ปี ค.ศ. 3050
ณ ตลาดใกล้กับกำแพงเมืองทิศเหนือ ทุกเช้าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ทุกคนกำลังต่อคิวเข้าแถวเพื่อรับซุบร้อน ๆ ที่ทางรัฐบาลนำมาแจกให้ ทุกคนที่มายืนต่อแถวนั้นมีท่าทางที่หิวโซ ซุบถ้วยเล็ก ๆ เหล่านี้แค่พอทำให้พวกเขาอยู่ต่อได้ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้
คุณป้าขายขนมปังพูดกับเด็กหนุ่มวัยสิบสามที่ยืนอยู่หน้าร้านอย่างอ่อนโยน
"มาซื้อขนมปังให้แม่อีกแล้วเหรอ แหม เด็กตัวแค่นี้ไปหาเงินมาจากไหนกัน เอ้านี่"
คุณป้าส่งถุงขนมปังให้
เด็กหนุ่มรับขนมปังไปด้วยความยินดี แล้วเอ่ยขอบคุณคุณป้าใจดีที่ยอมแบ่งขายขนมปังให้
"ขอบคุณฮะ ไว้วันหน้าผมจะหาเงินมาซื้อขนมปังทั้งร้านของป้าให้ได้เลย"
"ให้มันจริงเถอะ"
ป้าใจดีลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ก่อนจะไล่เด็กหนุ่มไปเมื่อเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมา
"รีบกลับบ้านไปเร็วเข้า อย่าให้คนพวกนั้นเห็นขนมปังเธอเด็ดขาด"
"งั้นผมไปก่อนนะ"
เด็กหนุ่มโบกมือลาแล้วซ่อนขนมปังไว้ในเสื้อ จากนั้นก็รีบวิ่งไปตามทางเดินที่เคยใช้ประจำ
แม้เด็กหนุ่มจะซ่อนขนมปังไว้ดีแล้ว แต่พฤติกรรมการยัดของแปลก ๆ ไว้ในเสื้อ ก็กลายเป็นที่สนใจของคนกลุ่มหนึ่ง
เด็กหนุ่มเดินผ่านตรอกซอกซอยตามตึกไปอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามเขาอยู่ เมื่อเดินมาถึงมุมตึก ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างก็บอกให้เด็กหนุ่มเอนตัวหลบไปด้านหลังจนหงายท้องล้มลงไปกับพื้น ไม้ท่อนยาวพลาดเป้าหมายของมันไปอย่างน่าเสียดาย
เด็กตัวโตคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาตรงหน้าของเด็กหนุ่ม และยังมีอีกสองคนที่เดินมาดักด้านหลังเอาไว้ ด้วยสิ่งที่เคยฝึกมา เด็กหนุ่มรีบลุกวิ่งเข้าหาเด็กโตตรงหน้าแล้วโยกตัวไปทางซ้ายเพื่อหลอกล่อ ก่อนจะเบี่ยงกลับมาทางขวางแล้วอาศัยตัวที่เล็กกว่ารอดช่องว่างระหว่างกำแพงตึกกับเด็กโตคนนั้นไป
เด็กโตที่เสียท่ามองอย่างเจ็บใจ
"เฮ้ยตามมันไปเร็ว"
ทั้งหมดรีบวิ่งตามเด็กหนุ่มไป เศษขยะที่ตกอยู่ตามพื้นถูกหยิบจับขึ้นมาและระดมขว้างปาใส่เด็กหนุ่มกันเป็นการใหญ่ แต่ด้วยฝีเท้าที่ถูกฝึกมาจนชำนาญ ก็ทำให้เด็กโตเหล่านั้นไม่สามารถตามเด็กหนุ่มได้ทัน "โว้ย มันหนีได้อีกแล้ว"
เหล่าเด็กโตที่วิ่งกันจนหอบแต่ก็ยังตามเด็กหนุ่มไม่ทัน ก็ได้แต่เตะขยะแถวนั้นเพื่อระบายอารมณ์
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็วิ่งกลับมาถึงตึกสี่ชั้นเก่า ๆ อย่างปลอดภัย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องห้องหนึ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วตะโกนเรียก
