ดวงดาวสายน้ำ พวกเขาคือพืชที่มีสติปัญญา ตำนานของพวกเขาเล่าว่าพืชนั้นทำคุณแก่ดวงดาวมากมาย แต่สิ่งมีชีวิตอื่นทำร้ายพวกเราแสนสาหัส พระเจ้าจึงประทานพลังลงมาให้ เปลี่ยนให้พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงคุณค่าและก้าวขึ้นมาปกครองดวงดาวแทนเหล่าสัตว์ร้ายที่ทำร้ายดวงดาวของตนเอง นับแต่นั้นมาจักรพรรดิของดวงดาวทุกคนก็ถือนามอาเบล นามที่พระเจ้าประทานให้ และขึ้นเป็นอัลฟ่า เพื่อกำจัดพวกศัตรูพืชให้พ้นทาง ปกคลุมดาวด้วยแสงแดดและสายน้ำให้อุดมสมบูรณ์มาตลอดหลายล้านปี
อาเบลได้สติลืมตาตื่นขึ้นมาจากมิติที่เหนือล้ำ แล้วพบเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า เพราะไม่ใช่แค่ต้นกำเนิดของเขาถูกล่วงรู้โดยคนนอก แต่ร่างกายเขาก็กำลังถูกล่วงรู้ด้วยเช่นกัน
เจ้าศัตรูพืชได้รุกล้ำมาโอบกอดเขาไว้ แทรกฝ่ามือเข้ามาสำรวจไปทั่วอย่างไม่เกรงกลัว
"แก!"
อาเบลคำรามได้แค่นี้ริมฝีปากก็ถูกยึดครอง ราวกับมันกำลังรอให้เขาตื่นเพื่อมารับรู้รสสัมผัสอันนี้ด้วยกัน อาเบลเบิกตา กว้างตื่นตระหนกอย่างที่สุดเพราะไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าทำกับเขาแบบนี้มาก่อน ทั้งยังบดเบียดเข้าไปลึกถึงข้างในดูดดื่มจนเขาแทบคิดว่าตัวเองยังหลงอยู่ในอีกมิติหนึ่ง
เคลิ้มเรอะ? ไม่ใช่! เขาแค่กำลังตกใจสุดขีดจนลืมฆ่ามันทิ้งด้วยพลังอัลฟ่าต่างหาก มันที่เป็นแค่ลูกหลานของวัชพืชชั้นต่ำ พวกแมลงโสโครก สัตว์ร้ายที่กัดกินทำร้ายดวงดาวของเรา มันบังอาจเกินไปแล้ว!
"ก็ตกลงกันแล้วนิครับ ว่าอาเบลจะเปิดให้ผมดูความลับของอาเบล" เสียงกระซิบยั่วเย้าบอก จักรพรรดิไม่คิดรับฟัง ดวงตาทับทิมแดงก่ำ ระเบิดสนามพลังแม่เหล็กออกป้องกันตัว และหมายทำลายล้างวัชพืชให้สูญพันธ์ุ
ตอนนั้นเขาแค่เผลอไป ต่อจากนี้มันจะไม่มีโอกาสนี้อีก ไม่มี!
