ฉันมันก็แค่พนักงานธรรมดาที่เงินเดือนพอที่จะเลี้ยงปากท้องภรรยากับลูกสาวที่น่ารักของฉันเท่านั้น!!
"หัวหน้าปีนี้เป็นเพราะฝีมือของคุณแท้ๆ ทำให้บริษัทมีกำไลเข้ามามหาศาลเลย"
"งั้นหรอ? ฉันก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น"
"ในเมื่อโอกาสดีๆแบบนี้ พวกเราไปดื่มฉลองกันไหมครับ?"
"โทษที...! พอดีลูกสาวกับภรรยาของฉันรอให้ฉันกลับไปทานข้าวด้วยกัน"
"นานๆทีไม่เห็นจะเป็นไรเลยครับ พวกเขาไม่ว่าอะไรหรอก"
"ฉันไม่ยอมให้ลูกสาวฉันเห็นสภาพที่ตนเองเมาเดินเซ พร้อมกลิ่นเหล้าที่ฟุ้งตามตัวหรอก"
"ครับ....! งั้นเอาไว้คราวหน้าแล้วกัน"
ตัวฉันเองนั้นก็ไม่ค่อยได้ไปดื่มกับพวกที่ทำงานบ่อยนักเมื่อเลิกงานฉันมักจะรีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที ทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นั่งฟังลูกสาวพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างตื่นเต้น ขอมีชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอ
" ป๊ะป๋า...ช่วงนี้พวกเราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย"
"หยุดนะเบล! อย่าพึ่งกวนคุณพ่อได้ไหม?"
"ก็หนูอยากไปเที่ยวด้วยกันกับป๊ะป๋าและมาหม๊านี่"
"ไม่เอาน่า คุณพ่อเองก็ทำงานมาเหนื่อยๆอย่ามาขออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สิ!"
"เพื่อนในห้องของหนูมักจะเล่าว่าพ่อของเธอมักจะพาไปเที่ยวสวนสนุกกันแบบครอบครัวอยู่บ่อยๆ หนูเองก็อยากไปบ้าง"
"เอานี้เป็นไง ในวันหยุดที่จะถึงนี้พวกเราไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกันไหม?"
"เย้!! สวนสนุก!! ได้ไปเที่ยวสวนสนุกกับป๊ะป๋าและมาหม๊าแล้ว..."
"มันจะดีหรือค่ะคุณ? ที่ตามใจเบลอย่างนี้ ราคาตั๋วมันค่อนข้างเอาเรื่องเลยไม่ใช่หรอ?"
"พอดีลูกค้าในครั้งนี้เหมือนจะเป็นคนใหญ่คนโตในนั้นด้วย เลยว่าจะขอร้องเรื่องนั้นดู ไหนแล้วก็อยากจะไปเที่ยวด้วยกันทั้งสามคนนี่"
ในวันนั้นฉันเดินกลับบ้านอย่างร่าเริง ยิ้มจนแก้มปริ ในมือตอนนี้ตั๋วเข้าสวนสนุกอยู่ พวกเราจะได้ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวสักที เบลจะดีใจหรือเปล่านะ..?
กริ๊งงงงงงงงงงง~!!!!
เข่าฉันเทบทรุดเมื่อได้ยินเสียงที่อยู่ปลายสาย ภรรยากับลูกสาวของฉันพวกเธอประสบอุบัติเหตุขณะที่พวกเธอกำลังที่จะข้ามทางม้าลายได้มีรถหรูพุ่งเข้ามาชนด้วยความเร็วสูง ร่างกายทั้งสองกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลทั้งคู่อาการสาหัส ฉันรีบตรงดิ่งไปยังที่โรงพยาบาลนั้นทันที.....
