Chereads / สุดแสงสีหม่น / Chapter 7 - ความทรงจำที่คอยย้ำเตือน

Chapter 7 - ความทรงจำที่คอยย้ำเตือน

ณ บ้านหลังใหญ่ 2 ชั้น สไตล์ร่วมสมัยผสมผสานกับความโมเดิร์น มีกระจกบานใหญ่ตัดกับเส้นอะลูมิเนียมและไม้สีน้ำตาลกับสีดำเรียงตัวสวยงาม พร้อมที่จอดรถ และสนามหญ้าหน้าบ้านขนาดกลาง

7 โมงเช้า วีรภัทราและป้านุชพากันนั่งแท็กซี่ออกไปทำบุญวันเกิดที่วัดปริวาสราชสงคราม ใช้เวลาเพียงไม่เกิน 30 นาทีก็ถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งคู่แมตช์ชุดสีขาวมาด้วยกัน พร้อมไอเทมที่ขาดไม่ได้อย่างหน้ากากอนามัย โดยเธอใส่เสื้อยืดสีขาวคู่กระโปรงพลีทยาวสีชมพูอ่อน และรองเท้าส้นสูงรัดข้อสีครีม ส่วนป้าสวมใส่เสื้อสีขาวแขนยาวกับผ้าถุงลายไทย และรองเท้าคัทชูส้นเตารีดสีพื้น พวกเขาเดินจูงมือเข้าไปในวัดอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมของทำบุญเต็มไม้เต็มมือ

วันนี้วีรภัทราอธิษฐานขอพรให้กับตัวเองในวัย 24 ปีได้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ และคนดี ๆ เพราะที่ผ่านมาเธอเจอแต่เรื่องเลวร้ายมาทั้งชีวิต หลังจากเกิดมาเท่าที่จำความได้ เธอมักจะถูกคุณปู่ณรงค์แสดงท่าทีไม่ชอบใจตลอดทุกครั้งที่เจอกัน ตอนแรกก็ไม่ทราบสาเหตุหรอก มารู้อีกทีก็ตอนที่ผู้ใหญ่แอบคุยกัน เลยรู้ว่าเป็นเพราะคุณปู่คาดหวังจะมีหลานชาย แต่กลับได้หลานสาวมาแทน มีก็แต่คุณย่ากัลยาณีที่พอจะแบ่งปันความรักและความเอ็นดูมาให้เธอ ถึงแม้จะมีเรื่องน่าเศร้าเล็กน้อย เธอก็ยังมองโลกในแง่ดีและมีความสุขได้จากความรักที่พ่อวัฒนชัยและแม่ยมลพรมอบให้ จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่างที่พ่อแม่เธอเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด อยู่ ๆ เครื่องบินก็เกิดขัดข้องขึ้นจนเครื่องบินตก ทำให้เธอสูญเสียพ่อแม่ในวัย 5 ขวบ แรกเริ่มเธอก็เอาแต่ร่ำร้องหาพ่อแม่ ก็มีแต่คุณป้านี่แหละที่คอยปลอบใจและโอบกอดไว้ ซึ่งพอจะให้เธอรู้สึกคลายเหงา และไม่โดดเดี่ยวได้ ส่วนคุณย่าที่เคยเอ็นดูเธอ ตอนนี้ท่านก็ไม่เหมือนเดิม ทั้งช็อก ทั้งเสียใจหนักมากหลังจากที่รับรู้ข่าวของลูกชายและลูกสะใภ้จนต้องเข้ารับการรักษา ซึ่งครอบครัวของป้านุชคอยดูแลและมีคุณปู่คอยเคียงข้างคุณย่าอยู่ด้วย

