เช้าวันรุ่งขึ้นอาการปวดหัวก็ยังไม่หาย นันทิชาตัดสินใจโทรไปลางานกับอัคราวิชญ์ พอเขารู้เรื่องคร่าว ๆ จึงอาสาจะพาไปหาหมอ แต่เธอปฏิเสธ เอาแต่บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก และอ้างว่าเขามีงานที่ต้องทำอีกเยอะ ซึ่งก็เถียงไม่ได้ เพราะมันคือเรื่องจริง
"เบสตี้ ถ้าหาหมอเสร็จแล้ว บอกนะ เดี๋ยวพี่จะไปรับ" อัคราวิชญ์เอ่ย
"ค่ะ ไว้เดี๋ยวโทรหานะคะ" นันทิชาตอบ
หลังจากวางสาย นันทิชาก็ไปนั่งรอเรียกอยู่หน้าห้อง ต่อมาคุณพยาบาลก็เรียกชื่อเธอให้เข้าไปตรวจ เธอเปิดประตูเดินเข้าไป เห็นภายในห้องคุณหมอ มีโต๊ะสีขาว พร้อมคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และประวัติเธอวางอยู่ตรงหน้า ซึ่งคุณหมอกำลังอ่านอยู่
"สวัสดีค่ะคุณหมอ" นันทิชายกมือไหว้
"สวัสดีครับ อาการเป็นยังไงบ้างครับ" คุณหมอเงยหน้าขึ้นมา รับไหว้ แล้วก็ซักประวัติ หลังจากเธอนั่งลง
"ปวดหัวตุบ ๆ อยู่บ่อย ๆ บางครั้งสายตาก็พร่ามัวค่ะ" นันทิชาเล่าอาการที่พบบ่อยให้คุณหมอฟัง
"เป็นบ่อยแค่ไหน และนานแค่ไหนแล้วครับ" คุณหมอถามกลับนิ่ง ๆ
"อาการเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนค่ะ แล้วก็เป็นมาเรื่อย ๆ แต่รู้สึกว่าช่วงหลังจะเป็นบ่อยขึ้น และยาแก้ปวดหัวก็ไม่หายแล้วด้วยค่ะ"
"แล้วในครอบครัวเคยมีใครมีอาการแบบนี้มาก่อนไหมครับ เช่น ไมเกรน" คุณหมอซักประวัติเพิ่มเติม
"ดิฉันไม่แน่ใจนะคะ เพราะพ่อแม่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก เท่าที่ทราบมาจากคุณป้า แม่เป็นไมเกรนแล้วก็มีประวัติเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบค่ะ"
"มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคเดียวกัน งั้นผมขอส่งตรวจเพิ่มเติมนะครับ หลังจากผลออก อีก 1 ชั่วโมงค่อยกลับมาคุยกันอีกทีนะครับ"
เมื่อถึงเวลา นันทิชาก็ถูกเรียกให้กลับเข้าไปคุยกับคุณหมออีกครั้ง
"ครับ จากผลตรวจเบื้องต้น ผมประเมินว่า คุณนันทิชาเป็นไมเกรน แนะนำให้ระมัดระวังเรื่องความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ผมสั่งยาไปให้ทาน 3 เดือนนะครับ ถ้าไม่ดีขึ้นยังไง ให้รีบมาหาหมอเลยนะครับ" คุณหมอพูด ขณะอ่านข้อมูลผ่านจอคอมพิวเตอร์ และพิมพ์สั่งยาไปด้วย
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ" นันทิชายกมือไหว้
"ครับ สวัสดีครับ" คุณหมอรับไหว้กลับ
ตกบ่าย นันทิชาเดินไปรอที่แผนกรับยา และโทรหาอัคราวิชญ์ให้มารับ พอเขาได้รับโทรศัพท์ก็รีบวางมือจากเอกสารที่กำลังเซ็นอยู่ ขับรถมารับถึงหน้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
นันทิชารับยาเสร็จเดินมารอที่หน้าโรงพยาบาล ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อัคราวิชญ์ขับรถมาถึง เธอเปิดประตูและก้าวขึ้นรถ คาดเข็มขัดเสร็จ เขาก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลทันที
"หมอว่าไงบ้าง" อัคราวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย
"ไม่ได้เป็นอะไรมาก หมอให้ยามากินแล้วค่ะ เดี๋ยวคงดีขึ้น" นันทิชาตอบเลี่ยง ๆ ไป เพราะกลัวเขาจะกังวล ไม่เป็นอันทำงาน
"โอเค งั้นดีเลย อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่พาไป" อัคราวิชญ์ถอนหายใจโล่งอกออกมาเบา ๆ
"อยากกลับบ้านมากกว่าค่ะ วันนี้เพลียมาก"
"โอเคครับ งั้นพี่ขอแวะแป๊บเดียว ที่ร้านข้างหน้านี้นะ" อัคราวิชญ์ชี้นิ้วไปข้างหน้า ขณะขับรถไปด้วย
"อ่อ... โอเคค่ะ" นันทิชาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบตกลงอย่างไม่ติดใจอะไร
เมื่อขับรถมาถึงบ้านของนันทิชา แทนที่อัคราวิชญ์จะกลับเลย แต่เขาเลือกที่จะจอดรถและลงไปด้วย จากนั้นเดินอ้อมไปหาและเข้าไปประคองเธอเดิน เธอจึงหยุดเดินและหันหน้ามองด้วยความสงสัย ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินผ่านประตูบ้านเข้าไป เธอจึงถามเขากลับไปว่า
