กำหนดการสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจศพของคุณพ่อดนุพัฒน์ถูกประกาศผ่านสื่อทุกช่องทาง รวมถึงข่าวด่วน โดยในข่าวพูดถึงประเด็นที่น่าเป็นห่วงหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของเสาหลักบริษัท รุ่งโรจนพัฒน์ ว่าทิศทางจะเป็นยังไงต่อ และลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจะพิสูจน์ให้เห็นได้ไหม เพราะความเก๋าที่พ่อเขาทำไว้ ได้สร้างประวัติศาสตร์ธุรกิจเครื่องดื่มสำเร็จรูปในประเทศไทยไว้มาก
ตอนนี้หลายฝ่ายในบริษัทกระสับกระส่ายและอยู่ในภาวะตึงเครียด อัคราวิชญ์ต้องขึ้นมาแบกรับในสถานการณ์ที่หุ้นส่วนหลายฝ่ายยังไม่ไว้วางใจ และพวกเขาเสนอให้เขาพิสูจน์ตัวเองผ่านการทำยอดขายและการเติบโตของบริษัทในไตรมาสหน้า เล่นทำเอาคุณแม่เขาที่ได้ยินถึงกับหน้ามืดจะเป็นลม ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจนี้เติบโตมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของสามีเธอ ไหงกลายเป็นว่าลูกชายเธอจะต้องเจออะไรแบบนี้ สำหรับเขาไม่มีอะไรต้องกลัว เพียงแต่คำสัญญาที่จะจัดงานแต่งงานของเขากับนันทิชาต้องเลื่อนออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด
หลังจากที่ร้องไห้สะอื้นกันหนักหน่วง อัคราวิชญ์ก็ปาดน้ำตาทิ้ง แล้วหันมาคุยกับนันทิชาที่กำลังลูบหลังเขาอยู่
"ขอโทษนะเบสตี้ พี่ยังไม่สามารถจัดงานแต่งให้ได้ตอนนี้ ไว้ทุกอย่างลงตัวแล้ว เรามาจัดงานกันนะ" อัคราวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยปนความรู้สึกผิดที่มีต่อแฟนสาว
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ รอได้" นันทิชายิ้มพร้อมจับมือให้กำลังใจเขากลับไป
"ขอบคุณครับ" อัคราวิชญ์สวมกอดเธอ และนันทิชาก็กอดตอบ
ต่อมาพวกเขาทั้ง 3 คนช่วยกันจัดการติดต่อเรื่องการขนย้ายศพไปที่วัด รวมถึงอุปกรณ์และพระที่จะต้องมาสวดอภิธรรมศพให้ทุกวัน แม้ทุกคนจะเหนื่อยล้าทั้งจากความเสียใจและการเตรียมงานให้พร้อม รวมถึงศึกหลายด้านที่กำลังถาโถมเข้ามา แต่ก็ต้องดำเนินงานต่อไป
ในช่วงเย็น ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง, ผู้ถือหุ้น, พนักงานบริษัท และเพื่อน ๆ ต่างก็มาร่วมงานกัน โดยมีงานศพทั้งหมด 7 วัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 6 วันนี้อัคราวิชญ์และนันทิชาไม่ได้มาร่วมงานตอนเย็น เนื่องจากต้องเตรียมแผนงานที่จะทำให้บริษัทได้กำไรตามที่ผู้ถือหุ้นยื่นคำขาดมาให้เขา อีกทั้งยังเป็นวันที่ป้านุชและวีรภัทรามาร่วมงานศพวันแรกด้วย
ป้านุชและวีรภัทรานั่งรถแท็กซี่มาถึงงานเวลา 6 โมงครึ่ง พวกเขาเดินเข้ามาในบริเวณที่จัดงาน เห็นดอกไม้ประดับประดาสวยงามรอบโรงศพที่สั่งทำมาอย่างดี เก้าอี้เบาะนั่งสีน้ำเงินเข้มเต็มไปหมด ด้วยแขกเหรื่อที่ต้องมาร่วมงานมีค่อนข้างมาก รูปของคุณดนุพัฒน์ตั้งสง่าไว้ด้านข้าง ส่วนตรงกลางเป็นธูปเทียนไว้ให้จุดกราบไหว้ ทุกอย่างจัดเตรียมไว้อย่างดี พอคุณหญิงวิไลรัตน์เห็นทั้งคู่กำลังเดินผ่านประตูเข้างานมา ก็รีบเดินออกมารับ
"สวัสดีค่ะ คุณพี่อรนุช" คุณหญิงวิไลรัตน์ยกมือไหว้สวยงามตามแบบฉบับผู้ดีที่เข้าสังคมเป็น
"สวัสดีค่ะ คุณหญิงวิไลรัตน์ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ" ป้านุชรับไหว้ และตอบกลับขณะที่จับมือให้กำลังใจคุณหญิง