หมอนั้นได้ทำการยื้อชีวิตเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ท้ายที่สุดภรรยาของฉัน เธอได้เสียชีวิตลง เนื่องจากในตอนที่เกิดเหตุนั้นเธอได้กอดลูกสาวเอาไว้แน่น แต่ลูกสาวนั้นอาการโคม่าไม่ได้สติ นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา
หลังจากเกิดเหตุการณนั้นทางตำรวจได้เข้ามาพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมๆกับพ่อแม่ของผู้ที่ก่อเหตุ พวกเขายื่นเงินก้อนหนึ่งที่หนามากมาให้ฉัน
"ช่วยรับไปได้ไหมครับ? ถือซะว่าเป็นค่าชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น แล้วจะได้จบๆกัน" ฉันโกรธมากเลยจับที่คอเสื้อแล้วกระชากเข้ามาอย่างแรง
"ไอ้เงินแค่นี้ฉันจะหาเท่าไหร่ก็ได้ตอนไหนก็ได้ แต่ฉันจะลากคอไอ้หมอนั่นมาขึ้นศาลแล้วรับโทษอย่างสาสม"
ฉันประกาศสงครามโดยการเอาเงินเก็บเกือบทั้งหมดออกมาจ้างทนายที่มีความเก่งและมีชื่อเสียงมากที่สุด "ผมจะทำให้ดีที่สุดเองไม่ต้องห่วงครับ ผมจะลากคอคนที่กระทำผิดมาเข้าคุกให้ได้"
ท้ายที่สุดฉันแพ้อย่างราบคราบโดยที่ตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะว่าตนเองไปไม่ทันเวลาเนื่องจากรถติดเป็นระยะเวลานาน ถึงแม้ว่าฉันจะลงจากรถแล้ววิ่งไปอย่างสุดแรงแล้วก็เถอะแต่มันก็ไม่ทันเวลา ฉันทำได้แต่นั่งเศร้าโทษตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่ที่จะเอาพวกคนเหล่านั้นมาลงโทษตามกฎหมายได้
แต่ทุกอย่างยังต้องดำเนินต่อไป ทุกวันหลังจากที่ฉันเลิกจากการทำงาน ฉันมักจะไปเยี่ยมลูกสาวของฉันอยู่เสมอ นั่งเฝ้าเธอพูดคุยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างใจจดใจจ่อ
"นี่! วันนี้พ่อได้ลองทำอาหารเองแล้วนะ กินแทบไม่ได้เลย แต่ว่าพ่อจะพยายามลูกเองก็พยายามเข้านะ ไว้เวลาลูกตื่นขึ้นมาพ่อจะได้เตรียมอาหารอร่อยไว้ให้" ทำแบบนี้อยู่เสมอ "วันนี้พ่อได้เลื่อนขั้นด้วยแหละ! เป็นไง? ภูมิใจในพ่อคนนี้บ้างไหม?" เหมือนคนบ้าไม่มีผิด "เพื่อนๆของลูกเขาส่งจดหมายฝากมาถึงลูกด้วยหละ พวกเขาขอให้ลูกหายไวๆนะ" จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่?
"วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ลูกอยากจะได้อะไรเป็นของขวัญบ้างไหม?" รู้ไหม? มันไร้ความหมาย
"บอกพ่อที...พ่อควรจะทำ...อย่างไรต่อไปดี?" นั่งร้องไห้ฟูมฟายไปก็เท่านั้นมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก.....
ฉันเดินราวกับคนที่ตายไปแล้ว ไร้ชีวิตชีวา เริ่มมองทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีสีสันเหมือนอย่างเคย ถามกับตัวเองเรื่อยๆเป็นแบบนี้ดีแล้วอย่างนั้นหรอ? แล้วฉันจะทำอะไรให้พวกเขาได้บ้าง เอามือล้วงไปในกระเป๋าพบตั๋วเข้าสวนสนุกที่ยับยู่ยี่ ที่สัญญาไว้ก็ไม่ได้ทำให้ ฉันนี่มันเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้เลย
"คุณเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมต่างหาก" เสียงชายปริศนาที่พูดขึ้นมาพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ในนั้นเป็นเบอร์โทรติดต่อของเขา "ถ้าหากคุณปรารถนาที่จะทำเพื่อลูกสาวคุณละก็ โปรดติดต่อผมมา"
ตอนนั้นฉันไม่ลังเลเลย ไม่จำเป็นต้องคิดแต่อย่างใด รีบคว้ามือชายคนนั้นทันที "แล้วผมต้องทำยังไง?"
