ขณะที่คู่รักหวานแหววยืนมองและซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ อยู่กลางห้องรับแขกที่มีโซฟาแนวคลาสสิก ตรงข้ามมีเตาผิงที่ช่วยอบอุ่นร่างกาย นันทิชาก็ถามแหย่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
"เอ๋... มีอะไรเซอร์ไพรส์หรือเปล่าคะ" อัคราวิชญ์ได้แต่ฟังแล้วก็เสมองไปทางอื่น
ในใจอัคราวิชญ์ ไม่หวั่น แม้นันทิชาจะแหย่ยังไงก็ตาม เพราะแผนทั้งหมดกำลังจะลงล็อกเร็ว ๆ นี้ เขาไม่มีทางทำพลาดแน่นอน จากนั้นเดินหลบไปนั่งโซฟามุมหนึ่งของห้อง นึกย้อนไปเมื่อ 2 เดือนก่อนเขาได้แอบไปสั่งจองของชิ้นสำคัญ อีกทั้งออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเรื่องนี้เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งดี ๆ ที่ควรเกิดขึ้น
"พรุ่งนี้ไปฮาร์วาร์ดกัน" อัคราวิชญ์หันไปชวนเธอคุย ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินดูสิ่งของทั่วบ้าน
"ก็ดีนะคะ อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง" นันทิชาพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้างตื่นเต้นกับกิจกรรมในวันพรุ่งนี้
"หิวยัง กินไรไหมคะ" นันทิชาถามขึ้น
"กินสิ ไม่รู้ว่าแม่บ้านเตรียมอะไรไว้ให้บ้าง ไปดูที่โต๊ะในห้องครัวกัน" อัคราวิชญ์ลุกขึ้นพาเธอเดินไปที่โต๊ะ
"ว้าว น่ากินจังเลย มีสปาเกตตี้กับครีมซอสกุ้งด้วย ตัวใหญ่มาก" นันทิชาพูดอย่างร่าเริงหลังจากเห็นเมนูโปรด
"กินกัน" อัคราวิชญ์ดึงเก้าอี้ออกให้เธอนั่ง
หลังจากมื้อค่ำแสนเรียบง่ายจบลง คืนนี้ทั้งคู่รีบแยกย้ายกันไปนอนให้เต็มอิ่ม เพื่อเตรียมไปผจญภัยในวันพรุ่งนี้
"อรุณสวัสดิ์เบสตี้ที่รัก" อัคราวิชญ์เดินไปห้องนอนนันทิชา แล้วปลุกเธอด้วยการก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่สองข้าง เธอตื่นขึ้นด้วยความง่วงและเหนื่อยล้า หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไกลมานาน
"เช้าแล้วเหรอคะ" นันทิชาถามขณะที่เปลือกตายังคงปิดอยู่
"อืม เช้าแล้ว ลุกกันเถอะ วันนี้เราจะไปฮาร์วาร์ดกันนะ" อัคราวิชญ์จับมือเธอเขย่าเบา ๆ
"โอเคค่ะ" เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น บิดขี้เกียจ เขยิบตัวลงจากเตียง
หลังจากใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มในการเตรียมตัว นันทิชาก็เดินออกมาในชุดสบาย ๆ เสื้อยืด กางเกงยีน แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือเธอใส่แจ็คเก็ตยีน หลังจากที่เลิกใส่ไปตั้งแต่เรียนจบ ส่วนอัคราวิชญ์แต่งตัวออกมาในแนวเดียวกับแฟนสาว เพียงแต่เปลี่ยนจากแจ็คเก็ตยีนเป็นแจ็คเก็ตหนังสีดำแทน
"ย้อนวัยเหรอ" อัคราวิชญ์แซวพร้อมขำไปด้วย
"ก็นิดนึง หน้าก็ยังพอผ่านอยู่นะคะ" นันทิชาตอบแบบขำ ๆ กลับไป
"มีแฟนเด็กก็แบบนี้แหละ" อัคราวิชญ์ยังแซวต่อ แถมยิ้มกวนประสาท
"มีแฟนแก่ก็แบบนี้แหละ" นันทิชาเล่นบ้าง พลางยักคิ้วใส่
"โห เล่นแบบนี้เลยเหรอ วันนี้จะไม่พาไปแล้ว" อัคราวิชญ์เกิดอาการงอนขึ้นมา เดินหนี จนนันทิชาต้องโอ๋กอดปลอบ แต่เขายังไม่หายอยู่ดีหากเธอไม่ทำสิ่งที่เขาอยากได้ เธอรู้ดีว่ากำลังโดนลูกไม้จากเขา แต่ก็ยอมให้ เพราะเขาแค่อยากอ้อนเฉย ๆ
"ไปกันได้แล้วค่ะ" นันทิชารีบเปลี่ยนเรื่อง จากนั้นก็ลากเขาไปขึ้นรถ
