Chereads / ROYAL ONE บทชายผู้ตกต่ำ / Chapter 11 - Chapter 4 สิ่งที่อยากลืม

Chapter 11 - Chapter 4 สิ่งที่อยากลืม

เซร่าตื่นขึ้นมาที่หอพัก หลังจากที่เธออาละวาดใส่จิน จนร่างกายเขานั้นโชกไปด้วยเลือดแล้วพอรู้ตัวก็มาโผล่ที่นี่ มองไปรอบเห็นเพื่อนของเธอที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องเธออยู่

"ฉันหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว จิล?"

"นั่นสินะ ราวๆ 8ชั่วโมงได้แล้วมั้ง?"

เซร่ามองออกไปที่หน้าต่างเห็นตอนนี้ตะวันก็ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว "นี่ก็ค่ำแล้วสิ จะกินอะไรหน่อยไหมเดี๋ยวฉันทำให้กิน" เธอเปิดตู้เย็นจออกดูของในนั้น

"ก็ดี! กินไปคุยไปก็ดีเหมือนกัน"

ในระหว่างที่เซร่ากำลังจะที่ทำอาหารนั้น จิลก็พูดขึ้นมา "เธออาละวาดหนักเลยนะ เขาใช่คนที่เธอเคยบอกใช่ไหม?"

"....." เซร่าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หันไปทำอาหารต่อ

"ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะฆ่าคนอื่นอย่างไร้ความรู้สึกหนรอกนะ"

"เธอจะรู้อะไร! เธอไม่ได้เป็นคนที่สูญเสียนี่" เธอตอบทั้งๆที่ยังหั่นผัก ฉับๆ ฉับๆ

"เซร่า ฉันถามจริงๆ เธอยังแค้นเขาอยู่หรอ?"

"...." เซร่าไม่ได้ตอบอะไรกลับมายังคงก้มหน้าทำอาหารทั้งอย่างนั้น

"โอเค! ถ้าไม่อยากที่จะพูดก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ถามเซ้าซี้แล้ว"

"ช่วยได้มากเลย!" เซร่าพูดอย่างเฉยชาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

"นี่เธอเองก็ไม่คิดว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วงั้นหรอ?"

"คนเรามันจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆได้อย่างไร เหมือนฉันนี่เพราะว่าก็ยังเกลียดอยู่"

"ก็ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าทำร้ายเขาอย่างไรเขาก็แทบไม่ตอบโต้อะไรเลย บางทีตอนนี้เขาอาจจะกลายเป็นแค่คนใจดีคนหนึ่ง"

"เธอลืมไปหรือป่าวว่าเขาก็เป็นหนึ่งใน "นัมเบอร์" เพื่อที่จะขึ้นเป็นราชาแล้วจำเป็นต้องกำจัดอีก 12 คนที่เหลือ คนแบบนั้นนี่จะเป็นคนที่ใจดี ถ้าฝันกลางวันอยู่ก็รีบๆตื่นซะ!"

"อะไรกัน! ก็นึกไปว่าจะหาคนดีๆมาเป็นสามีสักหน่อย เพราะว่ารูปร่างและหน้าตาก็ไม่ได้แย่มาก"

"ถ้าเธอจะหาผู้ชายดีๆสักคนทำไมไม่มองใกล้ๆตัวล่ะ"

"หัวหน้าอะนะ!?" จิลรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที "คนวัยกลางคนที่วันๆเอาแต่ทำงานวิจัย คนแบบนั้นเป็นสามีที่ดีไม่ได้หรอก ถึงแม้หน้าที่การงานจะดีก็เถอะ แต่ไอ้นิสัยที่อยากจะรู้อะไรแล้วมักจะดำดิ่งไปกับมันจนไม่สนสิ่งรอบข้าง ถ้าเกิดวันนึ่งเขาเกิดอย่างวิจัยรายละเอียดเกี่ยวกับมนุษย์ขึ้นมาเขาไม่จับฉันผ่าชำแหละหรอ?"

"ถ้าเลือกมากเดี๋ยวขึ้นคานเอานะ!"

"ช่างฉันเถอะน่า!"

ดูเหมือนว่าที่พูดคุยกันมันจะทำให้เซร่ายิ้มออกมาเล็กน้อย และลืมเรื่องในอดีตไปได้สักพักนึ่ง....

ณ ราชวัง ใจกลางเซนเตอร์

ตอนนี้ดีลเลอร์ กำลังนั่งกินเค้กและจิบกาแฟนม ภายใต้แสงจันทร์ แล้วทันใดนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

"ฮัลโหลครับ ท่านเลโอตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?"

"เหมือนว่าตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันชัดเจนขนาดนั้น แต่นายที่นายพูดมาจริงอย่างนั้นหรอ ที่ฝ่ายรัฐมนตรีเตรียมผลิตอาวุธที่ใช้สังหารราชา มันสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือไง?"

