงานคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงแดกดันนิด ๆ แต่กลับทำสีหน้าเหมือนคนหยอกล้อเล่นเฉย ๆ เมื่อวีรภัทราเห็นท่าทางอย่างงั้นก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่อยากมีเรื่องด้วย จึงรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไปโดยไม่ตอบโต้อะไรเลย

วีรภัทรายืนมองออกไปนอกหน้าต่างตรงทางเดิน พร้อมสูดลมหายใจเข้าออก เพื่อตั้งสติสักพัก หลังจากนั้นพริมาก็เดินตามออกมาดูเธอ เสียงเรียกชื่อเธอ พอดีกับที่เธอกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่

"แกกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ" พริมาถามขึ้นอย่างสงสัย ขณะที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ วีรภัทราเรียบร้อยแล้ว

"เปล่าหรอก แค่..." วีรภัทราตอบปฏิเสธไป และก็หยุดพูดลง เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นเดินผ่านมา

พอไม่มีคนอยู่แถวที่วีรภัทรากับพริมายืนอยู่ เธอก็พูดต่อ "ก็แค่กังวลว่าจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นยังไง หากอยู่ดี ๆ เขาหาเรื่องเราขึ้นมาในตอนที่กำลังประชุมกันอยู่ จะทำยังไง" วีรภัทราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่จริงจังมากกว่าปกติที่พริมาเคยเห็น

พริมาจับไหล่วีรภัทราทั้ง 2 ข้าง พร้อมพูดอย่างหนักแน่น "ไม่ต้องกังวลเลยแก คนเยอะแยะ ถ้าเขาทำแบบนั้น แสดงว่าทำงานไม่เป็นมืออาชีพ แต่เท่าที่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึง เขาเป็นคนจริงจังกับการทำงานมากนะ แถมยังมีเหตุผลมากด้วย คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก" หลังจากที่พริมพูดจบก็พยักหน้าให้วีเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด พอวีเห็นก็พยักหน้าตามเกือบจะทันที

"ไป เข้าไปเตรียมเอกสารให้พร้อม ประชุมวันนี้ต้องราบรื่น" พริมาพูดให้กำลังใจ พร้อมกอดคอวีรภัทราพาเดินกลับเข้าห้องทีมบัญชี

"อีก 10 นาที เราจะขึ้นไปประชุมที่ชั้น 29 แล้วนะคะ" หัวหน้าทีมเปิดประตู และชะโงกหน้าตะโกนให้ทุกคนในทีมได้ยินพร้อมกัน

"ครับ/ค่ะ" พนักงานทุกคนตอบกลับเป็นเสียงเดียวกัน และรับทราบว่าเวลากำลังบีบเข้ามาให้ทุกคนต้องเร่งงานที่กำลังทำอยู่ รวมถึงเอกสารที่จะต้องเอาเข้าในที่ประชุมด้วย

เมื่อครบ 10 นาที พนักงานทุกคนมองนาฬิกาแขวนที่ผนังห้องและลุกขึ้นเกือบจะพร้อมกันทั้งหมด

"คุณวีรภัทราคะ ช่วยไปเตรียมที่ห้องประชุมล่วงหน้าให้หน่อยค่ะ" หัวหน้าทีมเดินออกมาสั่งงานวีรภัทราเหมือนปกติ

"ค่ะหัวหน้า" วีรภัทราตอบรับ และหยิบเอกสารพร้อมเดินออกจากห้องทำงาน เพื่อไปเตรียมห้องประชุมให้พร้อมตามคำสั่งของหัวหน้า

จังหวะที่วีรภัทราเดินเกือบจะถึงประตูทางออก เสียงนกเสียงกาที่เธอภาวนา ขอให้ไม่หาเรื่องเธอมากกว่านี้ ก็พูดขึ้นจนเธอชะงัก หยุดเดินทันที