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังนั่งแท็กซี่มุ่งหน้าไปมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บรรยากาศเต็มไปด้วยต้นไม้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มแดงสดใสเหมาะกับการเดินเล่น จากนั้ันทั้งคู่ลงจากรถเดินไปยังตึกเรียนที่พวกเขามีความทรงจำร่วมกันมา
"หลายอย่างยังคงเหมือนเดิมเลยนะคะ พี่คินน์ว่าไหม" นันทิชาหันไปถามความเห็นจากเขา
"ใช่ ๆ" ระหว่างตอบ อัคราวิชญ์ก็ไล่สายตามองไปรอบ ๆ เช่นกัน
ระหว่างที่กำลังเดินชมอยู่ อาจารย์ที่เคยเรียนด้วยเดินผ่านมา พวกเขาจึงรีบเดินเข้าไปทักทายและถามสารทุกข์สุกดิบ แต่คุยกับอาจารย์ได้ไม่นาน เพราะอาจารย์มีสอน จึงแยกย้ายกันไป
"วันนี้ดีเลยที่ได้มา" อัคราวิชญ์พูดขึ้น
"ใช่ ๆ ว่าแต่ไหน ๆ ก็มาแล้วไปห้องสมุดกันไหมคะ" นันทิชาชวนต่อ
"ไปสิ" อัคราวิชญ์และนันทิชาค่อย ๆ เดินจากตึกเรียนไปยังห้องสมุดใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางของมหาวิทยาลัย บรรยากาศโดยรอบทำให้พวกเขาพูดถึงความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลย
"จำที่พี่ขอเบสตี้เดตได้ไหม ตรงทางเดินนี้เลย" อัคราวิชญ์ดึงภาพความทรงจำครั้งแรกกลับมาอีกครั้งในระหว่างเดินกัน
"จำได้สิคะ ไม่คิดว่า พี่คินน์จะโรแมนติกขนาดนั้น" นันทิชาอมยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ นึกถึงความสุขที่พวกเขามีร่วมกันมา
พอทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องสมุดก็ต้องตะลึงกับความเปลี่ยนแปลง ต่างชี้บอกกันและกันถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เคยใช้พิมพ์หาหนังสือในห้องสมุด หรือจะเป็นบันไดที่เดินขึ้นในแต่ละชั้น ล้วนพัฒนาและดูดีขึ้นมาก
"จำได้ไหมคะ ที่นั่งตรงริมหน้าต่าง พวกเรามักจะมาหลบฝนที่นี่เสมอ" นันทิชาชี้ไปยังที่นั่งแห่งความทรงจำ
"จำได้สิ มันตลกมากเลย พวกเรามักวิ่งฝ่าฝนเปียก ๆ เข้ามาจนโดนบรรณารักษ์ดุเป็นประจำ" แววตาของอัคราวิชญ์เต็มตื้นไปด้วยความทรงจำ
จากนั้นพวกเขาพากันออกจากมหาวิทยาลัยไปยังควินซี มาร์เก็ต แหล่งขายอาหารหลากหลาย ใจกลางย่านดาวน์ทาวน์ในเมืองบอสตัน ทั้งคู่ต่างชอปเมนูอาหารตามใจชอบ และพากันไปนั่งกินตรงที่นั่งที่สถานที่จัดไว้ให้ หลังจากเอร็ดอร่อยกับมื้อเบา ๆ ไปแล้ว ก็พากันมาเดินต่อที่ริมแม่น้ำชาร์ลในยามบ่าย ชวนกันไปพายเรือคายัคใต้แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า แต่พอเดินมาถึงเจอป้ายปิดปรับปรุง เลยต้องเปลี่ยนแผน ทั้งคู่จึงพากันไปแวะร้านคาเฟ่ เพื่อซื้อกาแฟสักแก้ว แซนวิชสักหน่อย มานั่งกินและดื่มด่ำบรรยากาศริมแม่น้ำแทน
ระหว่างที่กินอยู่ อัคราวิชญ์ก็คอยดูเวลาตลอด เขาวางแผนไว้สักประมาณ 5 โมงเย็น แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น เขาโทรไปหาแม่บ้าน ให้เธอช่วยจัดเตรียมแจกันดอกไม้ เทียน และอาหารมื้อสุดพิเศษให้ สำหรับมื้อหลังจากทำอีเวนต์สำเร็จ เพียงเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง เวลาตามกำหนดการก็มาถึง เขาจูงมือเธอไปยังมุมที่สวยที่สุดของริมแม่น้ำชาร์ล แสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังตกสาดส่องให้เหมือนกับมีคนจัดไฟตอนถ่ายรูป เขาบอกเธอให้หยุดยืนรอและหลับตา ก่อนที่เขาจะคุกเข่าข้างหนึ่งลง เมื่อเธอลืมตาขึ้นเห็นเขาเป็นแบบนั้น เธอรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ ทุกคำพูดที่เขาบอก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโลกใบนี้หยุดหมุน สิ่งเดียวที่เธอได้ยินตอนนั้น คือการถูกขอแต่งงาน และเธอก็ตอบตกลงเกือบจะทันทีที่เขาพูดจบ เขาสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย ลุกขึ้นมาสวมกอดเธอไว้แน่น น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นพวกเขาก็กลับไปฉลองกันที่บ้าน