แต่มันที่รอดตายจากครั้งนั้นมาได้ก็ยังเข้ามาพัวพันไม่ห่าง คอยลวนลามเขาด้วยสายตาและคำพูด จนอาเบลต้องบันทึกพิกัดของดวงดาวมันไว้จากพันธมิตรอันดับหนึ่งเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง เพื่อสั่งยิงทิ้งได้ทุกเมื่อถ้ามันคิดจะล่วงเกินเขาอีก
แต่ก็เป็นโชคดีของดาวเฟลม่าที่ไม่ได้รับโอกาสนั้น เพราะอิกไนท์พ่ายแพ้การต่อสู้ในศึกสัตว์ประหลาดเทเนบริส แคนนิส และได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องมุดหัวไปพักรักษาตัวในดวงดาวของตัวเอง
ท้ายสุดหลังกองกำลังภาคีสามารถทำลายมันได้ อาเบลก็ถือโอกาสอันดีไปหัวเราะเยาะมันที่ดาวเฟลม่า แต่เมื่อพบหน้ามันเขากลับหัวเราะไม่ออก
อิกไนท์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนกองฟาง ดูเขาไม่ได้บาดเจ็บข้างนอก แต่เป็นข้างในต่างหากที่บอบช้ำ ดวงตาสีดำประกายเขียวบอกเขาแบบนั้น เป็นความเจ็บปวดลึกล้ำที่ไม่มีใครเอื้อมเข้าไปถึง
"สัตว์ประหลาดนั่นมันอะไร แกรู้จักมันหรือ?" อาเบลเริ่มคำถามแรกอย่างกดดันและตรงจุด ทำเอาอิกไนท์ยิ้มแห้งๆ ใบหน้าที่เหมือนแค่พยายามยิ้มให้เหมือนปกติทำให้อาเบลยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
"ผมก็ไม่แน่ใจ"
"แต่แกกำลังเสียใจที่มันตาย?" เขาเค้นถามต่อ
"เปล่า อาเบล ผมแค่..." อิกไนท์ที่ร่าเริงกวนประสาทจนน่าฆ่าทิ้งกลายเป็นอะไรไปแล้ว? อาเบลเดือดขึ้นเรื่อยๆโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาคว้าหมับที่ไหล่สองข้างของไนท์
"ตอบมาไนท์ มันคืออะไร..."
ไนท์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ "ผมไม่รู้เหมือนกันอาเบล"
ไม่รู้ในความหมายที่ว่า ไม่รู้จะอธิบายต่อเขาอย่างไร? อาเบลหรี่ตามองขวาง รู้สึกได้ชัดเจนว่าสิ่งนั้นสำคัญกับไนท์ในแง่ใดแง่หนึ่ง
"มันสำคัญกับไนท์ยังไง"
"…" อิกไนท์ไม่มีคำตอบให้ มันถอนหายใจแล้วเอนศีรษะมาพิงไหล่เขา
"ผมขอพักสักครู่นะ" เป็นการบอกกลายๆให้เขาเลิกพยายามถามคำถามที่ไม่มีคำตอบเหล่านั้นสักที สีหน้ามันซีดเซียวเหมือนคนตายไปแล้ว และที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นแค่เปลือกนอกที่ไร้วิญญาณ
อาเบลรู้ว่ามันต้องการคนปลอบ แต่จักรพรรดิคนนี้ก็ปลอบใครไม่เป็นทั้งนั้น และก็ไม่ชินกับการเป็นหมอนหนุนให้ใครด้วย
อิกไนท์หลับตานิ่งเหมือนว่าหลับไป แต่คิ้วสองข้างกลับยังขมวดแน่น คิ้วน่ารำคาญที่เคยแต่หยักขึ้นลงอย่างกวนประสาท คนอย่างมันกังวลและคิดมากกับเรื่องอะไรเป็นด้วยหรือ?
อาเบลลังเลกระวนกระวายอย่างประหลาดครู่ใหญ่ เพราะเขาปลอบใครไม่เป็น เขาจำได้ว่าตั้งแต่กำเนิดขึ้นมาเป็นอัลฟ่าฝึกหัด เขาไม่เคยเจ็บป่วย แต่ครั้งแรกที่แข่งแพ้พวกพี่ๆ เขาเคยร้องไห้อยู่ครั้งหนึ่ง และเบต้าหญิงชราคนหนึ่งที่คอยดูแลใกล้ชิด ก็จุมพิตเบาๆที่หน้าผาก การกระทำที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น น่าแปลกที่สามารถทำให้เขาหยุดร้องไห้ได้ เขารู้สึกกระตือรือร้นและความเจ็บปวดก็หายไปอย่างอัศจรรย์
แต่เมื่อจักรพรรดิรู้เข้าก็ไม่พอใจอย่างยิ่งจึงลบ เบต้าคนนั้นไปตลอดกาล คนที่ทำให้เขาอ่อนแอล้วนถูกกำจัดไปหมดสิ้น นับจากนั้นมา การสลายหายไปก็กลายเป็นเรื่องปกติที่อาเบลชาชิน
และวันนี้เขาก็ลบสัตว์ประหลาดนั่นไปแล้ว แต่ไนท์ก็ยังไม่ดีขึ้น แปลว่าต้องเป็นวิธีอื่นงั้นเรอะ? อาเบลลังเลเล็กน้อยก็ตัดสินใจลองทำอย่างที่เบต้าคนนั้นเคยทำกับเขา
และมันก็ได้ผล...