เด็กหนุ่มเอาถุงขนมปังในเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นที่มีขนาดเล็ก ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องนอนที่มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเก่า ๆ อยู่
"แม่ ผมเอาขนมปังมาให้ วันนี้คุณป้าแถมเนยกับน้ำตาลมาให้หน่อยนึงด้วย ดูสิ"
ผู้เป็นแม่เลิกหยุดสนใจเสื้อผ้าและเข็มในมือ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผู้เป็นลูกอย่างอ่อนโยน แล้วดุเบาเบา
"บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องซื้อของแบบนี้มาให้แม่ มันแพงมากเลยนะลูก"
"ผม อุ๊บ"
มือปริศนาเข้ามาปิดปากเด็กหนุ่มจากด้านหลัง ก่อนจะปรากฏเป็นใบหน้าของหญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าที่เข้ามาสวมกอดเด็กหนุ่มจากด้านหลัง ผมยาวสีน้ำตาลออกแดงของเธอย้อยลงมาปกปิดใบหน้าของเด็กหนุ่มเอาไว้
เสียงอันดุดันพร้อมจิตสังหารน้อย ๆ ปรากฏขึ้น
"นายทำพื้นเลอะอีกแล้วรู้มั้ย มาทำความสะอาดก่อนเดี๋ยวนี้"
แล้วเด็กหนุ่มก็โดนลากจากผู้เป็นแม่ไป
หญิงสาวลากเด็กหนุ่มเข้ามาในห้องของตนแล้วจับให้นั่งลงบนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าพันแผลและยาสมานแผลออกมาจากตู้ยา
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอันห่วงใย มือก็ค่อย ๆ เอาผ้ามาซับเลือดที่ด้านหลังศีรษะของเด็กหนุ่มออกมา
"ไปโดนเขาไล่มาอีกแล้วใช่มั้ย บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปซื้อของที่ตลาดนั่นคนเดียว"
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะวิ่งหนีมาได้ แต่สิ่งของที่ถูกขว้างใส่นั้นก็มีบางชิ้นที่โดนเขาเข้าอย่างจัง จนทำให้ศีรษะเขาแตก
เด็กหนุ่มพูดจาด้วยน้ำเสียงอันโอ้อวด
"ก็ผมอยากให้แม่ได้กินขนมปังไว ๆ นี่ วันนี้ผมซื้อได้ชิ้นใหญ่ขึ้นด้วยนะ แถมได้เนยกับน้ำตาลมาหน่อยนึงด้วย"
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงของหญิงสาวจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างหมั่นไส้และเอือมระอาเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่ค่อยจะฝั่งเธอเสียเท่าไหร่ อารมณ์ฉุนเล็ก ๆ ก็กระตุ้นให้มือที่ถือผ้าซับเลือด กดลงไปที่แผลบนหลังศีรษะแบบหนักมือนิด ๆ จนอีกฝ่ายต้องร้องขอความเมตตา
"อ๊าก ผมขอโทษ เมตตาผมเถอะ"
หญิงสาวยิ้มอย่างได้ใจ ก่อนจะเอาที่ติดแผลมาติดให้แล้วเอาเส้นผมสีดำของเด็กหนุ่มมาปกปิดมันเอาไว้ จากนั้นมือทั้งสองข้างของเธอก็เอื้อมไปจับชายเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วถอดมันออก ก่อนจะมองคราบเลือดอย่างเหนื่อยใจ
"รู้มั้ยเลือดมันซักออกยากแค่ไหนห๊ะชีฟ"
ชีฟพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
"ขอโทษ ครั้งหน้าจะพยายามไม่ให้ได้แผลมาอีก"
แต่เหมือนเด็กบางคนจะไม่ได้สำนึกเสียเท่าไหร่
หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะไปเอาเสื้อเก่า ๆ ของเธอมาให้ใส่ เธอเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก เด็กคนนี้ทั้งนิสัยดีและขยันขันแข็ง ตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียไป ก็มีเด็กคนนี้ที่คอยช่วยเธอดูแลทำความสะอาดอพาร์ทเม้นท์ทั้งสองแห่งของเธอมาโดยตลอด แถมแม่ของเด็กคนนี้ก็ยังเก่งเรื่องการซ่อมแซมเสื้อผ้าอีกด้วย นั่นทำให้คนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของเธอรวมถึงเธอไม่ต้องลงทุนไปถึงในตัวเมืองเพื่อจ้างช่างแพง ๆ หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เปลืองเงิน
บรื๊น เสียงรถที่คุ้นเคยดังมาจากข้างนอก ชีฟลุกพรวดขึ้นอย่างกระตือรือร้นและรีบวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นใบหน้าที่ดูดุดันเมื่อจำได้ว่าเสียงรถนั้นเป็นของใคร แล้วรีบวิ่งตามออกไป
"หยุดนะชีฟ"
เมื่อเธอวิ่งตามชีฟจนออกมาข้างนอกตัวตึก แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงมองเด็กหนุ่มที่นั่งส่งยิ้มมาให้อยู่บนหลังรถกระบะคันหนึ่ง
"เดี๋ยวผมกลับมานะพี่ชิซูกะ"
ชีฟโบกมือมาให้อย่างร่าเริง โดยไม่สนเลยว่าสถานที่ที่ตนเองกำลังจะไปนั้นมันอันตรายแค่ไหน
ชิซูกะมองชีฟด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวเล็กน้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายขึ้นรถไปไกลแล้ว พักหลังมานี้ชีฟดันไปรู้จักกับพวกนักล่าที่ออกไปล่าผลึกพลังงาน ซึ่งการล่าผลึกนั้นเป็นอะไรที่อันตรายและเสี่ยงชีวิตเป็นอย่างมาก แต่ถ้าทำสำเร็จ ก็จะได้ค่าตอบแทนที่ดีกลับมาเสมอ นั่นทำให้ชีฟมักจะแอบไปกับคนพวกนี้บ่อย ๆ แม้ว่าจะถูกเธอและแม่ของตัวเองทั้งดุทั้งห้ามไปหลายครั้งแล้วก็ตาม
รถกระบะวิ่งตามถนนใหญ่มาเรื่อย ๆ จนพ้นเขตกำแพง เมื่อออกมานอกตัวเมือง สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปทันที จากสถานที่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและมีผู้คนอยู่อาศัยมากมาย ก็กลับกลายเป็นตึกร้างซอมซ่อที่ไร้ซึ่งผู้คน บางตึกก็มีสภาพเก่าใกล้พัง บางตึกก็เหลือแต่ซากปรักหักพังที่ดูไม่เหมือนตึกอีกต่อไป
รถกระบะเคลื่อนตัวมาได้สักพัก ก็มาจอดยังตึกร้างสภาพดีหลังหนึ่ง ชายวัยกลางคนสองคนเปิดประตูรถออกแล้ว
ปัง ปัง ชายคนที่ออกมาจากฝั่งซ้ายทุบรถสองทีเพื่อปลุกเด็กขี้เซาบนท้ายกระบะ
"ตื่นได้แล้วไอ้หนู ถึงแล้ว"
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตื่นแล้วชายคนนั้นก็พูดต่อ
"คริส คิดว่าไอ้หนูมันถือปืนไหวหรือยัง"
ชายที่ออกมาจากฝั่งขวาโยนปืนกลหนักข้ามรถไปให้ชายที่ชื่อคริส
"อย่าเลยน่า ไอ้หนูมันยังเด็กอยู่เลย"
ชีฟมองคริสอย่างไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับชายอีกคนและยิ้มอย่างมั่นใจ