"ยังครับเพราะราชาตายเนื่องจากรูที่ตรงขั้วหัวใจ ถ้าเกิดกระสุนเล็กขนาดนั้นไม่มีทางที่จะเจาะเข้ามาในห้องได้ง่ายๆหรอก นอกจากระยะจะใกล้จริงๆ แต่ในตอนนั้นมันมีแค่ผมเท่านั้นที่ออกจากห้องฝ่าบาทเป็นคนสุดท้าย"

"อย่างนั้นคนร้ายก็เป็นนายนะสิ ที่สามารถทำอย่างนั้นได้?"

"ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ไง? ผมไม่สามารถฆ่าฝ่าบาทได้นะ และก็ไม่มีทางทรยศเขาอีกด้วย"

"ถึงแม้ฝ่าบาทจะทรงไว้ใจนาย แต่นายมันไม่ค่อยน่าไว้ใจ โพล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน นี่ฉันอุสส่าห์สละเวลาที่จะได้พบพวก "นัมเบอร์" เพื่อมาทำตามที่นายขอเลยนะเนี่ย! แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยจะให้พวกลูกน้องมาทำแทนก็ได้ไม่ใช่หรอ?"

"ก็ผมไว้ใจคุณที่สุดไงล่ะ! ตอนนี้พวกเราจะไว้ใจคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาจะหันไปยังทิศทางคนที่มีอำนาจมากที่สุด จะดีหรือเลวพวกเขาไม่สนหรอก"

"แต่ถ้าที่นายพูดมามันจริงละก็ แสดงว่ารัฐมนตรีน่าจะรู้การมีอยู่ของดอกไม้นั่นสิ!"

"น่าจะรู้ละครับ รวมไปถึงพวกนัมเบอร์อีกด้วย น่าจะมีคนในสภากลางบางคนที่รู้เห็นเป็นใจด้วยแหละ!"

"ราชา รัฐมนตรีและสภากลาง ทั้งสามน่าจะคานอำนาจกันเองนี่ แล้วทำไมทางสภากลางต้องร่วมมือกับรัฐมนตรีด้วยล่ะ?"

"การมีอยู่ของราชามันขัดผลประโยชน์ต่อการทำธุรกิจการขนส่งอาวุธที่ทำจากสิ่งนั้นนี่ครับ ผมได้ให้คนที่ผมไว้ใจที่สุดไปสืบมาบางส่วน ทางรัฐมนตรีได้มีการทำสัญญาซื้อ-ขาย ก้อนผลึกแบบผิดกฎหมายให้กับประเทศโลกที่สาม ซึ่งมันละเมิดข้อการตกลงระหว่างประเทศ พวกเขาเลยให้ผมหาหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่ว่าจะพยายามหายังไงก็ไม่พบเจออะไรเลย เหมือนว่าจะถูกลบออกจนหมดแล้ว รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องด้วย"

"แต่ว่าตอนนี้ที่ราชาตายไปแล้วทำไมมันถึงไม่ทำให้เรื่องมันจบไปล่ะ ถ้าเป็นฉันเองก็จะรีบลงมือตอนนี้เองเช่นกัน"

"เรื่องนั้นผมเองก็ไม่รู้ แต่จากที่ผมคาดการณ์เอาไว้น่าจะเกี่ยวกับการควบรวมอำนาจทางการทหารที่เหลือยังไม่ครบสมบูรณ์ดีพอที่จะโค่นระบบราชานี้ได้"

"นายจะบอกว่า ทหารรักษาพระองค์มีโอกาสที่จะทรยศอย่างนั้นหรอ? ทั้งที่ฉันยังเป็นหัวหน้าอยู่นี่นะ?"

"ก็แค่ข้อสันนิฐานเฉยครับ อาจจะไม่จริงก็ได้"

"แล้วเรื่องที่ฉันไหว้วานให้ไปทำล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?"

"อ้อ! ใช่เรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังของพวก "นัมเบอร์" ในตอนนี้หรอครับ? ถ้าเรื่องนั้นก็กำลังดำเนินการอยู่ แต่ว่านะครับ คุณที่เป็นอดีต "นัมเบอร์" อย่างคุณทำไมถึงอยากที่จะรู้เรื่องพวกนั้นด้วยล่ะครับ"

"มันเป็นเรื่องที่ ราชาองค์ก่อนได้ฝากฝังฉันไว้"

"รับทราบแล้วครับ จะทำการสืบให้"

อีก 29 วันก่อนการคัดเลือกจะเริ่ม.....