จนเธออยู่ชั้นป.1 ความเลวร้ายในชีวิตที่เคยมีมาคงไม่หวนกลับมาแล้วมั้ง เธอได้แต่คิดแบบนั้น เพราะสิ่งที่เธอต้องแลกไปในตอนเด็กคือพ่อแม่ของเธอเอง แต่แล้วความโชคร้ายที่คนอื่นก่อก็พาลมาลงที่เธอ จะบอกว่าเป็นเพราะเธอกลายเป็นเด็กเงียบ ไม่แสดงออกหลังจากเสียพ่อแม่ไปก็คงจะให้เหตุผลนี้ไม่ได้ แต่ถ้าจะต้องเติมเหตุผลลงไปคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความยากจนที่ปะทะเธอเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวกับความอยากจะกลั่นแกล้งของพวกนั้น หลังจากผ่าน 1 สัปดาห์มาอย่างเรียบง่าย อยู่ดี ๆ ข่าวเธอก็แพร่สะพัดไปว่าเธอต้องทำงานหาเงินเอง เพราะที่บ้านไม่มีปัญญาจ่ายค่าขนมให้เธอ แค่ค่าเรียนก็ถือว่าหนักแล้ว แต่แล้วก็มีคนวัยเดียวกันเดินเข้ามาทักทายขณะที่เธอเดินผ่านประตูโรงเรียน

"หวัดดี เราชื่อกัลย์กมล หรือมน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เธอชื่ออะไรเหรอ" เธอเดินเข้ามาทักทายอย่างร่าเริง

วีรภัทราแปลกใจที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาทำความรู้จัก แสดงท่าทีว่าอยากเป็นเพื่อนเธอ ทั้ง ๆ ที่ข่าวคราวมากมายถูกกระจายไปทั่ว น่าแปลกใจจริง ๆ ในใจก็ได้แต่คิดและมองไปที่ผู้หญิงคนนี้อย่างสงสัยในการกระทำ

"หวัดดี เราชื่อ วีรภัทรา หรือวี ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ" เธอทักกลับไปอย่างเคอะเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หายสงสัยในจุดประสงค์ที่เข้ามา จึงได้แต่ยืนนิ่งงงในภวังค์นั้นสักพัก เสียงกริ่งโรงเรียนดังขึ้นให้ไปเข้าแถว ทั้งคู่จึงเดินไปด้วยกัน และเรื่องที่ชวนให้เซอร์ไพรส์ก็คือพวกเขาเรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเธอไม่ใช่คนเงียบแบบนี้และยังเข้ากันได้ดีกับเพื่อนทุกคน ส่วนมนคือนิสัยตรงข้ามกับเธอ เมื่อเทียบกันตอนนี้กลายเป็นเธอที่สลับบทบาทกับเพื่อนสาวแทน

"แปลกใจนะเนี่ย เราน่าจะได้เป็นเพื่อนด้วยกันมานานแล้วหรือเปล่า" กัลย์กมลทักขึ้นมาระหว่างยืนเคารพธงชาติ

"นั่นสิ ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่รู้จักกันนะ" วีรภัทราพูดออกไปอย่างเห็นด้วย

หลังจากเคารพธงชาติเสร็จ นักเรียนทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องเรียนของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะเดินถึงห้องเรียน อยู่ ๆ ก็มีนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาทัก

"ได้ข่าวว่าบ้านเธอจน จริงเหรอ" ผู้หญิงสวยคมเฉี่ยวคนหนึ่งถามขึ้น โดยเน้นคำว่า 'จน' พร้อมสายตาเหยียดใส่ ไม่ต่างจากเพื่อนที่เดินมาพร้อมกัน

พอวีรภัทราได้ยินคำนั้น ก็ถึงกับชะงัก ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี กัลย์กมลที่ยืนอยู่ข้างเธอ เลยออกตัวแทน ด้วยการพูดจาเสียดแทงกลับไป

"จนหรือไม่จน มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย หรือว่ามันจะไปทำให้ชีวิตเธอล่มจมงั้นเหรอ" กัลย์กมลจ้องตากลับอย่างไม่วางตา ขณะที่อีกฝ่ายปรี๊ดแตก ด่ากราดกลับมา

"แล้วแกเป็นใคร เสือกไม่เข้าเรื่อง เรื่องของแกก็ไม่ใช่ หรือว่าจะไปทำให้ชีวิตแกล่มจมไปด้วยงั้นสินะ ฮ่า ๆ" พูดเสร็จก็ขำออกมา แถมยังส่ายหัวให้กัลย์กมลอย่างสมเพช

"ไปกันเถอะ มน" วีรภัทราเห็นท่าจะไม่ดี กลัวมีเรื่องไปมากกว่านี้ เลยดึงแขนของกัลย์กมล พยายามพาเพื่อนออกจากบทสนทนาที่ไม่น่าอภิรมย์

