Chereads / สุดแสงสีหม่น / Chapter 2 - ความทรงจำ

Chapter 2 - ความทรงจำ

ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของชายหนุ่มนักธุรกิจไฟแรง ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มสำเร็จรูป ชามะนาว เขาคือคนต่อไปที่จะขึ้นเป็นซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ประเทศไทย ไม่มีใครไม่รู้จักบริษัท รุ่งโรจนพัฒน์ เป็นบริษัทที่อยู่มานานหลายสิบปี โดยมีคุณดนุพัฒน์ คุณพ่อของเขาเป็นผู้ก่อตั้ง

อัคราวิชญ์เติบโตมาในครอบครัวสมบูรณ์ที่สุด เลี้ยงดูแบบให้ทุกอย่าง แต่จะมีบางอย่างที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ หนึ่งสิ่งคือเรื่องทำงาน สำหรับธุรกิจที่บ้าน เขาไม่สามารถก้าวขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งได้เลยจนกว่าจะเรียนรู้งานทุกฝ่ายทั้งหมดก่อนตามเงื่อนไขของพ่อ หลักคำสอนที่เขาจดจำและทำตามเกี่ยวกับเรื่องงานที่พ่อสอนไว้ มี 2 หลักคือ 'ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน' และ 'อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น' เพราะฉะนั้นทุกย่างก้าวของการใช้ชีวิตสิ่งนี้มักจะวนเวียนในความคิดและทุกการตัดสินใจของเขา สองคือพ่อแม่เขาจริงจังและเข้มงวดในเรื่องการปฏิบัติตัวมาตลอดชีวิต พ่อเขามักจะบอกให้รู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่สัญญาหรือรัตกปากรับคำไว้แล้ว ห้ามผิดคำพูด ส่วนแม่เขาสอนให้รู้จักอ่อนโยนต่อคนรอบข้างที่เขารัก รู้จักแบ่งปันความรักและความสุขให้ผู้อื่น

แม้เขาจะผ่านจุดเรียนรู้มาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่โรงงานจนถึงตำแหน่งรองประธานบริษัท แต่เขาก็ไม่เคยที่จะหยุดเรียนรู้และลงมือทำงานอย่างจริงจัง จนพนักงานหลายคนแอบชื่นชมเขา ซึ่งต่างจากผู้ถือหุ้นระดับสูงที่มักจะอคติกับเขาเสมอในทุกการประชุม

วันธรรมดา เวลา 8 โมงเช้า อัคราวิชญ์ขับรถสปอร์ตมาเซราติ เอ็มซี20 สีขาวสุดหรูมาทำงานตามปกติ แต่ที่พิเศษจนใคร ๆ ก็อิจฉาจนอยากอยู่ในตำแหน่งนั้น คือทุกวันเขาจะเดินทางมาพร้อมกับเลขาส่วนตัว เพราะเธอคนนี้พ่วงตำแหน่งผู้หญิงที่คว้าใจชายหนุ่มสุดหล่อ รวย เก่ง ทายาทบริษัทยักษ์ใหญ่ไว้ในครอบครองได้ ตลอดระยะเวลาการเป็นเลขาของเธอได้พิสูจน์ความเก่ง น่ารักและเป็นกันเองจนพนักงานหลายคนเรียกเธอว่าเป็นสะใภ้แห่งตระกูลรุ่งโรจนพัฒน์ไปแล้ว

อัคราวิชญ์จะมาทำงานด้วยชุดสูทสีดำ ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว พร้อมรองเท้าหนังดำเข้มเสมอ ส่วนเลขาพ่วงตำแหน่งแฟนสาว วันนี้มาในชุดเสื้อเบลาส์ ผ้าเรยอน ปกสกิปเปอร์ แขนยาวสีขาวกับกระโปรงทรงดินสอสีชมพูพาสเทล พร้อมต่างหูเพชรรูปดาวจิ๋ว และรองเท้าส้นสูง ทำมาจากหนัง สีเดียวกับกระโปรงที่สวมใส่ ทั้งคู่ก้าวขาออกจากรถพร้อมกัน และกำลังเดินเข้าไปในตึกบริษัท ซึ่งเป็นภาพที่พนักงานทุกคนคุ้นเคย เจ้านายมักจะมีรอยยิ้มให้เลขาเสมอ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้จริง ๆ

"สวัสดีค่ะคุณอัคราวิชญ์ สวัสดีค่ะคุณนันทิชา" เสียงสดใสทักทายยามเช้าของเหล่าพนักงาน

"สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ" ทั้งคู่ยิ้มกลับ

จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นลิฟต์ส่วนตัวตรงดิ่งไปยังห้องทำงานชั้นบนสุด อัคราวิชญ์หันมาถามกำหนดการกับนันทิชาด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะมีกำหนดการหนึ่งที่เขาเพิ่งจะแทรกไปเมื่อคืนก่อนนี้เอง โดยที่เธอไม่รู้ เขายืนอมยิ้มขณะนึกถึงแผนการที่จะพาเธอกลับไปย้อนความทรงจำของทั้งคู่ในค่ำคืนนี้ และจะเป็นเซอร์ไพรส์สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะไม่มีวันลืมแน่นอน พอเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นท่าทางแปลก ๆ ของเขาหลังจากอ่านตารางงานในไอแพดส่วนตัวเสร็จ จึงถามด้วยความงุนงงออกไป

"พี่คินน์เป็นอะไรคะ อมยิ้มอยู่ได้" นันทิชาขำและเอ็นดูในความน่ารักของแฟนหนุ่ม

"เปล่า ไม่มีอะไรหรอก" อัคราวิชญ์เฉไฉ

"โอเคค่ะ ถ้าอยากเล่าก็บอกนะ" นันทิชาตอบกลับอย่างชิล ๆ

วันนี้เป็นอาทิตย์ที่ 2 ของอัคราวิชญ์ที่ทำงานในตำแหน่งรองประธานบริษัท และเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นห้องทำงานส่วนตัวที่ผ่านการปรับแต่งตามใจเขา จังหวะที่ทั้งคู่เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน สิ่งแรกที่สะดุดตาคือห้องสีขาวสว่างสะอาดตา ฝั่งซ้ายจะมีโต๊ะเลขาสีขาวที่ปรับระดับให้นั่งหรือยืนได้ ขอบมุมโต๊ะมน บนโต๊ะวางคอมพิวเตอร์แมครุ่นล่าสุด และโพสต์อิทโน้ตที่วางเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมสมุดโน๊ตและปากกา ส่วนโต๊ะทำงานของรองประธานติดกระจกฝั่งตรงข้ามโต๊ะเลขา มีคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกัน และขวามือเป็นกองแฟ้มเอกสาร ทุกอย่างจัดวางให้ง่ายต่อการทำงาน รวมถึงเวลาสั่งงานก็แค่เงยหน้าขึ้นมา ไม่จำเป็นจะต้องตะโกน หรือโทรเรียก หรือแม้แต่เดินไปหา

อัคราวิชญ์ยิ้มพอใจ เดินไปนั่งเก้าอี้พนักพิงนุ่มสีขาวอย่างอารมณ์ดี จากนั้นเขาก็ง่วนกับการเคลียร์งาน เซ็นเอกสารยิก ๆ เต็มไปหมด จนนันทิชาเอ่ยขึ้น

"พี่คินน์ วันนี้มีธุระด่วนอื่นหรือเปล่า ดูรีบ ๆ นะคะ" นันทิชาสังเกตเห็นความยุกยิกของเขาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาจนน่าเป็นห่วง

"อืม จริง ๆ ก็มีแหละ วันนี้เลิกงานเร็วหน่อยนะ มีพาร์ทเนอร์ที่ต้องไปเจอที่ต่างประเทศคืนนี้" เขาพูดอ้อมโลก กันเธอจับได้ เขาคิดในใจว่าแม้จะดูมีพิรุธนิด ๆ แต่คงไม่เยอะมากจนสังเกตเห็นได้

"หื้ม... มีด้วยเหรอคะ ตามตารางงานไม่มีนะ" นันทิชาก้มเช็คตารางงานในไอแพดส่วนตัวเธออีกครั้ง

"มี เขาติดต่อส่วนตัวมาน่ะ" อัคราวิชญ์แถต่อ

"โอเค ไปไฟล์ทกี่โมงเหรอ แล้ววันนี้ีจะเลิกงานตอนไหนคะ" นันทิชาพยักหน้าเข้าใจทันที

"2 ทุ่ม วันนี้หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ กลับมาทำงานต่อนิดหน่อย บ่าย 2 ออก ไปที่นั่น 2 วันนะ" หลังจากรู้เวลา นันทิชาก็รีบเร่งประสานงานทุกฝ่ายที่นัดประชุมหลังบ่าย 2 ทั้งหมด เพื่อเลื่อนเวลาเป็นอาทิตย์หน้า

ทั้งคู่เร่งทำงานจนเงยหน้ามาอีกที ก็เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี อัคราวิชญ์วางปากกาลง แล้วเรียกแฟนสาวให้ไปทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารโปรดทั้งคู่

"เบสตี้ ไปกินข้าวกันนะ" อัคราวิชญ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"แป๊บนะ กำลังจะเสร็จ ขออีก 5 นาทีค่ะ" นันทิชาตอบกลับ ขณะง่วนพิมพ์งานอยู่ โดยที่ไม่มองหน้าแฟนหนุ่ม

"โอเค เดี๋ยวพี่จองโต๊ะและสั่งเมนูอาหารไว้ให้นะ" อัคราวิชญ์บอกไปพลางกดโทรหาร้านอาหาร

...