เช้านี้จินตื่นมาด้วยอาการที่ค่อนข้างงัวเงีย เหมือนว่าที่ฝึกไปเมื่อวานน่าจะทำให้ปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวแต่มันกลับไม่มีอาการอะไรหลงเหลืออยู่เลย เขารีบลุกไปล้างหน้าแล้วแปรงฟันจนเสร็จเรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไปยังที่ห้องโถงที่นั่นเหมือนว่าโลแกนจะรอเขาอยู่แล้ว

"สวัสดีตอนเช้ารับคุณจิน ตื่นไวเหมือนกันนะเนี่ย! สมกับเป็นร่างกายของเหล่านับเบอร์ ฟื้นตัวเร็วจนน่าอิจฉาเลย" เขาพูดทักทายขณะที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่

"ก็นะ...แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดีแหละ ว่าแต่โลแกนคุณแทบไม่ได้นอนอเลยไม่ใช่หรอ?"

"นิดหน่อยแหละ ก็ผู้ช่วยของผมอีก 2 คน กลับไปก่อนนิ ช่วยไม่ได้เลยต้องทำหมดคนเดียว"

"ทำไมไม่ไปขอคนเพิ่มกับอูลล่ะครับ? เขาน่าจะหาคนมาช่วยเพิ่มได้"

"เรื่องแบบนี้คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดีกว่านะ ตัวตนของพวกคุณมันเป็นความลับและค่อนข้างขัดต่อหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ทางศาสนา มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละที่รู้ถึงการมีตัวตนของเหล่า "นัมเบอร์"

"เห-------" จินรู้สึกประหลาดใจที่ได้รู้ว่าตัวตนของพวกเขานั้นมันสำคัญมาก

ตอนที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันแล้วก็มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้ามี ไข่ดาว เบคอน และขนมปัง มาเสิร์ฟให้จินที่นั่งอยู่กับโลแกน

"มาทานด้วยกันไหมครับ? กินคนเดียวมันออกจะเหงาๆ" เขาชวนโลแกนให้มารับประทานอาหารด้วยกัน

"ผมทานมาแล้ว แต่ก็ขอบคุณที่ชวน"

"ว่าแต่โลแกน...(เสียงเคี้ยว)ผลจากการทดลองเป็นอย่างไรบ้างครับ(เสียงเคี้ยว)" เขาถามในขณะที่กำลังมีอาหารในปาก

"กินให้หมดก่อนก็ได้คุณจิน....อืม---จะว่าไงดียัง? เหมือนรู้สึกว่ามันยังไม่พอเลยคิดว่าจะเพิ่มความเร็วไปอีกขั้น เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้น"

"เมื่อวานยังแทบตาย วันนี้จะยกระดับไปอีกขั้นหรอ? ผมจะไหวไหมเนี่ย?!"

"ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงคุณก็ไม่มีวันตายอยู่แล้วนิ? จริงไหม?" ใบหน้านิ่งของโลแกนฉีกยิ้มเล็กน้อยให้จินที่กำลังกินข้าวอยู่ทำให้เขาขนลุกไปแวบหนึ่ง

"แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี!!"

เหมือนว่าระหว่างนั้นเองก็มีคนสองคนลงลิฟต์มาที่ห้องโถงนั้น เดินเข้ามาหาโลแกนและจิน

"เหมือนว่าจะมากันแล้วครับ"

จินหันกลับไปมองเห็นเซร่าที่มากับจิลเพื่อนของเธอ แล้วก็ก้มหน้ากินอาหารต่อ

"ขอโทษที่มาช้าค่ะ หัวหน้าโลแกน!" ทั้งสองคนพูดอย่างพร้อมเพียง

แล้วเซร่าที่เห็นร่างของจินที่ไร้บาดแผลที่เธอได้เคยทำไว้มันได้หายไป เลยพูดเหน็บแนมออกมาว่า "น่าขนลุกชะมัด!" เธอมองด้วยสายตาขยะแขยง

"(ไหงมองด้วยสายตาแบบนั้นหละ? เหมือนกำลังมองแมลงสาบที่ต่อให้จะฆ่ายังไงก็ไม่ตายเลย)" จินคิดในใจ

โลแกนที่เห็นบรรยากาศเริ่มอึดอัดเลยพยายามห้ามอย่างกล้าๆกลัวๆ "คือว่า?"

เซร่าเลยหันไปพูดกับโลแกนด้วยแววตาดูโกรธ "หัวหน้าค่ะพวกเรามารีบทำเรื่องนี้ให้มันจบๆกันดีกว่าค่ะ"

"โอเค ถะ...ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปเตรียมการก่อนนะ ผู้ช่วยจิลเองก็ด้วยมาทางนี้หน่อย" โลแกนที่เห็นถึงสีหน้าที่โกรธเกี้ยวของเธอแล้วเลยพยายามปลีกตัวออกจากสถานการณ์นั้นทันที

"ค่ะ หัวหน้า" จิลตอบกลับแล้วเดินไปหาโลแกน

"รีบๆลุกได้แล้ว! ได้เวลาที่จะทดสอบต่อแล้ว" เธอทุบโต๊ะเสียงดังจนโลแกนสะดุ้ง แล้วพยายามปัดจานที่จินกำลังกินอยู่ แต่ว่าเธอทำไม่สำเร็จเพราะว่าเขาได้ยกจานหนีก่อนที่เธอจะปัดตก แล้วพูดกับมาว่า...