ไนท์กระเด้งลุกขึ้นนั่งทันที สีหน้าเขาดูตื่นตะลึงลูบหน้าผากตัวเอง ดวงตาสีดำประกายมรกตกรอกกลิ้งมองมาแทบถลนเหมือนจะถามว่าเขาทำอะไรลงไป
"บนดาวของเรานี่ถือว่าเป็นการอวยพรให้คนป่วยหายจากโรคร้าย"
อาเบลรีบตอบเร็วรัวจนลิ้นเกือบจะพันกัน นี่เขาร้อนรนแก้ตัวเพื่อ?
ไนท์กะพริบตาปริบๆ เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างฉงน แล้วมุมปากก็โค้งขึ้นน้อยๆ
"เป็นการอวยพรเรอะครับ ถ้างั้น..."
แล้วมันก็พุ่งเข้ามาถือวิสาสะประทับริมฝีปากที่ลำคอเขา อาเบลสะดุ้งสุดตัว ฝ่ามือกระตุกขึ้นฟาดใบหน้าที่ล่วงเกินเขาให้กระเด็นติดผนัง
"อาเบลใจเย็นๆสิ อันนี้บนดาวเฟลม่าก็ถือเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับความหวังดีนะครับ"
ขอบคุณบ้านแกเรอะ...ใบหน้าเขาแดงก่ำ สองมือกุมลำคอด้านนั้นไว้ อาเบลพยายามจะลบรอยเขี้ยวคมๆจางๆของสัตว์ร้ายออกไปให้หมดทันที ถ้ามีใครมาเห็นเข้าล่ะก็...ประธานภาคีคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
ไนท์ลูบแก้มแดงๆของตัวเอง แล้วหัวเราะไม่หยุดกับความพยายามจะกลบเกลื่อนร่องรอยของเขา จนอาเบลต้องด่าให้หุบปากหลายครั้ง มันถึงจะเงียบลงแล้วแย้มยิ้มที่เป็นธรรมชาติเหมือนเดิมมาให้
"ตอนนี้อาเบลสำคัญสำหรับผมที่สุดแล้ว ผมดีใจนะที่อาเบลเป็นห่วงผมขนาดนี้"
เฮอะ อาเบลแค่นเสียง ดวงตาทับทิมจ้องอย่างทิ่มแทงคนไร้มารยาทหวังให้มันตายคาที่
"แล้วอาเบลอยากรู้มั้ยว่าเราแสดงความจริงใจยังไง" อาเบลหรี่ตามองอย่างระแวง แต่มันก็ยังส่งยิ้มที่เหมือนไร้พิษภัยมาให้
"แตะหน้าผากกับผมสิ แล้วอาเบลจะรู้ทุกเรื่องที่อาเบลอยากรู้เกี่ยวกับผม"
คำพูดนี้เชิญชวนมาก เพราะเขามีเรื่องที่อยากได้คำตอบอยู่มากมายจากไนท์ ทั้งเรื่องเทเนบริส แคนนิส และตั้งแต่แรกที่มันมาเลือกเขา อาเบลรู้ว่ามันไม่เคยบอกเหตุผลที่แท้จริง
จักรพรรดิครุ่นคิดครู่นึง ก็ตัดสินใจโน้มหน้าผากลงมาแตะเบาๆ แค่หน้าผากเท่านั้น
สายธารความคิดหนึ่งก็ไหลเข้ามา...