"วันนี้พี่เคลียร์งานหมดแล้วเหรอคะ"
"ใช่ครับ พี่เคลียร์เสร็จแล้ว วันนี้พี่อยู่กับเบสตี้ได้ทั้งวันทั้งคืนเลย"
"หืม พูดเล่นหรือพูดจริงคะเนี่ย" นันทิชาชะงักเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำพูดของเขา
"จริง ๆ ครับ พี่อยากมาดูแลเบสตี้"
นันทิชาฟังเสร็จก็เดินเข้าบ้านต่อพร้อมกับอัคราวิชญ์ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปนั่งที่โซฟา 3 ที่นั่งสีชมพูพาสเทล ตรงข้ามมีทีวีขนาดกลาง และโต๊ะวางของอยู่ข้างหน้าที่นั่ง เธอเอื้อมไปหยิบรีโมทเปิดแอร์ ก่อนจะหันมาคุยต่อ
"ถ้าพี่อยากอยู่ เบสตี้ก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ เอาที่พี่สะดวกเลย" นันทิชาตอบกลับไปนิ่ง ๆ
อัคราวิชญ์เห็นเธอออกอาการแบบนี้ก็ชักจะเป็นกังวล เลยชวนไปกินของอร่อยที่เขาแวะซื้อมาเมื่อกี้
"ไปกินของอร่อยกัน พี่ซื้อมาเยอะแยะเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบที่หลังรถก่อนนะครับ" พอพูดเสร็จ อัคราวิชญ์ลุกขึ้น เดินไปหยิบของที่หลังรถ
อัคราวิชญ์เดินเข้ามาพร้อมถุงอาหารขนาดใหญ่ แล้วเดินทะลุห้องไปวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว จากนั้นเดินกลับมาหานันทิชา จูงมือเธอไปนั่งกินด้วยกัน เธอที่รู้สึกอ่อนเพลียและเครียดมากหลังจากที่พบคุณหมอมา ตาเธอก็เปล่งประกายมากขึ้น เมื่อเห็นเขาเปิดกล่องอาหารที่บรรจุด้วยเมนูโปรดเธออย่างสปาเกตตี้กับครีมซอสกุ้ง แล้วยังมีไอศครีมวานิลลา ชาเอิร์ลเกรย์ และแตงโมอีกด้วย
"ว้าว พี่คินน์ ของโปรดเบสตี้เต็มไปหมดเลยค่ะ" นันทิชายิ้มร่าอย่างดีใจ กระโดดกอดเขาเต็มแรง
"ครับ พี่อยากให้เบสตี้มีความสุขมาก ๆ ไม่ต้องกังวลนะ อาการป่วยเดี๋ยวก็ดีขึ้น ฟอด" อัคราวิชญ์หอมแก้ม 2 ข้างด้วยความมันเขี้ยว พร้อมโอบกอดเธอไปด้วย ทั้งคู่ต่างก็ยิ้มหวานให้กันและนั่งลงกินข้าวอย่างมีความสุข
ต่อมานันทิชาเดินขึ้นไปอาบน้ำ พักผ่อนที่ชั้น 2 ส่วนอัคราวิชญ์ก็ช่วยเก็บล้างให้เธอเรียบร้อย และมานั่งพักที่โซฟาห้องนั่งเล่น
ผ่านไป 45 นาที นันทิชาเดินลงมาจากชั้น 2 อย่างช้า ๆ เพื่อบอกให้อัคราวิชญ์ขึ้นไปอาบน้ำ จะได้พักผ่อนกัน แต่พอมาถึงก็เห็นเขานอนงีบหลับอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อปลุกเขา
"พี่คินน์คะ พี่คินน์ไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยนอนนะคะ" เสียงหวาน ๆ กระซิบข้างหูอัคราวิชญ์ พร้อมแตะตัวเขาเบา ๆ ไปด้วย
อัคราวิชญ์ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างมึน ๆ แล้วลุกขึ้นนั่งตอบ "อาบเสร็จแล้วเหรอ" พลางใช้มือตัวเองนวดต้นคอเล็กน้อย เพื่อคลายความเมื่อยล้า
"ใช่ค่ะ พี่คินน์ไปกัน" นันทิชาพูดพลางใช้มือเรียวบางดึงเขาให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินขึ้นชั้น 2 ก็มีคนโทรเข้ามา
อัคราวิชญ์รับโทรศัพท์อย่างเซ็ง ๆ "สวัสดีครับ ทราบแล้วครับ เดี๋ยวเจอกันครับ"
หลังจากเขาวางสาย ก็มีสีหน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะบอกนันทิชาว่ามีธุระด่วนต้องไปจัดการตอนนี้เลย แล้วเขาก็เดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนนันทิชาเดินกลับขึ้นชั้น 2 ไปพักผ่อน แต่แล้วกลางดึกประมาณ ตี 2 อาการปวดหัวกำเริบรุนแรง เธอไม่ไหวเลยโทรเรียกรถพยาบาล
เช้าวันรุ่งขึ้นอัคราวิชญ์ขับรถมารับนันทิชาที่บ้านตามปกติ แต่กลับไม่เจอเธอ เรียกเท่าไรก็ไม่มีใครมาเปิดประตูให้ โทรหาก็ไม่รับสาย เลยติดต่อไปที่โรงพยาบาลที่เธอไปหาหมอครั้งที่แล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีชื่อเธอแอดมิตรับเข้าเป็นผู้ป่วยในเลย ความว้าวุ่นใจเพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เขาโทรหาเพื่อนสนิทอย่างณัฐชานนท์ให้ช่วยตามหา แต่ก็ไม่พบ ได้แต่คำตอบเดิม ๆ กลับมา