"หยาบคายกันจังนะ! อย่างน้อยก็ช่วยรอสักประเดี๋ยวได้ไหม?" เขาพูดสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร

แต่มันกลับทำให้เซร่าโกรธมากขึ้นกว่าเดิม พูดประชดประชันกลับไป "ต่อไปเป็นใครต่อดีล่ะ จากพี่ของฉันจะให้ใครเป็นคนต่อไป ได้ยินมาว่าเหล่านัมเบอร์ทั้งสิบสาม มีคนที่รู้จักอยู่ด้วยนี่ นายคงจะฆ่าพวกเขาได้อย่างไม่ลังเลสินะเพื่อที่จะขึ้นเป็นราชา"

"..." จินไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ยังคงก้มหน้ากินอาหารในจานนั้นจนหมด

แล้วจิลที่ทนดูเหตุการณ์อยู่สักพักเลยเดินเข้ามาห้าม "เอาเถอะน่า~ ไปเถอะ พวกเรายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ" รีบดึงตัวเซร่าออกไป

โลแกนเห็นดังนั้นเลยพูดขึ้นมา "เอาอย่างนี้ ถ้าคุณจินพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผมได้เสมอเลยนะครับ"

จินทำนิ้วมือ "โอเค" ตอบรับกลับมา.....

เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก....

"เอาล่ะครับ ฝ่ายจดผลการทดลองพร้อม กำลังจะเริ่มเครื่องในอีก 3...2...1...เริ่ม"

เมื่อโลแกนให้สัญญาณเครื่องก็เริ่มทำงานใหม่ คราวนี้ดูเหมือนว่าการทดสอบจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น จินเริ่มชินกับระดับ 01 ถ้าเทียบกับเมื่อวาน การเคลื่อนไหวดูคล่องตัวมากขึ้น แถมประสาทการตอบสนองนั้นเฉียบคมมาก ทั้งการคาดการณ์ ลดการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่าก็แทบจะไม่มี ไม่ว่าจะลูกตุ้มหรือจะเป็นหุ่นไม้ก็ไม่สามารหยุดเขาได้ ราวกับตอนนี้เหมือนว่าเขารู้ถึงกลไกทั้งหมดของเครื่องนี้แล้ว

เมื่อโลแกนเห็นว่าเขาเริ่มชินเลยเพิ่มระดับไปอีก 2 ระดับ เป็นระดับที่ 3 ถึงแม้ว่าจะเพิ่มระดับขึ้นไปอย่างไรแต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำมันได้ดีเหมือนอย่างเคย สิ่งที่จินแสดงให้เห็นนั้นทำให้โลแกนทึ่งกับการเคลื่อนไหวนั้นมากทั้งๆที่ไม่น่าจะหลบมันได้ทั้งหมด แต่ที่เขากระทำนั้นราวกับเต้นรำท่ามกลางสมรภูมิ ที่เต็มไปด้วยอาวุธนับร้อยที่พุ่งหาเขา ไม่ใช่แค่โลแกนหรือแม้แต่จิลที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ก็ตกใจและลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจเลยทีเดียว....แต่เหมือนว่ามันจะถึงขีดสุดของร่างกายเขาหลบการโจมตีของลูกตุ้มหนึ่งอันที่เหวี่ยงมาไม่ทัน เพราะอาการเหนื่อยล้า จนกระเด็นออกจากลู่ทันที ร่ากายเขากระทบกับพื้นอย่างแรง นอนราบไปกับพื้น หายใจหอบแรงจนได้ยินไปทั่วทั้งบริเวณใกล้เคียง หัวใจเต้นจนแทบจะหลุดออกจากร่าง อีกทั้งร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ โลแกนที่เห็นเขาหลุดออกจากเครื่องแล้ว เลยเข้ามาเพื่อพูดชมเชย

"สุดยอดเลยครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำได้ถึงขนาดนี้" โลแกนปรบมือแสดงความยินดี

"แฮ่ก...แฮ่ก....(สูดหายใจเข้าลึกๆ)....(ค่อยๆหายใจออก)"

"ขออภัยตอนนี้คงจะเหนื่อยเต็มที่เลยสินะครับ แต่ว่าที่คุณจินได้แสดงให้พวกผมดูนั้นมันวิเศษมากเลย มันดูสวยงามและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกันเลย"

ในขณะที่โลแกนกำลังพูดชมจินที่กำลังนอนหอบอยู่นั้นเอง จิลก็ได้พูดบางอย่างกับเซร่าที่สังเกตการณ์เช่นเดียวกับเธอ "เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? นั่นมันไม่ใช่วิธีการเคลื่อนไหวของมนุษย์แล้ว ราวกับสัตว์ป่าที่ใช้สันชาติญาณเพียงอย่างเดียวเลย"