ชายคนนั้นยิ้มกลับมาแล้วพาฉันไปยังที่ๆหนึ่ง แล้วเอาภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแค่ตำรวจที่เห็นด้วย นักข่าว,ผู้พิพากษาและทนายที่ฉันจ้างด้วยก็เช่นกัน พวกเขาโดนคนเหล่านั้นซื้อด้วยเงิน เพื่อให้พวกเขาชนะในครั้งนั้น ตอนนั้นฉันคิในใจถ้าเอาหลักฐานพวกนี้ไปเปิดโปงสู่สังคมละก็... แต่ชายคนนั้นก็พูดว่า "กฎหมายทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอกครับ จนกว่าพวกมันจะรู้ซึ้งด้วยตัวเอง พวกมันไม่มีทางเข้าใจ" แล้วเขาก็ยื่นปืนกระบอกหนึ่งมาให้ พร้อมกับกระซิบข้างๆหู "ทำลายสิ่งที่สำคัญของพวกมันทั้งหมด ให้พวกมันได้รับรู้ความเจ็บปวดของคุณซะ"
"แต่ว่า..."
"ในเมื่อกฎหมายมันไม่ได้เท่าเทียม อีกทั้งคุณเองก็ไม่มีทางเลือกด้วยนี่ครับ นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น ถ้าคุณตกลง ผมจะช่วยคุณเอง จนกว่าการล้างแค้นของคุณจะจบลง"
ฉันตอบตกลงคำเชิญชวนของปีศาจนั้นไปแล้วทำการล้างบางพวกมันทั้งหมด ให้พวกมันได้ทรมาน เห็นคนที่ตนเองรักตายต่อหน้าต่อตา ให้มันได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด พวกมันทั้งหมด!!! พวกมันทั้งหมด!!!...ทั้งหมด!!!...ทั้งหมด!!! ต้องชดใช้...
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันได้ทำการฆ่าคนที่มีส่วนเอี่ยวหรือเห็นด้วยการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภรรยาและลูกของฉัน แม้แต่ตัวเองนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ได้กำจัดไอ้สวะแบบนี้ไปกี่คนแล้ว ทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งฉันได้ทำพลาดไป....
"ได้โปรด....อย่าฆ่าลูกผมเลย จะเอาอะไรไปก็ได้แต่ขอแค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว"
"ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งของ แต่ที่ฉันต้องการคือเห็นพวกแกเจ็บปวด" ฉันเดินเข้าไปหาเขาเอาผ้าปิดตาไว้ เขาพยายามร้องอ้อนวอนร้องไห้ฟูมฟาย แต่ฉันก็ไม่สนแล้วเดินเข้าไปหาเด็งกคนนั้นพร้อมคีมปากนกแก้ว เด็กน้อยคนนั้นเองที่ถูกมัดปิดปากอยู่ ฉันค่อยคลายเชือกออกอย่างใจเย็นแล้วพาเด็กนั่งลงที่เก้าอี้และเอามือพาดบนโต๊ะ ขณะที่กำลังจะถอนเล็บนั้นเด็ก ในตอนนั้นฉันได้มองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ได้เห็นสภาพตัวเองที่ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าผมที่รกรุงรัง หนังตาหมองคล้ำ ร่างกายก็ซูบผอม ฉันหยุดการกระทำนั้นลงและปล่อยให้พวกเขารอดชีวิตกลับไป
ฉันเดินไปในเมืองอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะทำต่อไปคืออะไร? ฉันได้ลืมอะไรบางอย่างไปหรือป่าวนะ?ในตอนนั้นเองก็มีตำรวจเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง พร้อมกับไอ้ทนายเฮงซวยที่ยืนข้างหน้าสะเหร่อ ฉันโดนควบคุมตัวและถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ในตอนที่ฉันถูกคุมขังอยู่นั้นก็นึกขึ้นมาได้ ถ้าตัวฉันมีอำนาจมากกว่านี้ละก็ ฉันก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ แล้วโอกาสก็มาถึง....