มันก็เหมือนการอ่านความคิดเหล่าผู้ใต้บัญชาผ่านทางสายตา ตอนนี้ความรู้สึกนึกคิดของอิกไนท์ได้ตีแผ่ออกมา ค่อยๆร่างที่แท้จริงให้เขารับรู้ทั้งหมด แต่มันกลับไม่มีสิ่งที่เขาถาม มีแต่สิ่งที่เขาไม่อยากรู้ทะลักทลายเข้ามา...
คือความรู้สึกของอิกไนท์ที่มีต่อเขา
อาเบลสีหน้าแดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ ไม่เคยมีใครแสดงความคิดอ่านเช่นนี้ให้เขามาก่อน อัลฟ่าอันดับสี่เคยแต่ต้องดิ้นรนทำลายล้าง ไม่เคยได้รู้จักความรู้สึกอื่น เขาไม่มีพ่อแม่ ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบโดยองค์จักรพรรดิพร้อมกับพี่น้องอีกสี่คนที่มีรหัสพันธุกรรมแตกต่างกัน เพื่อแข่งขันกันเป็นใหญ่ นอกเหนือจากนั้น...ล้วนว่างเปล่า
ยามที่เขานั่งบนบัลลังก์ทุกสิ่งล้วนเยือกเย็น แต่ตอนนี้แค่กองฟางสกปรกก็ยังอบอุ่นอย่างน่าประหลาด ความคิดที่เชื่อมโยงถึงกันให้ความนุ่มนวลและอ่อนหวาน
ดั่งถูกบอกรักโดยไร้คำพูด
วินาทีนั้นจากแค่หน้าผากที่แตะกัน กลายเป็นริมฝีปากที่เริ่มสัมผัสรับรู้กันและกัน อย่างแผ่วเบาและค่อยๆหนักหน่วงขึ้น
จากนั้นรสสัมผัสก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆไล่ลงไปเป็นลำดับ อาเบลคิดว่าตัวเขาอาจจะเลอะเลือนไปแล้วที่ปล่อยให้เจ้าศัตรูพืชบุกรุกเข้ามา วัชพืชร้ายกาจชอนไชไปตามเนื้อไม้อ่อนนิ่มข้างในจนถึงเกือบถึงท่อน้ำเลี้ยงในปมราก
แต่ก็แค่เกือบเท่านั้น! เพราะจริงๆแล้วเขาไม่ได้เลอะเลือน เขาทำไปด้วยเหตุผล!
[ D E S C A R M E N : ทำงาน ] passcode unlock #######
ความลับสำคัญอันหนึ่งของสหพันธ์ดาว ABELL ที่จักรพรรดิทุกรุ่นต้องปวดหัวมาตลอด ก็คือ หลังศึกของแม็กซิมัสจบลง องค์จักรพรรดิอาเบลรุ่นแรกได้ลงสลักที่ 'เอซิสอาย' และแยกเตาพลังงาน 'เดสคาร์เมน' ที่เชื่อมต่อพลังงานจากศูนย์กลางของดาราจักรออกไป ซึ่งถ้ามีมันจะช่วยเพิ่มระยะยิง และคงพลังงานให้เท่าเดิมตลอดการเดินทางข้ามจักรวาลของลำแสง 'เอซิสอาย' ได้
ซึ่ง 'เดสคาร์เมน' จะทำงานเมื่อมีรหัสอีกชุดหนึ่ง รหัสที่รุ่นแรกระบุไว้ว่าจะปรากฎขึ้นเมื่อจักรพรรดิมีควีนของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่อัลฟ่าเลือกด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