แต่ดูเหมือนว่าเซร่าทำสีหน้าเหมือนไม่พอใจบางอย่าง "ไม่ใช่! ที่ฉันเห็นตอนนั้นมันไม่ได้เป็นแบบนี้ เขาออมแรงไว้ชัดๆ ไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ"

"หมายความว่ายังไง ที่เธอเหมือนว่าเขาแทบไม่ได้เอาจริง" จิลเกิดเอ๊ะใจที่ได้ยินที่เซร่าพูดมาแบบนั้น

"ไม่มีอะไร ลืมๆมันไปเถอะ" เธอหันมาตอบกลบเกลื่อนด้วยท่าทีที่ร้อนรนก่อนที่จะเดินหนีไป

เหมือนว่าวันนี้โลแกนจะพอใจในการทดสอบครั้งนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่สามารถรู้ถึงพลังของจินแต่ว่าก็คืบหน้าไปมาก ทั้งวันกับเวลาที่เหลือเขาเลยให้จินไปพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมกับการทดสอบต่อไปในวันพรุ่งนี้

ตอนนี้โลแกนกำลังเขียนรายงานผลจากการทดลองในครั้งนี้เพื่อส่งไปให้อูลที่อยู่ข้างบน ระหว่างนั้นเองจิลก็เดินเข้ามาหาเขาที่กำลังยุ่งอยู่

"หัวหน้าคิดว่าเขาเป็นคนอย่างไรหรือคะ?" เธอเดินเข้ามาพร้อมกาแฟแก้วหนึ่งในมือแล้ววางบนโต๊ะทำงาน

"หมายถึงใครคุณจินอย่างนั้นหรอ? อืม~ จะว่าไงดีล่ะ? เหมือนกับว่าเป็นเรื่องโกหกเลยจากที่ได้ไปสืบมา"

"หัวหน้ารู้เรื่องในตอนนั้นหรอค่ะ?"

"ก็นะ…ถึงเขาไม่บอกผมแต่ไม่ได้บอกให้ผมไปหามาเองนี่ ถ้าในความคิดผมเขาก็แค่ชายธรรมคนหนึ่ง อะนะ!"

"ธรรมดา? ฉันไม่เข้าใจไอ้คำที่ธรรมดานี่มันตรงไหน? ทั้งที่หัวหน้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ? การทดสอบของวันนี้นะ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถจะทำได้เลย" จิลเริ่มขึ้นเสียใส่โลแกนที่กำลังจิบกาแฟที่เธอนำมาให้

"ที่ฉันหมายถึงคือตัวของเขาจริงๆ ไม่ใช้ความสามารถ ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ฉันตกใจอยู่เหมือนกันก็เถอะ แต่จริงของเขาก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ทำท่าทีกวนๆบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่เลวโดยสันดาน"

"แล้วหัวหน้ารู้ได้อย่างไรทั้งที่เจอเขาเพียงแค่วันเดียวเอง?"

"ก็บอกไปแล้วนิ ว่าไปสืบมา ตั้งแต่ตอนเกิดจนถึงปัจจุบัน ทำอะไร? เรียนอะไรมาบ้าง? ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นอย่างไร? ทัศนคตินิสัยโดยต้นกำเนิดของเขา ทั้งหมด"

จิลยืนอึ้งไปสักพักก่อนจะมองด้วยสายตาที่รังเกียจขึ้นมา "นี่มันโรคจิตชัดๆเลยไม่ใช่หรอ? ถึงแม้ว่าจะแค่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขาแต่นี่มันก็ออกจะเกินไปนะคะ"

โลแกนตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม "ก็พวกเราเป็นนักวิจัยนี่! ต่อให้จะถูกหาว่าโรคจิตอย่างไรก็เถอะ? แต่เพื่อสนองตัณหาในสิ่งนั้น...ฉันไม่สนเรื่องวิธีการหรอก"

"แล้วเขารู้เรื่องนี้ยัง?"

"แน่นอนว่าไม่!" เขาตอบอย่างมั่นใจ "แต่ที่แน่ๆคือไปรู้เรื่องราวในอดีตบางส่วนของเขามาด้วย"

"บางส่วน? แล้วที่เหลือล่ะ?"

"ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่จะเรียกว่าเสียหายมากกว่าอ่านไม่รู้เรื่องหรอก เหมือนมีคนพยายามจะให้มันเป็นแบบนั้น ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก"

"ถ้างั้น....ส่วนที่เสียหายมันคือส่วนไหนกัน?"