ในเวลา ณ ปัจจุบัน บันตื่นขึ้นมาพบตัวเองถูกล่ามกับเสาไฟข้างถนน โดยที่มีคนสามคนพูดคุยเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ตรงหน้าเขา
"แล้วเราจะทำอย่างไรกับเขาดี?" อลิซถามกับจินและเฮนรี่
"ฉันไม่รู้ แล้วนายละ?" เฮนรี่เองก็ไม่รูเลยถามจิน
"มันมีเรื่องที่ฉันยังคาใจอยู่นะ ว่าจะถามให้มันรู้เรื่อง แล้วค่อยพาเขาไปที่ลี้ภัย" ในระหว่างนั้นเขาสังเกตว่าบันได้สติแล้วเลยย่อตัวลงข้างหน้าเขา "โอ้! ได้สติแล้วสินะ?"
แต่ยังไม่ทันไรบันก็พูดขัดขึ้นมาด้วยอาการโมโห "ฆ่าฉันเลย!" เขาพูดด้วยแววตาที่เอาจริงและแน่วแน่
"ไม่...! ไม่...! อย่าพึ่ง-"
"ฆ่าฉันเลย! ฆ่าฉันซะสิ!"
"เดี๋ย-"
"ฆ่าฉัน...เลยซะสิ!!!"
ไม่ว่าจินจะพยายามถามอะไรไปบันก็ดูเหมือนจะไม่ได้ฟังเขาเลย บันได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงกระโซกโหกหากให้ฆ่าตัวเขาซะ จินเริ่มทดไม่ไหวเลยตบหน้าบันอย่างแรงหนึ่งครั้ง
เพียะ!!..... บันที่โดนตบนั้นกลับทวีความรุนแรงด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนต่างๆนาๆ
เพียะ!! ....
"พวกแกมันก็แค่-"
เพียะ...!เพียะ...!
"หนอย...ไอ้เด็ก-"
เพียะ....! เพียะ....! เพียะ....! เพียะ.....! เพียะ.....! จินกระหน่ำตบนับครั้งไม่ถ้วนในตอนที่บันนั้นพยายามจะพูด เขาก็จะโดนจินตบทุกครั้ง จินตบไปเรื่อยๆจนแก้มทั้งสองข้างของบันบวมเป่ง มีรอยฟกช้ำ ตามใบหน้า จนท้ายที่สุดมันก็ได้ทำให้บันหยุดพูดลง
"...."
ในตอนที่จินกำลังตบบันอยู่นั้นอลิซก็ได้ถามกับเฮนรี่อย่างกล้าๆกลัวๆ "ปล่อยให้เพื่อนของนายทำแบบนั้น เดี๋ยวหมอนั่นก็ได้ตายหรอก"
เฮนรี่พูดอย่างใจเย็นกลับมา "ไม่หรอก เขาแทบไม่ได้ออกแรงเลยแม้แต่น้อย"
"มันจะจริงหรอ? ถ้าทำแบบนั้นกับฉันมีหวังได้ตายแน่!"
"คนอย่างเขาใจดีกว่าผมอีกนะ เขาไม่กล้าลงมือกับคุณแบบเต็มแรงหรอก" เฮนรี่ยิ้มกลับมาอย่างสดใสทำให้อลิซยอมเชื่อที่เขาพูด
ตอนนี้ในทุกครั้งที่จินทำท่าทางจะตบ บันนั้นได้หลับตาลงแล้วพยายามเกร็งหน้าเหมือนกลัวที่จะโดน แล้วจินก็ได้ลดมือลงพูดกับบันไปว่า
"คุณนี่เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยนะ...!"