"ก็ได้ เห็นแก่วีนะ ไม่งั้นเราจะตบให้แหลกเลย" กัลย์กมลไม่วาย ยังพูดแซะทิ้งท้ายก่อนเดินออกไป

"มาเลยสิ กลัวที่ไหน" ผู้หญิงปากร้ายนั่นยังไม่ยอมแพ้ แต่ก็ทำได้แค่พูดไป เพราะวีรภัทราและกัลย์กมลเดินออกจากตรงนั้นและเข้าห้องเรียนไปแล้ว

กริ่งบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น เสียงนักเรียนทุกคนในห้องเรียนดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาทันทีเหมือนนัดกันไว้ กัลย์กมลเดินมาชวนวีรภัทราถึงที่โต๊ะเรียนหน้าห้อง

"ไปกินข้าวกันวี" กัลย์กมลโน้มหน้าไปใกล้ ๆ เพื่อคุยกับวีรภัทรา จนทำให้เธอต้องถอยตัวหนีเล็กน้อย และลุกขึ้น เบี่ยงตัวหลบอย่างเนียน ๆ แล้วเดินออกจากห้องเรียนไปโรงอาหารพร้อมกัน

ณ โรงอาหารกลางวัน ที่แสนจะวุ่นวายเสียงตะโกนไปมาของนักเรียน เสียงพูดคุยของคนแถวนั้น ทั้งแม่ค้า และคนที่มากินข้าวในช่วงเวลานี้ ทำเอาวีรภัทราอึดอัดจนหายใจไม่ออกเลย เพราะกังวลจากข่าวลือเมื่อตอนเช้า ในใจได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีคนใส่ใจกับเรื่องพรรค์นี้

แต่ระหว่างที่วีรภัทรามองซ้ายมองขวาเลือกเมนูว่าจะไปแวะซื้อร้านไหนดี ก็มีแก๊งนักเรียนชายที่เดินเข้ามาทำทีชวนคุยดีและขอเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งเธอก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคน แต่แล้วก็มีเสียงแหลมเสียดหูของนักเรียนหญิงคนเดิมเมื่อเช้านี้ เดินเข้ามาหาเธอพร้อมพรรคพวกผู้หญิง

"แหม... เห็นเป็นผู้ชายหน่อย ก็คุยดีเลยนะ เข้าใจแหละ จนก็ต้องมีเพื่อน อยากมีเพื่อนเหมือนคนอื่นเขา" ผู้หญิงที่เป็นหัวโจกในกลุ่มมองด้วยสายตาเหยียดพร้อมใช้น้ำเสียงที่สมเพชในการกระทำของเธอ

หลังจากวีรภัทราได้ยินจบประโยค ก็หันหน้าเดินหนี ไม่อยากมีเรื่องด้วย แต่มันไม่จบแค่นั้น ผู้หญิงร้ายคนนี้กลับตะโกนบอกทุกคนในโรงอาหารให้มองหน้าเธอ และจำไว้ว่า ใครที่กล้ามาทำตัวตีสนิทกับเธอ แม้แต่คนเดียวเท่ากับเป็นศัตรู ทำให้หลังจากวันนั้น ไม่มีใครเลยที่อยากคุยกับเธอ บางคนเดินตีตัวออกห่าง บางคนแสดงท่าทีรังเกียจ บางคนกลั่นแกล้งด้วยคำพูด บางคนกลั่นแกล้งด้วยการกระทำ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น เสื้อผ้าในแต่ละวันที่ใส่ไปโรงเรียนก็ต้องเลอะเปรอะเปื้อนจากการกระทำที่เธอไม่เคยเล่นด้วย แต่เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญในทุกวันที่ไปโรงเรียน น้ำตาหลั่งริน ตาเธอบวมเป่งจากการร้องไห้ ทำได้ก็แค่กอดเข่า โอบกอดตัวเองไว้ ปลอบใจตัวเอง เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน เธอก็รู้สึกมืดมนหนทาง วันนี้ที่ห้องเล็ก ๆ ในบ้านที่เคยอบอุ่นมีคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้เหลือแค่คุณปู่กับคุณย่า นาน ๆ ทีถึงจะได้เจอกับป้านุช คนที่ยังพอจะให้แสงสว่างกับเธอได้บ้าง แม้จะดุและเจ้าระเบียบไปนิด แต่ก็ยังดีกว่าอยู่กับคนที่ไม่ได้รู้สึกรักเธอเลย ไม่เคยคิดจะเหลียวแลหรือช่วยเหลือเลยสักครั้ง มองออกไปนอกหน้าต่างที่ยามนี้ฟ้ามืดค่ำแล้ว แต่ก็คงไม่หม่นหมองเท่ากับความรู้สึกเธอตอนนี้หรอก ความคิดไม่ดีวนเวียนเต็มหัวเธอไปหมด เธอไม่รู้จะจัดการปัญหาอย่างไรดี แต่ก็ยังพอมีแสงเล็ก ๆ อย่างกัลย์กมลที่ไม่กลัวอิทธิพลของผู้หญิงคนนั้น คอยช่วยเหลือเธอทุกวัน แม้จะไม่ได้ตลอดเวลาก็เถอะ เธอทอดถอนลมหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา เข้านอน เพราะยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำในวันอื่นอีก