"แล้วนี่ใครเหรอคะ" หลังจากแสดงความเสียใจเรียบร้อย คุณหญิงวิไลรัตน์หันมาสะดุดตากับสาวสวยตัวบางสูงโปร่ง ผิวขาวอมชมพู หน้าตาออกฝรั่งปนไทย และผมยาวสลวย
"หลานฉันเอง ชื่อวีรภัทรา หรือวีค่ะ" ป้านุชหันมามองหน้าเธอเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปตอบคุณหญิง
"สวยน่ารักใช้ได้เลยนะคะ" คุณหญิงออกปากชมเล็กน้อย ก่อนจะเชิญให้เข้าไปทำความเคารพศพ จากนั้นก็พาทั้ง 2 คนไปนั่งเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีวันนี้ คุณหญิงจึงเดินเข้ามาชวนคุย เล่าถึงเรื่องราวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวที่เป็นทั้งกำลังใจและความสุขในชีวิตของเธอ ทำให้ทั้ง 2 คนรู้จักอัคราวิชญ์ก่อนที่จะรู้จักหน้าค่าตากันซะอีก
จากนั้นทั้งป้านุชและวีรภัทราจึงขอตัวกลับบ้าน
"คุณหญิง เราทั้งคู่คงไม่สะดวกมาร่วมงานวันอื่นแล้วนะคะ เพราะฉันก็มีสอน ส่วนหลานก็ทำงาน ขอโทษด้วยนะคะ" ป้านุชเอ่ย
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ ขอบคุณที่มาร่วมงานวันนี้นะคะ" คุณหญิงตอบกลับอย่างเข้าใจ
"ขอบคุณค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" ป้านุชบอกลา ส่วนวีรภัทราไหว้ลาคุณหญิง จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปขึ้นแท็กซี่หน้าวัด
วันนี้เป็นวันฌาปนกิจศพของคุณพ่อดนุพัฒน์ โดยอัคราวิชญ์ คุณหญิงวิไลรัตน์ และนันทิชามาถึงหน้างานแต่เช้า เพื่อต้อนรับแขกและจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย ความโศกเศร้ายังคงอยู่นัยน์ตาของแม่ลูกคู่นี้ และเมื่อถึงเวลา พิธีกรกล่าวแสดงความเสียใจ พูดถึงประวัติคุณพ่อ รวมถึงสาเหตุที่จากไปอย่างโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ยิ่งทำให้คุณแม่และเขากลั้นไว้ไม่อยู่ น้ำตานองหน้าตลอดการนั่งฟัง ในท้ายที่สุดพิธีการต่าง ๆ ก็เสร็จสิ้นเรียบร้อย พวกเขาทั้ง 3 คนนำอัฐิไปลอยอังคารริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนหลังจากนั้น อัคราวิชญ์และคุณหญิงวิไลรัตน์อดทนผ่านเรื่องราวที่โหดร้ายต่อจิตใจพวกเขาและพยายามผลักดันยอดขายให้บริษัทก้าวหน้า ด้วยกลยุทธ์ใหม่ ๆ ผ่านการนำเสนอบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างแก้วทัมเบลอร์สีดำและสีขาว ที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มชามะนาวของบริษัท สำหรับใครที่อุดหนุนเครื่องดื่มสำเร็จรูปชามะนาวเกิน 500 บาท ฟรีแก้วทัมเบลอร์อย่างดี 1 ใบ เขาพยายามโหมกระหน่ำไอเดียกับทีมงานและโปรโมทขายอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังออกผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ของชาในรูปแบบชาแต่งกลิ่น (ชาแอปเปิล, ชากุหลาบ, ชามะลิ, และชาคาโมมายล์) สุดท้ายในเดือนที่ 3 หลังจากที่เขาเข้ามาบริหาร ก็ได้พิสูจน์ถึงแนวคิดและความมุ่งมั่น จนหุ้นส่วนเกือบทั้งหมดเห็นด้วยที่จะให้เขามาบริหารต่อ ส่วนคนอื่นก็มีคุยเจรจา บางคนเลือกที่จะไป บางคนก็ยังอยู่ต่อ แม้ไม่ชอบเขาก็ตาม
เขาเดินกลับมายังห้องทำงานส่วนตัวด้วยท่าทางอิดโรย ซึ่งตอนนี้เขาย้ายไปอยู่ห้องคุณพ่อแทนแล้ว สีหน้าที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าจากการทุ่มเทอย่างหนัก แทบไม่ได้หลับได้นอนจนคนข้างกายเขาอย่างนันทิชาต้องลุกเดินเข้าไปถามไถ่ถึงโต๊ะทำงานเขา