อาเบลคิดว่าจักรพรรดิองค์แรกก็แค่โง่เง่า และรู้สึกผิดเท่านั้น จึงไม่อยากให้คนอื่นทำผิดซ้ำกับตัวเองเหมือนตอนที่มันยิงดาวออลเรีย สรุปแล้วมันก็เป็นแค่ไอ้โง่ที่สั่งอาวุธด้วยอารมณ์ แล้วยังมีหน้ามาอบรมคนอื่นอีก ตอนนี้เขามีเหตุผล ไม่ได้สั่งการอาวุธอันตรายด้วยอารมณ์อย่างมัน
อาเบลและรุ่นต่อๆมาล้วนคิดหาวิธีเลี่ยงเงื่อนไขนี้ พวกเขาทดลองเลือกควีนจากเบต้าหรือโอเมก้า ลองทำข้อตกลงกับอัลฟ่าพันธมิตร แต่ก็ไม่มีวิธีไหนสำเร็จ รหัสไม่ปรากฎออกมา...เหมือนกับตอนนี้
'เดสคาร์เมน' พร้อมทำงานแล้ว
ดูเหมือนว่าวิธีเดียวที่จะได้รหัสมา คือความจริงใจจากทั้งสองฝ่าย ลึกๆแล้วอาเบลกลับมีความโล่งใจผุดขึ้นกลางใจ เพราะนี่มันแปลว่าอิกไนท์จริงใจกับเขาสินะ และบางส่วนของเขาก็คงยอมรับมันด้วยเหมือนกัน สัญญาณของเดสคาร์เมนที่ปรากฎขึ้นคือเครื่องยืนยัน
แต่ปัญหาสุดท้ายที่อาเบลต้องผ่านไปให้ได้ก็คือ รุ่นแรกได้ระบุว่ารหัสจะปรากฎในหัวของคู่ครองเท่านั้น ซึ่งก็คือไอ้บ้านี่ สรุปคือเขาต้องบีบคอเอารหัสมาจากมันเดี๋ยวนี้
เพราะถ้าเขาใช้ได้ทั้ง 'เอซิสอาย' และ 'เดสคาร์เมน' จะอีกกี่ปีกสันติภาพก็ไม่คณนามือแน่นอน วันนี้จึงเป็นแค่การเสียเบี้ยเพื่อคว้าขุน แด่ชัยชนะในวันข้างหน้า
อาเบลถอยไปตั้งหลัก แล้วกลับมาเลียบๆเคียงๆถาม
"ไนท์ ตอนนั้นมีข้อความแปลกๆดังขึ้นมาในหัวมั้ย"
"ไม่แน่ใจหรอกนะ เสียงอาเบลมันดังกลบไปหมดเลย รื่นหูสุดๆเลยล่ะ"
ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่มั้ย ไอ้วัชพืชนี่
อาเบลคำรามข่มขู่ ตัดสินใจเลิกถามดีๆ แล้วจับหน้าผากมันมาชนกับเขา เพื่อดึงเอาความทรงจำในช่วงนั้นของมันออกมา เพราะรหัสแสนสำคัญคงปรากฎขึ้นในคืนนั้น แม้ว่าการดูมันอีกครั้งจะทำให้เขาเหมือนกำลังเสียเบี้ยอีกครั้งก็ตาม
"นี่มันเพิ่งเช้านะอาเบล รอคืนนี้ก่อนมั้ย" มันเข้าใจไปนู่น สีหน้ายิ้มระรื่นของมันทำอาเบลหงุดหงิดจนอยากบีบคอแรงๆ
"อยู่เฉยๆสักพักได้มั้ย"
ไนท์ยิ้มเหมือนรู้ทัน "เหมือนอาเบลอยากจะได้บางอย่างจากผมนะ งั้นแลกเปลี่ยนกันมั้ย"
แลกเปลี่ยนอะไรอีก? คิดว่าเมื่อคืนเขายอมลงให้เพราะอะไรล่ะ!
"ได้ยินมาว่าดาวของอาเบลอุดมสมบูรณ์ด้วยสายน้ำ ผมขอสักคำได้มั้ย?"