เช้าวันรุ่งขึ้นและในวันต่อ ๆ ไป วีรภัทราใช้ชีวิตอย่างไร้ความสดชื่น และทุกเสาร์อาทิตย์ เธอต้องไปล้างจานในครัวร้านอาหารไทยข้างทาง ขายพวงมาลัย และกลับบ้านมาก็ต้องทำงานบ้านทุกวัน เพราะเธอต้องแบ่งเบาภาระคุณปู่ที่ต้องคอยดูแลคุณย่า เธอก้มมองเงินในมือที่ได้มาจากการทำงาน 200 บาทต่อ 1 สัปดาห์ ช่างโหดร้ายกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังเติบโตมาก จนกระทั่งวันเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเธออายุ 9 ขวบ ช่วงเวลาเฮือกสุดท้ายที่เธอคิดว่า ความอดทนต่อการถูกกลั่นแกล้งมาถึงขั้นสุดแล้ว ตลอดระยะเวลา 2 ปีเธอได้แต่ก้มหน้าก้มตา หรือไม่ก็วิ่งหนีจากภัยเหล่านั้น แต่ก็ไม่ช่วยให้ใครคิดได้หรือสำนึกเลย

คุณยายเจ้าของร้านอาหารเห็นสภาพมอมแมมวีรภัทราบ้างล่ะ เห็นเธอเจ็บตัวมาบ้างล่ะ ตอนแรกก็ไม่สงสัย คิดว่าไปซนเล่นตามประสาเด็ก ๆ แต่พอนานวันเข้า คุณยายก็เริ่มสงสัย จึงถามถึง แต่เธอก็เบี่ยงไปเบี่ยงมา อ้างว่าหกล้มเองบ้าง ไม่ระวังบ้าง จนสุดท้ายเธอก็ยอมเปิดใจเล่าให้ฟัง พอรู้เรื่องทั้งหมด เธอจึงได้รับการปลอบใจเสมอมา รวมถึงอาหารที่ไม่ต้องซื้อเอง แถมยังเอากลับมากินที่บ้านได้ด้วย

แรกเริ่มวีรภัทราไม่กล้าปรึกษาใคร กลัวเป็นภาระ ได้แต่แสร้งทำเป็นสบายดี อดทนไหว เข้มแข็งมากพอ อย่างมากก็แค่เล่าฟังให้นิดหน่อย หากมีคนถามถึง แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาผู้ใหญ่ที่คอยมองอย่างเอาใจใส่ไปได้ เพียงแค่เขาให้เวลาเธอได้เติบโต และพร้อมที่จะปรึกษาด้วยใจจริงมากกว่า

เย็นวันศุกร์ หลังเลิกเรียน วีรภัทราแวะเข้ามาหาคุณยายเจ้าของร้านอาหารที่เธอทำงานเหมือนทุกที แต่วันนี้ต่างออกไป เธอยืนลังเลอยู่หน้าร้านสักพัก จนพนักงานในร้านเห็น จึงเดินเข้ามาหาอย่างเร็ว ชักชวนเธอให้เข้ามาในร้าน พร้อมดึงมือเธอเข้าไป จนมาหยุดยืนที่หน้าคุณยาย