"น่าจะช่วงราวๆ 12 ปีก่อน หลังจากที่สูญเสียพ่อและแม่จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วญาติฝั่งทางป้าก็มารับไปเลี้ยง หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ตัวคนเดียวและส่งเสียตัวเองเพื่อเรียนมหาลัย ส่วนที่เสียหายจะเป็นส่วนช่วงอายุระหว่างตอนที่เกิดได้ 1ขวบจนถึงอายุ 8 ขวบ ฉันเองก็พยายามเต็มที่เลยโต้รุ่งจนถึงเช้าอย่างที่เห็นนี่แหละ แต่ก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเลย แล้วอีกอย่าง...ถ้าเธอสงสัยเรื่องที่เขามีฝีมือละก็ ที่จริงแล้วเขาเป็นอดีตแชมป์ใน "หอคอยบาเบล" ฉันก็นึกว่าจะเป็นเรื่องโกหกเหมือนกันตอนที่รู้แรกๆ แต่ก็มั่นใจขึ้นหลังจากที่เห็นเขาแสดงให้ดูในวันนี้"

"หอคอยบาเบล? หอคอยที่เกือบจะไปถึงสวรรค์แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับความสามารถของเขา?"

"จะให้พูดก็คือการเอาคนที่มีฝีมือมาต่อสู้กันเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะไม่มีผู้ท้าชิงคนต่อไป การแข่งขันของลานประลองใต้ดิน อีกทั้งยังมีการพนันที่มีเม็ดเงินมหาศาลไหลเวียนอยู่อีกด้วย"

"ประเทศนี้มีสถานที่แบบนั้นด้วยหรอ?" จิลประหาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น

"ประเทศไหนๆก็มีหมดแหละ ทั้ง ยาเสพติด การพนัน โสเภณีและการคอรัปชั่น ถึงแม้ว่าบางประเทศจะปฏิเสธว่าไม่มีอย่างไรก็เถอะ"

"หัวหน้าพูดเหมือนเคยเจอกับตัวเลยนะ"

"ก็นะ! คนเรามันผ่านอะไรมาไม่เหมือนกัน เช่นเขาไง? เธอพอจะ...เอ๊ะใจอะไรบ้างไหม?"

"เรื่องอะไรหรอคะ?" จิลสงสัยในสิ่งที่โลแกนจะสื่อ

"อดีตแชมป์หอคอยบาเบล ทำไม!? ทั้งที่กำลังไปได้สวยแท้ ถ้าเขาเลือกที่จะเดินสายเป็นนักสู้ต่อไปอนาคตไกลแน่นอน ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง จะเข้ามาหาไม่หยุดหย่อน แต่ว่าเขากลับเลือกที่จะเดินแบบคนธรรมดา ทั้งที่ตอนนี้ชีวิตของเขาเงินที่ได้จากการทำงานพิเศษนั้นแทบจะไม่พอยาไส้ ไหนจะค่าเรียนและค่ากินอยู่อีก ใช้ชีวิตแถบชานเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ในหอพักค่าเช่าถูกๆเล็กๆโทรมๆ รู้ไหมทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?"

"ตอนนั้นนั่นเอง! แต่ว่าทำไมถึง?"

"ถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่เพียงโจรธรรมดา แค่นั้นไม่ทำให้เขาออกมาได้หรอก แต่ว่านอกจากที่เป็นพี่ของ เซร่าแล้ว เขาคนนั้นยังเป็นอดีตแชมป์ "หอคอยบาเบล" อีกด้วย โลกช่างกลมดีเหลือเกิน"

"ถ้าอย่างนั้น...ตอนที่ปล้นร้านสะดวกซื้อในตอนที่เห็นเขาที่กำลังเดินไปจ่ายเงินก็จงใจ?"

"เหมือนกั่นแกล้งกันเลยเนอะ!? เขาที่เคยเป็นอดีตแชมป์กลับตกต่ำลงเรื่อยๆ และตอนที่จะทวงบัลลังก์คืนก็แพ้กลับมาอีก เลยเกิดความเครียดแค้นที่มีต่อจิน เลยก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้ามองจากสายตาคนภายนอกก็แค่ชายหนุ่มนักศึกษาป้องกันตัวเองจากโจรปล้นร้านสะดวกซื้อ ลงมือเกินกว่าเหตุจนโจรเสียชีวิต" เขาอธิบายมาพร้อมกับจิบกาแฟด้วย

"แล้วเซร่ารู้เรื่องหรือยัง?"

"ฉันไม่รู้! แต่ถ้าเป็นเธอละรู้แน่ๆ เพราะว่าเธอเป็นคนที่ใกล้ชิดและสนิทกับเซร่ามากที่สุดอย่างไรล่ะ?"