ตายซะ
อาเบลพยายามรั้งตัวเองไว้อย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เผลอไปทำลายรหัสในหัวมัน แต่ก็จำต้องถอนตัวเพราะทนถูกล่วงเกินไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะแม้เพียงแค่ความคิด มันก็ยังคิดได้ต่ำทรามเสียจนเขารับไม่ได้
เขาจะปล่อยรหัสนั่นไว้ก่อนก็ได้ แต่เมื่อไรที่มันเผลอ เขาจะกระชากมันออกมาจากหัวกลวงๆของมันแน่นอน
ตอนนั้นอาเบลปล่อยรหัสแสนสำคัญให้หลุดมือไป ส่วนหนึ่งเพราะเขายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ 'เอซิสอาย' ในเวลานั้น และอิกไนท์ก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อมันชิงกำเนิดใหม่ และความทรงจำเดิมยังไม่กลับมา ทำให้อาเบลต้องทำเป็นเสียสละโดยใช้ดาวบริวารของตัวเองเป็นเป้า เพราะระยะการยิงของ 'เอซิสอาย'จำกัด และเพื่อกลบเสียงครหาว่า 'เอซิสอาย' ของจักรพรรดิอาเบลเป็นแค่ตำนาน
แต่วันนี้จะมาบอกว่าจำไม่ได้ คิดว่าเขาจะยอมฟังข้ออ้างแบบนี้เรอะ?
"แกไม่ใช่ไนท์" แค่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกไป มันก็ตกใจจนหน้าซีดแล้ว
เพราะถ้าแกเป็นไนท์ แกต้องจำได้สิ แกสัญญาไว้แล้ว ใครสำคัญที่สุด ตอบมา!
"อาเบลหยุดก่อน!"
ลำแสงยิงออกไปแล้ว 'เอซิสอาย'คำรามเพียงหนึ่งครั้ง ดวงดาวก็แตกเป็นฝุ่นเนบิวล่า
แต่แววตาที่ไนท์มองมาทำให้เขาผู้ไม่เคยหวาดกลัว...สั่นไหวเป็นครั้งแรก
ความรู้สึกของรุ่นแรกที่เขาไม่คิดว่าจะเข้าใจ ก็เพิ่งเริ่มจะเข้าใจในวันนี้
กลัวที่จะสูญเสียไป ทั้งอย่างนั้นกลับคว้าเอาไว้ข้างกายไม่ได้
ไนท์ ทำไมล่ะ?
"อาเบล มันยังไม่ตาย!" ชาร์ลร้องบอก
หากเพ่งสายตามองเข้าไปในฝุ่นผงเศษซากดาวเคราะห์ดีๆ จะเห็นว่ามีบางสิ่งยังขยับเขยื้อนดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ สัตว์ประหลาดนั่นเสียเปลือกนอกของตัวมันไปแล้วกลายเป็นก้อนสีดำที่กำลังพยายามหนี เทเนบริส แคนนิสมีความอึดอย่างเหลือเชื่อ
"ล้อมไว้ด้วยสนามพลัง อย่าให้มันหนีไปได้"
ชาร์ลและอัลฟ่าคนอื่นเข้าไปล้อมจับไว้ ตอนนี้มันสิ้นฤทธิ์แล้ว กรงขังสนามแม่เหล็กน่าจะเพียงพอกักมันไว้ได้
อาเบลมองด้วยความพอใจกับผลงาน แต่เมื่อเขาหันกลับมาแล้วไม่เห็นเงาของเจ้าคนอ่อนหัดและเวอร์ชูว ความพอใจก็เปลี่ยนเป็นความพิโรธ
อาเบลกำมือแน่น เขาปลีกตัวไปตอนนี้ไม่ได้ แต่เมื่อไรที่เขาจัดการภารกิจตรงนี้เสร็จ เขาจะตามไปจัดการมันแน่ ให้มันรู้ว่า...อิกไนท์คือของของเขา
ผู้ใด...ไม่ว่าจะเคยสำคัญกับไนท์แค่ไหน ก็แตะต้องไม่ได้!