บรรยากาศในบ้านวันนี้อบอุ่นและมีความสุขขึ้นกว่าเดิม เขาและเธอต่างมองกันและกันตลอดเวลา มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในใจทั้งคู่ผุดความคิดขึ้นมาว่า 'นี่สินะคือความสุขจริง ไม่มีนิยามใด ๆ สำหรับช่วงเวลานี้แล้ว นอกจากจะขอให้คงอยู่แบบนี้ตลอดไป'
"ขอบคุณนะคะที่รักกัน" นันทิชายิ้มกว้างให้ด้วยความสุขใจ
"ขอบคุณนะครับที่รักกัน" อัคราวิชญ์ก็ยิ้มกว้างให้ไม่ต่างกัน
หลังจากกินไปสักพัก อัคราวิชญ์ก็พูดประโยคที่ชวนให้สำลักอาหารออกมา อย่างการชวนมานอนห้องเดียวกัน เพราะตลอดที่ผ่านมา ทั้งคู่คบกันอย่างให้เกียรติและทะนุถนอมที่สุด หลังจากที่นันทิชาได้ยินประโยคนั้นเธอถึงกับหน้าแดงก่ำ เอียงอายตอบตกลงกลับไป
และตอนนี้คู่รักที่เพิ่งขอแต่งงานกำลังนอนอยู่เตียงเดียวกัน ในใจทั้งคู่เต้นตึกตักดังออกมาจนคนข้างกายได้ยิน ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไปอีก อัคราวิชญ์เอื้อมไปกุมมือเธอไว้ สายตาทั้งคู่สอดประสานกัน แล้วทั้งก็ผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างมีความสุข
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันกลับประเทศไทย ทั้งคู่กำลังเตรียมตัวเก็บกระเป๋า อยู่ดี ๆ แม่ของอัคราวิชญ์ก็โทรมาหาแบบกะทันหัน ไม่พอยังบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลอีก ทำให้เขายืนช็อกไปชั่วขณะหนึ่ง จนนันทิชาเรียกพลางเขย่าตัวเขาไปด้วย สักพักเขารู้สึกตัว สูดหายใจเข้าลึก ๆ และตั้งสติบอกให้เธอรับรู้เรื่องที่แม่บอกเมื่อกี้
"เบสตี้ คือพ่อพี่เข้าโรงพยาบาล พอไปถึงที่กรุงเทพ จะยังไม่แวะกลับบ้านนะ" อัคราวิชญ์พยายามตั้งสติบอกเธอ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ขาอ่อนจนทรุดลงไปนั่งที่ขอบเตียงนอนแล้ว
"โอเค ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณพ่อจะต้องไม่เป็นอะไร" นันทิชาปลอบใจและเข้าไปกอดอัคราวิชญ์ พอเขาได้รับความอบอุ่นจากแฟนที่รัก เขาก็เริ่มดีขึ้น
"ไปกัน" อัคราวิชญ์ลุกขึ้น แล้วยกกระเป๋าเดินทางไปขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อไปสนามบิน
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงเพื่อมาถึง อัคราวิชญ์รีบไปรับกระเป๋า แล้วลากไปขึ้นรถแท็กซี่หน้าสนามบินอย่างรวดเร็ว จนนันทิชาเกือบวิ่งตามไม่ทัน
สุดท้ายทั้งคู่ก็มาถึงโรงพยาบาล อัคราวิชญ์โทรหาแม่ เพื่อถามเลขห้องพักผู้ป่วย พอได้รับคำตอบแล้ว แม่กลับเร่งให้เขารีบมาให้เร็วที่สุด ณ เวลานั้นเขารู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงรีบวิ่งไปกดลิฟต์ เพื่อไปยังชั้น 10 ทันที
พอมาถึงหน้าห้อง คุณหมอและพยาบาลต่างค่อย ๆ ทยอยเดินออกมา ส่วนแม่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างพ่อ อัคราวิชญ์เดินเข้าห้องไปอย่างช้า ๆ จับมือแม่ไว้ ไม่นานน้ำตาของลูกผู้ชายก็ไหลนองออกมา จากที่ตั้งใจจะเข้มแข็งไว้ แต่ก็กลั้นไม่อยู่ ร้องโฮออกมาอย่างหนัก ส่วนแฟนสาวก็คอยปลอบและลูบหลังเขาไว้ตลอดเวลา