แค่คำพูดนั้นทำให้บันถึงกับอารมณ์ขึ้น ด้วยความโกรธที่จู่ๆก็มีใครน่าไหนก็ไม่รู้เข้ามาพูดแบบนี้กับเขา "คนอย่างแกจะไปเข้าใจอะไร? ความรู้สึกที่ได้สูญเสียคนที่ตนรักโดยที่ตนเองไม่
สามารถทำอะไรได้ ความรู้สึกที่ตนเองไร้ทั้งอำนาจและพลังแกเคยได้รู้สึกไหม? คนอย่างแกที่ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร คนแบบแกนะเคยเสียใจจนน้ำตานั้นแทบไม่เหลือให้ไหลแล้วไหม?" บันร้องไห้ออกมาเสียงดังแต่ในนั้นไม่มีน้ำตาไหลเลยท่ามกลางคนสามคนที่ยืนมองอยู่
จินแตะไปที่ไหล่เบาๆ "ไม่รู้หรอกและก็ไม่ได้อยากจะรับรู้ด้วย แต่ที่ผมสามารถทำได้ตอนนี้คือการเอาพ่อของเด็กที่เคยให้คำสัญญาไว้กลับมา... ครั้งสุดท้ายที่คุณได้ไปเยี่ยมลูกสาวคุณมันเมื่อไหร่กัน?...."
"เบล? นี่ฉันมัวแต่ทำอะไรอยู่? ทั้งที่....ทั้งที่ ...ทำไม? ฉันถึงเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้!"
"ลูกสาวของคุณคงจะเหงาน่าดุเลยนะ ถ้าเธอนั้นไม่พบพ่อของเธออยู่ข้างๆ"
อลิซที่เดินเข้ามาเขย่าไหล่ของจินเบาถามด้วยความสงสัย "หมายความว่าไง? เขาเป็นฆาตกรที่โหดร้ายจริงงั้นหรอ? จากที่เห็นไม่เป็นอย่างนั้นเลย..."
เฮนรี่เลยตอบแทน "เขาก็เป็นแค่ชายที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อการล้างแค้น"
อลิซนั่นก็ได้แต่ทำหน้างงๆกับที่พวกเขาพูด "อะไร? เหมือนฉันจะไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียวเลย หรือว่าฉันแค่คนโง่ที่บังเอิญผ่านทางมา"
เฮนรี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสมเพช "เฮ้อ~ นี่นายจะเอาคนแบบนี้มาเป็นพวกจริงๆงั้นหรอ?ดูพึ่งไม่ค่อยได้อย่างไรไม่รู้"
"เอาเถอะน่า...พลังของเธอค่อนข้างมีประโยชน์ อีกทั้งถ้ามีคนเพิ่มมันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว"
แล้วก็หันกลับมาถามบันอีกรอบ "คุณละ? จะเอาอย่างไร?"
"ฉันฆ่าคนไปมาก ถึงแม้จะรอดจากนี้แต่ก็ต้องโดนโทษฐานประหารชีวิตอยู่ดีคงไม่ได้ไปพบกับเธอแล้วแหละ" บันพยายามฝืนยิ้มออกมา
อลิซพูดออกมาด้วยท่าทีกระวนกระวาย "แล้วพวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรอ?"
"ทำไมเธอเป็นตัวเธอเองละที่ดูร้อนรนแบบนั้น?"เฮนรี่สงสัยที่เห็นอลิซเป็นแบบนั้น
"ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่ว่าถ้าเป็นฉันเองโดนแบบนั้นก็ทำแบบเดียวกันละมั้ง?"
บันหัวเราะออกมาเสียงดงก่อนจะพูดกับอลิซว่า "คนอย่างพวกเราไม่มีทางเลือกแบบนั้นหรอก ว่าจะทำหรือไม่ทำ มันต้องทำอยู่แล้วอย่างแน่นอน การที่พวกมันได้รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดก่อนที่จะตาย ซึ่งฉันก็ได้เลือกเส้นทางนั้นโดยที่ตนเองหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันไป"
"หลังจากนี้คุณเองอยากจะทำอะไร?" จินพูดอย่างใจเย็น
"ยังไงฉันก็ต้องตายอยู่แล้ว นายช่วยปิดชีพฉันทีได้ไหม?"
จินที่ได้ยินดังนั้นถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดัง "เฮ้อ~ นอกจากจะเป็นพ่อที่แย่แล้วยังฟังที่คนอื่นพูดไม่รู้เรื่องอีกหรือนี่! ผมถามตัวคุณเองต่างหากว่าหลังจากนี้ตัวคุณต้องการที่จะทำอะไร?"