"สวัสดีครับ ร้านสกายลี่ ยินดีให้บริการครับ"

"สวัสดีครับ ผมอัคราวิชญ์ ขอจองโต๊ะ 2 คนครับ และก็ขอสั่งอาหารไว้ด้วย เมนูทาร์ทาร์ ดิ สแคมปี้, บอสตันล็อบสเตอร์และชิทาราพาสต้าปูม้า, สเต็กโทมาฮอว์ก 40 ออนซ์ และน้ำเปล่า 2 เท่านี้ครับ" พูดจบ พนักงานทวนเมนูเรียบร้อย ก็วางสายไป

"เสร็จแล้ว ไปกันเถอะค่ะ" นันทิชาพูดขึ้น ประจวบเหมาะกับที่เขาวางสายพอดี

ชายหนุ่มและหญิงสาวลุกขึ้นเดินมาเจอตรงประตูทางออกหน้าห้อง จูงมือลงลิฟต์ด้วยกันอย่างมุ้งมิ้ง

พอเดินเข้าไปในร้านเจอบรรยากาศสีโทนดำสลับสีเข้ม ตกแต่งด้วยลวดลายเมืองนิวยอร์ก โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะหินอ่อนเรียบหรูดูสะอาดตากับโซฟาสีเลือดหมูหุ้มด้วยกำมะหยี่ลายตารางหมากรุก พนักงานเดินเข้ามาต้อนรับทันที

"สวัสดีครับ เชิญทางนี้เลยครับ คุณผู้ชายและคุณหญิง" พนักงานพาไปนั่งมุมที่ดีที่สุด ติดกับกระจก ทำให้เห็นบรรยากาศนอกตึกที่สวยงาม พอทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อย พนักงานเสิร์ฟเดินกลับเข้าไปในครัว เพื่อแจ้งออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งไว้

ต่อมาพนักงานเสิร์ฟเดินกลับมาพร้อมเครื่องดื่ม และเมนูเรียกน้ำย่อย

"ทาร์ทาร์ ดิ สแคมปี้ครับ" วางเสร็จ กำลังจะหมุนตัวเดินกลับ หญิงสาวที่มากับอัคราวิชญ์เรียกไว้ เพราะเธอชอบล็อบสเตอร์มากเลยอยากสั่งเพิ่มอีก 1 จาน

จากนั้นเมนูต่าง ๆ ที่ออเดอร์ไว้ก็ทยอยออกมาเสิร์ฟจนครบ ทั้งคู่ต่างป้อนให้กันและกัน หยอดกันไปมาอย่างมีความสุข

"อ้าม" อัคราวิชญ์ออกเสียง พร้อมกับป้อนแฟนสาว

"พี่คินน์ก็ด้วยค่ะ อ้าม" นันทิชาป้อนกลับ

"มีความสุขจังค่ะ" นันทิชายิ้มหวาน

"ก็เพราะเธอไง พี่ถึงมีความสุข" อัคราวิชญ์หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากให้เธอพลางหยอดมุกแซวไปด้วย

"กินเลย กินให้หมดด้วย" นันทิชาแก้เขินด้วยการยัดของกินเข้าปากเขาแทน

หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งอัคราวิชญ์และนันทิชากลับมาเร่งทำงานต่อได้อีกสักพัก เวลาก็ล่วงเลยมาถึงบ่าย 2 เขาชวนกลับให้เป็นเก็บของก่อนเดินทาง ขณะที่กำลังเก็บของและปิดคอมพิวเตอร์อยู่ ทางโรงแรมที่อเมริกาโทรมาแจ้งมีลูกค้าที่เข้าพักติดเชื้อโควิด-19 ให้ทำการขอคืนเงินผ่านเว็บไซต์ได้เลย เขายืนงงอยู่สักพัก พอตั้งสติได้ จึงจัดการขอคืนเงินตามระเบียบที่ทางโรงแรมแจ้ง และกำลังคิดไม่ตกเกี่ยวกับที่พัก จนสุดท้ายตัดสินใจกลับไปพักที่บ้านพักส่วนตัวตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแทน

ระหว่างทางขับรถพานันทิชาไปเก็บกระเป๋าที่บ้าน อัคราวิชญ์ก็โดนจี้ถามถึงเอกสารที่ต้องเตรียม

"พี่คินน์ เราไม่ต้องเตรียมพรีเซนเทชั่นหรือเอกสารไปเหรอคะ"

"ไม่นะ เป็นการนัดเจอกรณีพิเศษ ไปกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจเฉย ๆ ยังไม่ได้มีโครงการอะไร"