วินาทีนั้นเองทำให้จิลนึกไปตอนที่เซร่าพูดขึ้นมา "เขาแทบไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ" เลยทำให้เธอรีบวิ่งไปหาเซร่าทันที

"อ้าว! ไปซะละ! ว่าจะให้ไปเติมกาแฟอีกสักแก้วให้หน่อย?" โลแกนที่นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในห้องเงียบไม่มีใครนอกจากตัวเขาเอง

เซร่าที่มาพักผ่อนบนชั้นดาดฟ้าหลังจากที่การทดลองวันนี้ได้จบลง มองไปยังพื้นข้างล่างพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เธอล้วงมือหยิบซองบุหรี่ที่ยังไม่ได้แกะออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาว พยายามที่จะแกะมันออก แต่ไม่ว่ายังไงก็แกะไม่ได้สักทีเลยเลิกแกะแล้วขยำมันโยนซองบุหรี่นั้นทิ้งถังขยะไป

"เฮ้อ~ ทำไมฉันถึง ทั้งๆที่รับปากกับหลานไว้แล้วแท้ว่าจะเลิก รีบกลับไปนอนพักที่หอดีกว่า ถ้าลางานครึ่งวันหัวหน้าจะว่าอะไรไหมนะ? ไหนๆงานก็เสร็จแล้วนิ" เธอยืนคิดเอามือก่ายหน้าฝากไปพลางคิดไปพลาง

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เห็นจิลที่เดินออกมาจากประตูบานนั้น เมื่อทันทีที่เซร่าเห็นดังนั้นเลยพยายามทำตัวแบบปกติและเดินออกไป ทันทีที่ทั้งสองเดินสวนกัน

"เซร่า? นั่นเธอจะรีบไปไหน?" จิลถามทันทีที่เซร่าเดินสวนเธอ

"วันนี้ฉันแค่เหนื่อย เลยว่าจะกลับไปนอนพักที่ห้องของตัวเอง บอกหัวหน้าให้ด้วยว่าฉันลาครึ่งวัน" เซร่าทำท่าโบกมือลาแล้วกำลังจะเดินจากไป

แล้วจู่ตอนนั้นเองที่จิลก็พูดขึ้นมาว่า "เธอคิดที่จะหนีแบบนี้ไปอีกเรื่อยอย่างนั้นหรอ?" คำพูดนั้นทำให้เซร่าที่กำลังเดินนั้นหยุดเหมือนว่าจะแทงใจดำเธอ "หรือว่าเธอกลัวอะไรอยู่กันแน่? กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างนั้นหรอ?"

เซร่ากำหมัดแน่น แล้วตอบกลับมา "รู้อยู่แล้ว! ว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันรู้อยู่แล้ว!" และน้ำตาของเธอค่อยซึมออกมาอาบแก้มของเธอ "เรื่องทั้งหมดมันเป็น...เพราะฉันเอง...ทีขี้ขลาดไม่กล้าเข้าไปห้ามเขา"

"เซร่า! ทั้งๆที่เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหมดทุกอย่างแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงยังเครียดแค้นเขาอยู่อย่างนั้นล่ะ"

"นี่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะรู้ เธอไม่ได้เกี่ยวข้อง" เธอตอบพร้อมกับหลบตาจิล

เมื่อจิลที่เห็นดังนั้นเลยพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองเสียงหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆหายใจออก ดัง ฟู่ๆ แล้วเธอก็ตบไปที่หน้าของเซร่าอย่างเต็มแรง

เพียะ~!!! ทำให้เซร่าเอามือจับทาบที่ข้างที่โดนตบ

"เธอยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม!? ไหนบอกว่าพวกเราจะไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังกันไง?" แล้วเธอก็จับไปที่ไหล่แล้วเขย่าเซร่าอย่างแรง

"ระ...เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น มะ...ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน"

จิลที่เห็นดังนั้นเลยผลักเซร่าจนล้ม "หา~! ไม่เกี่ยวกันหรอ? อย่ามาตัดสินใจเอาเองสิเฮ้ย! เลิกนั่งจมปลักกับมันได้แล้ว ถ้าไม่!ฉันจะเป็นคนลากเธอมาเอง"

เซร่าพยายามลุกยืนขึ้นแต่ก็ถูกผลักให้ล้มกลับไปเหมือนเดิม "คนอย่างเธอจะมาเข้าใจอะไรเอาป่านนี้!? ทั้งหมดที่ฉันเป็นนี่ไม่ใช่ว่าฉันอยากเป็น แต่มันออกมาไม่ได้ต่างหาก" เธอลุกอย่างรวดเร็วแล้วตบกลับคืนไปที่จิลอย่างแรงจนหน้าสั่น แต่จิลไม่ได้สะทกสะท้านใดๆเลย "ยิ่งนานวันเข้ายิ่งรู้ตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลืมมันก็ยิ่งฝังแน่นลงไปเรื่อยๆ ฉันก็อยากจะเป็นอิสระจากความรู้สึกนี้เหมือนกัน แต่มันทำไม่ได้!การที่ตัวเองนั้นลืมสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดโดยการปล่อยให้พี่ชายของฉันตาย ทั้งที่มีโอกาสช่วยเขาแล้วแท้!!" เซร่าเธอต่อยไปที่หน้าของจิลอย่างแรง จนเธอเซเดินถอยหลังและเธอพยายามต่อยไปอีกหมัดแต่ครั้งนี้ไม่เนเหมือนครั้งก่อน จิลจับแขนข้างนั้นแล้วดึงกระซากอย่างรวดเร็ว เอนหลบไปข้างๆกอดคอแล้วตีเข่าขึ้นอย่างแรงจนเซร่านั้นเจ็บลงไปนอนกองกับพื้น