สิ่งนั้นทำให้บันคิดอยู่นานในที่สุดตัวเขาเองก็ได้คำตอบ "พอกันทีกับการล้างแค้นบ้าบอนี่ ฉันอยากจะเจอลูกสาวของฉันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ไม่ว่าตัวเธอนั้นจะฟังสิ่งที่ฉันเล่าไปหรือไม่ ฉันอยากที่จะเจออีกสักครั้ง"
"ถ้างั้นช่วยถอนตัวจากการคัดเลือกนี่ได้ไหม? เพื่อตัวคุณเองแล้ว ผมจะบอกทางไปยังที่ลี้ภัยให้ ได้ใช่ไหม? เฮนรี่" จินมองไปที่เฮนรี่
"ก็ได้...ในเมื่อนายขอร้องมาแบบนี้ มันอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล ทางทิศเหนือเมืองนอร์ระหว่างสาขาของตระกูลแคนเซิลกับเจมินี่"
"แล้วก็ผมมีเรื่องอยากที่จะถามคุณอยู่"แล้วจินก็เข้ามากะซิบที่ข้างหูอย่างเบาๆ "คุณเห็นใช่ไหม? เหมือนกับที่ผมเห็น ถ้าคุณเองก็เห็นแค่พยักหน้าก็พอไม่ต้องตอบอะไร"
บันเองที่รู้ว่าสิ่งที่จินถามนั้นคือภาพที่ตนเองได้เห็นตอนที่เจอกันครั้งแรก แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรเหมือนกัน ได้แค่พยักหน้าตามที่จินถามมาเท่านั้น
เมื่อจินได้คำตอบแล้วก็ค่อยๆถอยห่างออกมา หยิบกุญแจไขไปที่กุญแจมือของบัน
อลิซเลยพูดขึ้นห้ามทันที "เดี๋ยวก่อน! นายไม่กลัวเขาแว้งกัดเลยหรอ?"
"เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก ตอนนี้เขาเลือกที่จะไปพบลูกสาวเขา ส่วนผมเองก็ทำตามสิ่งที่สัญญากับเด็กคนนั้นไว้ก็เท่านั้น! อีกอย่างตอนนี้เขาก็ไม่สามารถใช้พลังด๊อพเพิลได้อีกด้วย"
"นายเอาอะไรมามั่นใจ?" อลิซยังคงไม่ไว้ใจอยู่
บันเลยตอบแทนจินที่กำลังวุ่นในการไขกุญแจอยู่ "ถ้ามีคนมองเห็นฉันมันจะไม่สามารถทำงานได้ ที่ฉันใช้ม่านควันนายในตอนแรกก็ด้วยเหตุนี้ จะเรียกว่าจุดอ่อนและก็เป็นจุดแข็งภายในตัวได้อีกด้วย"
"ก็ตามนั้นแหละ!" แล้วจินก็ทำการไขกุญแจมือที่ใส่บันเสร็จ
"ขอบใจมากไอ้หนู ที่ฉันทำได้ก็มีแค่นี้ ใจจริงก็อยากจะช่วยพวกนายให้ชนะอยู่หรอกแต่ว่าฉันยังมีลูกสาวที่ยังรอการกลับไปของฉันอยู่"
จินตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม "พูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจ ผมแค่ทำตามสัญญาก็เท่านั้น"
"ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องจากลากันแค่นี้ ขอให้โชค-" ขณะที่บันกำลังจะบอกลาอยู่นั้นจู่ๆก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาเสียงสนั่นทั่วทั้งเซนเตอร์ ควันดำกลุ่มใหญ่โพยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า สายตาทุกคนต่างก็จับจ้องไปยังสถานที่นั่นเป็นทางเดียวกัน แล้วจู่ๆเสียงนาฬิกาข้อมือของทุกคนก็ดังแจ้งเตือนขึ้น ในตอนนั้นเองร่างของบันก็ค่อยๆร่วงลงกับพื้น....