"หัวหน้าคะ จะไปสั่งให้คุณวีรภัทราทำงานเหมือนอย่างเคยคงไม่ได้แล้วมั้งคะ ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะไหน พวกเราก็รู้ดี จริงไหมทุกคน" พนักงานที่เพิ่งแขวะวีรภัทราไปก่อนหน้านี้ ก็ยังคงทำหน้าที่เดิมได้เหมือนเดิม

"อืม... ก็จริงของคุณนะ" หัวหน้าพยักหน้าพลางกอดอก พร้อมตอบกลับอย่างเห็นด้วย

วีรภัทราหันหน้ากลับมาทางที่หัวหน้ายืนทันที แล้วพูดขึ้นเสียงดังและหนักแน่นทันทีว่า "ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ ยังไงวีก็ทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนเหมือนกับทุกคนนั่นแหละค่ะ"

"อืม...ได้แน่นะคะ" หัวหน้าพูดกลับอย่างลังเลเล็กน้อย เพราะกลัวตัวเองเดือดร้อน หากใช้งานวีรภัทราหนักเกินไป จนป่วยขึ้นมา เธอต้องซวยมากแน่ ๆ

"ได้แน่นอนค่ะ" เสียงใสแจ๋วของวีรภัทรา ทำให้หัวหน้าผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก และพยักหน้าอย่างเข้าใจ

"ไปก่อนนะคะ" วีรภัทราขอตัวไปทำงานต่อ หลังจากพูดจบ และหัวหน้าก็พยักหน้าเชิงบอกว่ารับรู้แล้ว เธอจึงหันกลับไปทางประตูทางออกอีกครั้ง และเดินไปขึ้นลิฟต์ กดไปยังชั้น 29

ที่ห้องประชุมใหญ่ กระจกรายล้อมรอบห้อง วีรภัทรามองเห็นตัวแทนของแต่ละแผนกนำเอกสารวางตามโต๊ะที่นั่งต่าง ๆ อย่างขะมักเขม้น เธอจึงรีบเดินเปิดประตูเข้าไปทำบ้าง ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาวางเอกสารอยู่นั้น ก็มีรุ่นพี่จากแผนกอื่นเข้ามาทักทายเธอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เจอกันก็ไม่เห็นจะทำขนาดนี้ มีแต่เธอที่ต้องเข้าไปคุยก่อน

"สวัสดีค่ะ" รุ่นพี่ฝ่ายจัดซื้อปั้นหน้าเข้ามายิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

"สวัสดีค่ะ" วีรภัทราทักทายกลับอย่างสุภาพ และก็หันไปสนใจวางเอกสารต่อ

"สวัสดีครับ" รุ่นพี่ฝ่ายการตลาดอีกคนก็เข้ามาทักทายวีรภัทราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนให้เธอรู้สึกขนลุก ไม่ใช่เพราะเขาอยากจีบหรืออยากเป็นเพื่อนหรอก แต่เขาเห็นว่าเธอจะให้อะไรเขาได้ เขาจึงเข้ามาตีสนิทด้วย ซึ่งคนนี้แสดงเจตนารมย์อย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน ถ้าไม่มีผลประโยชน์ให้ เขาไม่มีทางญาติดีด้วยหรอก เธอจึงแค่ทักทายกลับไปตามมารยาทเท่านั้น และก็ไม่คิดจะคุยต่ออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น