"มา ๆ กินข้าวกันหนูวี" คุณยายชวนพร้อมยิ้มแย้มให้เธอ

"ค่ะ" วีรภัทราค่อย ๆ หย่อนตัวเองนั่งลงเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลอ่อนตัวเดิม

"วันนี้ยายทำแกงต้มข่าไก่ กับไข่เจียว หนูวีทานได้นะจ้ะ" คุณยายถามอย่างอ่อนโยน

"ค่ะ น่าทานมากเลยค่ะ" วีรภัทรายิ้มบาง ๆ แต่ในหัวใจเธอรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้มาที่นี่

พอทุกคนกินเสร็จ เก็บล้างเรียบร้อย วีรภัทราจึงเปิดประเด็นกับคุณยาย

"คุณยายคะ คือวี มีเรื่องอยากปรึกษาค่ะ" วีรภัทราค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ ออกไป

"วีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนพวกนั้นถึงชอบกลั่นแกล้งจังเลยค่ะ วีแค่คิดว่า การอยู่เงียบ ๆ ไม่ปะทะอาจจะดีกับทุกฝ่าย แต่ก็ไม่เลยค่ะ" น้ำเสียงและสีหน้าที่เศร้าสร้อย ทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งมองอยู่พลอยรู้สึกเศร้าไปด้วย

คุณยายแตะมือวีรภัทราเบา ก่อนจะพูดอย่างเห็นใจ

"มันใช้ความเข้าใจอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ ต้องลองมองมุมอื่น ๆ ด้วย คนเราล้วนมีเหตุผลในการกระทำนั้น ๆ แม้บางครั้งดูแล้วอาจจะไม่สมเหตุสมผล แต่มันก็คือตัวคน ๆ นั้น ปัญหานี้แก้ที่คนนั้นคงยาก เพราะเขาแยกแยะในสิ่งที่ทำไม่ได้ว่าอะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง แต่การหลบหนี ก็ไม่ใช่วิธีที่ควรทำไปตลอด หนูวีควรหาวิธีรับมือในหลาย ๆ แบบ" คุณยายพูดอธิบายอย่างใจเย็น

"ยังไงเหรอคะ" วีรภัทราตั้งใจฟังด้วยความสนอกสนใจ

"เช่น พอเห็นเขาจะเดินมาถึงตัวเราแล้ว ถ้าเราเลือกเส้นทางอื่นในการเดินได้ ก็รีบเดินหลบไป หรือบางครั้งเราอาจจะต้องพูดตรง ๆ อย่างไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ หรือบางครั้งอาจจะต้องใช้ไม้แข็ง โดยการไปบอกคุณครู แต่อย่างสุดท้ายนี้อาจจะต้องคิดให้ดีก่อน เพราะเท่าที่ป้าจำได้ หนูวีเคยบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกคนมีอิทธิพล ไม่แน่ที่บ้านเขาอาจจะตกลงอะไรกับคุณครูไว้ก็ได้ การบอกคุณครูอาจไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่ถ้าเราเจอครูที่เปิดใจรับฟัง และพร้อมช่วยเหลือจริง ๆ เราค่อยเปิดใจบอกเขา และอีกวิธีคือมีเพื่อนสักคนเดินด้วยกับเรา ก็จะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น หนูวีมีสักคนไหมจ้ะ" คุณยายอธิบายต่ออย่างช้า ๆ

"มีค่ะ ชื่อมน" วีรภัทราตอบกลับไป หลังจากคิดทบทวนคำพูดคุณยายเสร็จ

"ดีแล้วจ้ะ อยากให้หนูวีรู้ไว้นะ ว่ายายและพี่ ๆ ที่นี่ทุกคนรักและเอ็นดูหนูมาก มาหากันได้เสมอนะจ้ะ" คุณยายลูบหัวเธอเบา ๆ พลางพูดปลอบใจไปด้วย คำพูดแสนอบอุ่นของคุณยาย ทำเอาเธอน้ำตารื้นขึ้นมา เธอปาดน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหลขณะขอบคุณคุณยายจากใจ เธอรู้สึกเหมือนเจอแสงสว่างที่คอยชี้นำและเป็นกำลังใจให้เธอได้แล้ว