-03 โรโบโต้ วิลสัน ถูกกำจัดแล้ว
-07 บัน แฮงค์แมน ถูกกำจัดแล้ว....
ตอนนี้เวลา 00.56 น. นัมเบอร์เหลือรอดอีก 11 คน
ทางฝั่งพวกอูล เมื่อไม่นานมานี้...
"แหม~ คุณจินนี่ฝีมือไม่เลวนะครับ สามารถจัดการนัมเบอร์ คนอื่นได้อย่างอยู่หมัดเลย" โลแกนพูดอย่างสบายใจขณะที่กำลังจิบกาแฟสบายใจเฉิบ...
อูลเองก็ทำเช่นเดียวกัน "ยังห่างไกลที่จะวางใจได้ ตอนนี้เหมือนว่าจะเจอของแข็งเข้าแล้ว!"
จิลที่ทนไม่ไหวกับการกระทำดังกล่าวระเบิดอารมณ์ใส่โลแกนกับอูล "นี่พวกคุณจะใจเย็นเกินไปแล้วนะ…! อย่างน้อยก็น่าจะเป็นห่วงเขาหน่อยก็ยังดี"
"ห่วงไปก็ไม่ได้อะไร…! ที่พวกเราทำได้ก็ทำไปหมดแล้วที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเท่านั้น!" โลแกนยังนั่งใจเย็นอยู่
แล้วเซร่าที่เกิดสงสัยขึ้นมาเลยถามโลแกนไปว่า "หัวหน้าคะ! คือเกี่ยวกับจุดอ่อนของเขานะ จะไม่เป็นไรจริงๆหรอ?"
"อ๋อ~! พลังที่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงในระยะ 1-2 เมตรนะหรอ? ถึงแม้จะใช้ต่อเนื่องได้แค่ 3 ครั้ง ก็ตามแต่เขาก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าสมรรถภาพทางกายเขาสามารถทดแทนส่วนนั้นได้"
อูลเลยพูดเสริมต่อ "แต่ว่าหลังจากที่ตนเองใช้ 3 ครั้งต่อเนื่องนั่นแล้ว...จะไม่สามารถใช้พลังได้อีก10วินาที ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงพอตัวเลยนะถ้าอีกฝ่ายรู้เข้า"
"นายพูดมามันก็ถูก แต่ว่านั่นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองจะพลิกแพลงอย่างไรในการต่อสู้"
"อีกอย่างนะคะหัวหน้า!...แล้วทำไมเขาถึงไปรวมกลุ่มกับเหล่านัมเบอร์ คนอื่นละ?" สิ่งที่เซร่าได้ถามทำให้ทั่วทั้งห้องหยุดชะงัก
อูลกุมขมับแล้วถามโลแกนไปว่า "นายยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเธอไปอย่างนั้นหรอ?"
"จะว่าไป...ก็ยังไม่ได้บอก..." โลแกนตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ทางด้านดีลเลอร์กำลังรับมือกับกลุ่มคนที่ลงเดิมพันถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น....
-นี่ลางสังหรณ์ของฉันพลาดไปหรือนี่....ไอ้หมอนั่นดันมาตายคนแรกเลย
-ใจเย็นหน่อยคุณลุง เล่นพนันมันก็ต้องมีได้มีเสียเป็นธรรมดา...
-ไม่คิดเลยนะว่า...เริ่มการแข่งขันไม่ถึงชั่วโมงก็ตายไปแล้วสองคน รอบนี้สงสัยพวกเราอาจจะเกิดอะไรที่มันเกินคาดก็ได้
-ผมเองก็หวังไว้อย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างครั้งที่แล้วนี่ไม่สนุกเอาซะเลย มีแต่พวกอ่อนหัดเต็มไปหมด
ดีลเลอร์พูดกล่าวปราศรัยอีกครั้ง "กระผมเองก็หวังอย่างนั้นเช่นกัน เอาละหวังว่าท่านที่ได้เสียทองเดิมพันไปแล้วจะอยู่ดูการคัดเลือกครั้งนี้ต่อจนจบ"