"เหรอ ไปสบาย ๆ ได้เลยนะคะ" นันทิชาถามย้ำอีกครั้งด้วยความกังวล

"อืม ได้เลย" อัคราวิชญ์กุมมือนันทิชา แถมยังเอามือเธอขึ้นมาหอมอีก ทำให้เธอยิ้มอย่างอาย ๆ ออกมา

พอถึงบ้านนันทิชา อัคราวิชญ์ก็ขับรถเข้าไปจอดบริเวณบ้านทาวน์เฮ้าส์สีฟ้าอ่อน 2 ชั้นไม่ใหญ่มากเหมาะกับครอบครัวที่มีคนอยู่ไม่เกิน 4 คน เธอไขกุญแจบ้าน และเดินทะลุขึ้นไปเก็บกระเป๋าที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะได้ประสานงานกับคนขับรถ และแม่บ้านให้เตรียมของใช้ให้พร้อม รวมถึงเซอร์ไพรส์สำคัญที่จะต้องแอบเอาไว้ก่อนด้วย ยังไม่ทันคุยจบ เสียงเธอเรียกให้เขาไปยกกระเป๋า ดังมาจากชั้น 2

"พี่คินน์ พี่คินน์ ช่วยหน่อยค่ะ"

"ครับ กำลังเดินขึ้นไป" อัคราวิชญ์ตะโกนตอบรับ และรีบสรุปรวบคุยจากสายที่ติดอยู่ ก่อนเดินขึ้นบันไดไป

หลังจากที่ช่วยกันขนของขึ้นรถ อัคราวิชญ์ขับรถมุ่งตรงไปยังสนามบินสุวรรณภูมิอย่างรวดเร็ว ในใจก็ภาวนาให้ทุกอย่างเรียบร้อยไปได้สวย ไม่มีอะไรน่ากังวล จนกระทั่งจุดเช็คอิน อยู่ดี ๆ นันทิชาก็เกิดหน้ามืดขึ้นมาเล็กน้อย จนต้องประคองไปนั่ง

"รอตรงนี้นะ เดี๋ยวมา" อัคราวิชญ์วิ่งไปร้านค้าอย่างเร็ว เพื่อหาซื้อน้ำ และยาดม

ระหว่างที่อัคราวิชญ์ถือยาดมให้นันทิชา อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น "ขอบคุณนะคะ" เธอยิ้มบาง ๆ

"ดื่มน้ำไหม" อัคราวิชญ์หยิบน้ำขึ้นมา เปิดฝาและยื่นส่งให้เธอ

พอนันทิชาดื่มน้ำเสร็จ ก็ชวนกลับไปเช็คอินให้เรียบร้อย และพากันไปขึ้นเครื่องบินตามที่สนามบินประกาศ

"ดีนะที่มีอาการตอนอยู่ในสนามบิน" นันทิชาเปรยขึ้นมา

"อืม ว่าแต่ไหวเปล่า ถ้าไม่ไหว รีบบอกพี่เลยนะ" อัคราวิชญ์บีบมือเธอเบา ๆ ให้สบายใจ

"อืม รู้แล้ว ขอบคุณนะคะ จุ๊บ" ตอบเสร็จ นันทิชาก็หอมแก้มอัคราวิชญ์ เขาตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหอมแก้มคืน

'ขณะนี้ถึงที่ท่าอากาศยานนานาชาติเจเนอรัล เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ โลแกน' เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนเครื่องจะแลนดิ้ง ช่วยปลุกให้ทั้งคู่ตื่นจากฝัน

"ถึงแล้วเหรอคะ" นันทิชาพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียพร้อมขยับตัว แต่เปลือกตายังปิดอยู่

"อือ ถึงแล้ว" อัคราวิชญ์ตอบ แล้วก็หอมหน้าผากเธอเบา ๆ เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พอเขาเห็นตาแป๋ว ก็อดใจไม่อยู่ จุ๊บลงไปที่ปากเธอเบา ๆ อย่างเอ็นดู

ทั้งคู่พากันไปรับกระเป๋า และขึ้นรถที่จองไว้ นันทิชาถามถึงจุดหมายปลายทาง แต่อัคราวิชญ์แกล้งหลับต่อ ไม่อยากรีบเฉลย เธอหันมาเห็นอีกทีก็เลิกถามเซ้าซี้ไป จนรถมาจอดเทียบหน้าบ้านหลังหนึ่งที่เธอคุ้นเคย แต่ไม่ได้มานานแล้ว เธอหันไปเขย่าตัวปลุกเขาให้ตื่น น้ำเสียงเธอที่เรียกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ นั่นทำให้ใจเขาพองฟูและมีความสุขมาก จากนั้นคนขับรถช่วยขนกระเป๋าลงมาให้ และมีแม่บ้านมารับช่วงต่อ ทั้ง 2 คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มให้กัน และจูงมือพากันเข้าบ้านอย่างมีความสุข