"พี่ไหวไหม อยากกินอะไรไหมคะ" นันทิชาแสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"ไหวครับ ไว้พี่เคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ วันนี้ไปกินข้าวบ้านพี่นะ" อัคราวิชญ์เงยหน้าขึ้นมายิ้มบาง ๆ ให้ แล้วก้มหน้าทำงานต่อ
เวลา 5 โมงเย็น ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว แต่อัคราวิชญ์ก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากการก้มเซ็นเอกสาร นันทิชาเห็นอย่างนั้นเลยเข้าไปช่วยเปิดหน้าเซ็นเอกสารให้ เพื่อย่นระยะเวลาให้เขา เพียงไม่นานก็เสร็จ ต่อมาทั้งคู่กลับไปกินข้าวที่บ้านแฟนหนุ่มตามที่คุยกันไว้ เมื่อขับรถเข้ามาในบ้าน เจอกับคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกสีครีมอ่อน 2 ชั้น มีกระจกเต็มไปหมด ที่ชั้น 2 มีระเบียงให้เดินออกมาชมวิวสวนหน้าบ้านได้ และโรงจอดรถขนาดใหญ่
เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน คุณแม่เดินออกมาต้อนรับด้วยความดีใจที่ลูกชายพาว่าที่ลูกสะใภ้มากินข้าวด้วย หลังจากที่รับรู้เรื่องขอแต่งงานแล้ว เหมือนเติมความสุขให้แม่มากขึ้น เพราะเธออยากเห็นลูกชายมีความสุขมากที่สุด
บทสนทนาวันนี้ทำให้รอยยิ้มที่จางหายไปของลูกชายค่อย ๆ กลับมา ในช่วงระหว่างกินข้าวบนโต๊ะอาหาร ที่เต็มไปด้วยเมนูอาหารคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็นสเต็กเนื้อวากิว, สเต็กปลาแซลมอน, ต้มยำกุ้ง, สปาเกตตี้ครีมซอสทะเล, ผัดเผ็ดปลาสลิด, ทาร์ตเลมอน และน้ำเปล่า
"คุณแม่ อาหารน่าทานหมดเลยค่ะ" นันทิชาเอ่ยชม
"น่าทาน ก็ทานเยอะ ๆ นะ" คุณแม่ยิ้มแย้มแจ่มใส
"จริงครับ ทานเยอะ ๆ นะเบสตี้" อัคราวิชญ์ช่วยย้ำอีกคน
"ค่ะ ขอบคุณสำหรับมื้ออาหารวันนี้นะคะ" นันทิชายิ้มอย่างสดใส
"จ้ะ/ครับ" คุณแม่และอัคราวิชญ์ตอบรับพร้อมกัน
ค่ำคืนนี้เหมือนได้ย้อนเวลากลับมาในช่วงที่มีความสุขที่สุดอีกครั้ง แม้จะทำให้รู้สึกนึกถึงพ่อมาก แต่ในเวลานี้ทุกคนในบ้านก็เริ่มจะยอมรับความจริงได้แล้ว และตัวอัคราวิชญ์เองก็ปรับตัวได้มากขึ้นกว่าช่วงแรกที่รับตำแหน่งด้วย
หลังจากกินข้าวเสร็จ อัคราวิชญ์พานันทิชาไปส่งที่บ้านเหมือนเช่นเคย ก่อนลงจากรถ เธอหันกลับมาพูดกับเขาซ้ำอีกครั้ง
"ขอบคุณนะคะ" นันทิชาเอ่ย และจับมือให้กำลังใจเขา
"ครับ พี่รักเบสตี้นะ" อัคราวิชญ์โน้มตัวไปหอมแก้มเธออย่างนุ่มนวล และเธอก็หอมแก้มกลับเช่นกัน
เมื่อรถยนต์ที่นันทิชานั่งมาเคลื่อนที่เข้ามาจอดภายในบ้าน เธอบอกลาอัคราวิชญ์และก้าวลงจากรถ จากนั้นเขาขับกลับบ้านไป ในขณะที่เบสตี้กำลังไขกุญแจเปิดประตูบ้าน อยู่ดี ๆ เธอก็รู้สึกปวดหัวมาก สายตาพร่ามัว จนทำให้เธอต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่และนั่งลงไปที่พื้น เพื่อไม่ให้ล้ม
หลังจากที่นันทิชาเริ่มรู้สึกดีขึ้น เธอก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วเปิดประตูเข้าบ้านไป วางกระเป๋าถือที่โต๊ะหน้าโซฟา เดินไปยังห้องครัว หายาแก้ปวดหัวกิน ในใจเธอคิดถึงสาเหตุของโรค และให้คำตอบกับตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้น่าจะพักผ่อนน้อย
ระหว่างเดินขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องนอน ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก แถมรุนแรงเพิ่มด้วย เธอจึงตัดสินใจกินยาเพิ่มอีก 1 เม็ดกับยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน หากไม่ดีขึ้นก็คงต้องไปหาหมอแล้วแหละ ในใจเธอคิดอย่างงั้น