ในที่สุดเวลาประชุมก็มาถึง เหล่าพนักงานและทีมผู้บริหารต่างเดินเข้ามานั่งพร้อมหน้ากันเรียบร้อย เมื่อทุกคนเห็นอัคราวิชญ์เดินเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งกึ่งกลางฝั่งหนึ่งของห้องประชุมแล้ว จากนั้นก็เริ่มต้นการประชุม โดยการรายงานความคืบหน้าของยอดขายในเดือนที่ผ่านมาของฝ่ายขาย ตามด้วยฝ่ายการตลาดที่มีการพูดถึงกลยุทธ์ที่ทำกันไป รวมถึงสิ่งที่อยากปรับปรุงแก้ไข จนมาถึงฝ่ายบัญชีที่จะต้องมีการรายงานภาพรวมของบริษัท ทั้งกำไร ขาดทุน รวมถึงผลประกอบการโดยรวมทั้งหมด ซึ่งคนที่มีหน้าที่รายงานทั้งหมดคือหัวหน้าของวีรภัทรา แต่ครั้งนี้กลับพูดอย่างตะกุกตะกัก ไม่ใช่กังวลตัวเลขที่กำลังอ่านอยู่ แต่กลัวว่าเจ้านายจะแสดงท่าทียังไงต่อทีม เพราะยังไงตอนนี้วีรภัทราก็ยังทำงานอยู่ในทีมนี้ด้วย ทุกอย่างไล่เรียงกันไปจนจบทุกแผนกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

หลังจากอัคราวิชญ์ฟังจนครบทั้งหมดแล้ว เขาก็เริ่มพูดมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแผนงานต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงฝ่ายบัญชี เขาหยุดพูดลงและพิจารณามองหน้าทีละคนในทีมนั้นยกเว้นวีรภัทรา จากนั้นเขาก็พูดต่อตามปกติ โดยไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ในใจเธอตอนนี้ได้แต่คิดวนเวียนว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำไมเขาถึงแสดงออกแบบนั้น การทำตัวห่างเหินให้คนในบริษัทเห็น จะทำให้คนสงสัยถึงข้อตกลงเรื่องคลุมถุงชนมากขึ้น คนก็คงจะเอาไปเล่าต่อ ๆ กันอีก จากที่หวังว่าทุกอย่างคงจะเงียบไปในสักเวลาหนึ่ง แต่ดูท่าแล้วคงยาก เขาแอบทำตัวหาเรื่องเธออยู่บ่อย ๆ ทั้งสีหน้า แววตา และการปฏิบัติตัวกับเธอ อย่างกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันยังไงยังงั้น

พอประชุมเลิกแล้ว แทนที่วีรภัทราจะกลับลงไปพร้อมเพื่อนในทีม เธอดันเลือกที่จะตามเขาขึ้นไปยังห้องผู้บริหาร เพื่อขอคุยด้วย เมื่อเธอออกจากลิฟต์ และเดินมาถึงยังประตูหน้าห้องทำงานส่วนตัวของอัคราวิชญ์ เธอชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนที่จะเคาะประตูและเปิดเข้าไป เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเธอ ก็เปลี่ยนจากสีหน้าเรียบเฉยกลายเป็นบึ้งตึงทันที

"มีอะไร" อัคราวิชญ์ถามออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ และก้มหน้าอ่านเอกสารที่ต้องเซ็นชื่อต่อ

วีรภัทราหน้าถอดสีลงทันที ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "คุณอัคราวิชญ์คะ ดิฉันจะมาขอเคลียร์เรื่องการกระทำของคุณ ที่จะส่งผลต่อความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน และจะทำให้ดิฉันทำงานได้ไม่สะดวกค่ะ" เธอโพล่งความในใจออกไปอย่างหมดเปลือก

"การกระทำอะไร" อัคราวิชญ์ขมวดคิ้ว และเงยหน้ามองวีรภัทรา หลังจากได้ยินคำพูดที่ไม่ค่อยถูกหูสักเท่าไร

"ก็ที่คุณแสดงท่าทีไม่ชอบดิฉัน จนออกจะดูเหมือนรังเกียจเสียด้วยซ้ำไงคะ" วีรภัทราตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา

"ตรงไหนที่บอกยังงั้น ก็แค่มอง" อัคราวิชญ์โต้กลับทันที

"หากคุณไม่รู้ตัว ก็ลองส่องกระจกดูสีหน้าตัวคุณเองตอนนี้เลยก็ได้นะคะ" วีรภัทราพยายามพูดออกไปอย่างอดกลั้น ขณะที่อัคราวิชญ์ยักคิ้วใส่เธออย่างไม่แยแส

"เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยากทำแบบนั้นต่อ ดิฉันขอแค่ว่า ไม่ใช่ที่ทำงานและไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนพนักงานจะได้ไหมคะ ดิฉันยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ยังต้องการเพื่อนร่วมงานนะคะ" วีรภัทราพูดออกไปอย่างชัดเจนมากขึ้น

"เหรอ" อัคราวิชญ์พยักหน้าเล็กน้อยและตอบกลับอย่างยียวนกวนประสาท

"ค่ะ ดิฉันมาเคลียร์แค่เรื่องนี้เท่านั้นค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" วีรภัทราพูดเสียงกระแทกกระทั้นกลับไป และเดินกลับออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิดใจ ที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าแก้ไขแล้วเลย

หลังจากวีรภัทราออกไป อัคราวิชญ์ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่กลั่นแกล้งเธอได้ ในใจก็คิดว่า ถึงเธอจะดูน่ารำคาญไปสักหน่อย แต่ก็ตั้งใจทำงานดี และก็คงจะทำให้อย่างที่เธอขอสักนิดแล้วกัน อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้ขอให้เลิกทำไปเลย

วีรภัทราถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ หลังจากที่ไปฟาดฟันทางคำพูดกับอัคราวิชญ์มาเมื่อกี้ ก่อนที่เธอจะกลับมาจดจ่อที่การทำงานอีกครั้ง ซึ่งเธอมีสมาธิกับการทำงานมากจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปจนถึงเวลาเลิกงานแล้ว จนกระทั่งพริมาเดินมาหาที่โต๊ะทำงานเธอ

"วี กลับบ้านกัน" พริมาเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

"โอเค กำลังเก็บของ รอแป๊ปนะ" วีรภัทราตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกันกับพริมา

ระหว่างที่ง่วนอยู่กับการเก็บของ จัดโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนกลับ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงนกเสียงกาพูดขึ้นมา

"แหม ขยันจังนะคะ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำงานหนักขนาดนี้เลย ยังไงก็มีเงินให้ใช้อยู่แล้วไม่เหรอ" เสียงพูดกระแนะกระแหนลอยผ่านเข้าหูของวีรภัทราและพริมา ที่ตอนนี้เหลือแค่ 2 คนในห้อง

"ใช่ ๆ ยิ่งช่วงนี้ของราคาแพงขึ้นเยอะมาก แต่ว่า...คนบางคนคงไม่ลำบากหรอก" อีกคนพูดเสริมด้วยท่าทีแบบเดียวกับเพื่อนร่วมงานคนก่อนที่พูดเมื่อกี้

"แกว่าเหมือนได้ยินเสียงแว่ว ๆ อะไรไหม" พริมาพูดกระทบกระเทียบให้วีรภัทราฟัง

"อืม ปล่อยเขาไปเถอะ" วีรภัทราบอกพริมาอย่างปลง ๆ

"ได้ไงแก ขืนปล่อยไปแบบนี้ มีหวังแว้งกัดเราไม่รู้ตัวอีก" พริมาพูดเตือนวีรภัทรา แต่ไม่วายกระทบไปถึงหูของคนที่พูดจาไม่ดีเมื่อกี้ ทำเอาร้อนตัวจนสะบัดเดินหนีกลับบ้านทันที

พริมาและวีรภัทราหันมามองหน้ากัน และก็ขำออกมาอย่างแรง กับท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเพื่อนร่วมงานเมื่อกี้ พริบตาเดียวทำให้วีรู้สึกหายเครียดขึ้นมา หลังจากที่กดดันมาตลอดทั้งวัน จากนั้นทั้งคู่ก็พากันกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์