"เป็นไง? ยังอยากจะต่ออีกไหม?" จิลก้มมองหน้าของเซร่าที่นอนกองกับพื้น

"ไม่แล้วละ! แต่มันก็นานแค่ไหนแล้วนะ? ที่พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงแบบนี้" แล้วเธอก็ค่อยๆปล่อยตัวนอนหงายน้ามองที่ท้องฟ้า

จิลเข้ามานั่งข้างเซร่าแล้วเอนตัวลงนอนข้างเธอ"ไม่รู้สิ! แต่ครั้งล่าสุดน่าจะเป็นเรื่องซอสที่เอาไว้กินกับไก่ทอดละมั้ง? ฉันเลือกมายองเนส ส่วนเธอก็ซอสมะเขือเทศ"

"นี่พวกเราเคยทะเลาะเรื่องไร้สาระพรรณนั้นด้วยหรอ? จำไม่เห็นได้"

"อย่ามาทำเป็นคุณป้าความจำสั้นไปหน่อยเลย ถึงขนาดที่เธอไม่คุยกับฉันเกือบเดือนเชียวนะ!"

"แล้วผลสรุปเป็นไงล่ะ?"

"ฉันชนะเพราะว่าเธอเป็นฝ่ายเข้ามาง้อฉันก่อน" จิลพูดออกมาอย่างมั่นใจ

เซร่าเกิดเอ๊ะใจเลยเถียงกลับไปว่า "เดี๋ยวสิ! เธอเป็นฝ่ายเข้ามาง้อฉันก่อนไม่ใช่หรอ? แถมร้องไห้ฟูมฟายด้วย"

"ไม่ๆนั่นมันฝ่ายเธอต่างหาก"

"เธอต่างหาก"

ทั้งสองเถียงกันอย่างนั้นไปเรื่อยจน จิลนั้นเริ่มที่จะหมดความอดทน "ถ้าอย่างนั้นมาดวลกันอีกสักรอบไหมล่ะ?" จิลลุกขึ้นพร้อมทำท่าทางอบอุ่นร่างกาย

"โอเค! เธอชนะ! ยังไงซะฉันก็ไม่มีวันเอาชนะเธอได้อยู่แล้ว"

"ก็รู้ตัวเองดีนี่! แล้วเป็นไง? สบายใจขึ้นมาหรือยัง?"

สิ่งที่จิลพยายามทำทั้งหมดมานี้ก็เพื่อให้เซร่ากลับมาอารมณ์ดี "ตั้งแต่ที่เธอเจอหมอนั่นก็มักจะทำหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเลย"

"ขอบคุณนะ! ช่วยได้มากเลย"

"ทีนี้เธอบอกได้หรือยัง?เรื่องราวทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่เธอพูดในตอนที่หมอนั่นทำการทดสอบอีกด้วย"

"ได้สิ! ถ้าเพื่อนสนิทที่ฉันรักมากที่สุดพูดถึงขนาดนั้นละก็"

หลังจากนั้นเซร่าก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้จิลได้ฟัง ความจริงที่เกิดในคืนนั้นรวมทั้งสิ่งที่ตนเองได้ทำผิดพลาดลงไป

"เรื่องก็ประมาณนั้นแหละ บางทีที่ฉันเกลียดอาจจะไม่ใช่เขาหรอกแต่เป็นตัวเองต่างหาก"

"เจอกันอีกครั้งเธอควรจะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหมอนั่นแท้ๆ แต่ดูเธอสิ! พุ่งเข้าไปทั้งตบทั้งต่อย ถ้าฉันเป็นหมอนั่นคงแค้นไปจนวันตายเลยละ"

"....." เซร่ารู้สึกผิดกับการกระทำอันหน้าละอายของตนเองเป็นอย่างมาก ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก

"แล้วเธอจะเอาไงต่อ...จะไปขอโทษหมอนั่นไหม?"

"เขาจะยอมให้อภัยกับฉันที่ทำแบบนั้นไปอย่างนั้นหรอ?"

"ถ้าหมอนั่นไม่ยอมให้อภัยกับเธอ" แล้วจิลก็เข้ามากระซิบที่ข้างหู "ก็ทำให้หมอนั่นรับผิดชอบในตัวเธอซะสิ!"

เซร่าที่ได้ยินแบบนั้นทำให้เธอนั้นเขินจนหน้าแดงและอาละวาดกลบเกลื่อน