"ผมถือได้นะฮิก"
ฮิกโยนปืนกลเบาไปให้ชีฟ ซึ่งเป็นปืนที่ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาสามารถใช้มันได้ด้วยมือข้างเดียว
"ไหวมั้ย"
ชีฟถือปืนแล้วยืนขึ้นก่อนจะทำท่าเล็งเหมือนทหาร ฮิกเอื้อมมือมาปลดเซฟออก แล้วบอกให้ชีฟทดลองใช้ปืนดู
"เหนี่ยวไกเลย"
คริสดันเซฟคืนที่เดิม
"ไม่"
จากนั้นคริสก็แย่งปืนจากมือชีฟไป
"แค่แอบขโมยไอ้หนูนี่มา แม่สาวหัวแดงก็ขู่จะฆ่าฉันวันละสามเวลาหลังอาหารแล้ว"
ฮิกทำหน้าเซ็งส่วนชีฟก็ได้แต่ทำหน้าจ๋อย จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มแต่งตัว โดยนำชุดเกราะกันกระสุนและอุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บต่าง ๆ มาสวมใส่ที่ร่างกาย เมื่อสวมใส่จนเสร็จ ชีฟก็กลายเป็นเหมือนกับเด็กที่กำลังจะไปเล่นสเก็ตบอร์ด ส่วนคริสกับฮิกนั้นดูเหมือนทหารที่กำลังจะไปออกศึก
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วทั้งสามคนก็แบกกระเป๋าเปล่า ๆ ใบใหญ่ขึ้นมากันคนละใบ ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในตึก
ชีฟถามอย่างสงสัยในขณะที่กำลังเดินผ่านห้องต่าง ๆ
"วันนี้เราไม่สำรวจไปทีละห้องเหมือนแบบเมื่อก่อนเหรอ"
คราวนี้ฮิกเดินนำพวกเขาผ่านห้องต่าง ๆ และตรงขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจที่จะสำรวจห้องหรือเส้นทางอื่นที่เดินผ่านเลย
ฮิกตอบกลับ
"ไม่ มีสิ่งที่ดีกว่ารอคอยเราอยู่ข้างหน้าเพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไม่สนใจของไร้ค่าพวกนั้น"
ในขณะที่พวกเขาเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสิบของตึก ฮิกก็เดินนำทุกคนเข้าไปในโถงทางเดินยาว ๆ
ขณะที่พวกเขาเดินอยู่ ก็มีสัตว์ประหลาดรูปร่างหน้าตาเหมือนกับกิ้งก่าที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกเขาเกือบเท่าตัว มันเกาะอยู่บนเพดาน และจ้องมองมาที่พวกเขาราวกับจ้องมองอาหาร คริสและฮิกเอาปืนกลหนักออกมาทันที ก่อนจะสาดกระสุนใส่เจ้ากิ้งก่าตรงหน้าแบบไม่ยั้งมือ เพียงครู่เดียวบนตัวกิ้งก่ายักษ์ก็เต็มไปด้วยรูกระสุน เลือดของมันไหลออกมาท่วมโถงทางเดินพร้อมกับตัวของมันที่ร่วงตกลงมา
คริสมองเจ้าสัตว์ประหลาดตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ โดยปกติแล้วกิ้งกายักษ์จะมีผลึกขนาดใหญ่อยู่ในตัว แต่มันกลับเป็นสัตว์ประหลาดที่ฆ่าง่ายมาก นั่นทำให้เมื่อใครพบเจอมันเข้า ก็เป็นอันต้องยอมเปลืองกระสุนเพื่อดับชีวิตพวกมันทุกครั้งไป คริสหันไปมองฮิกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
"กิ้งก่ายักษ์เหรอ ไหนแกบอกว่าที่นี่เคยมีคนมาสำรวจแล้วไง ทำไมเจ้าสัตว์ตัวนี้ยังอยู่"
ฮิกตอบแบบปัดผ่าน
"เอาน่า มันอาจจะโชคดีเหลือรอดมาก็ได้"
จากนั้นฮิกก็ล้วงลูกเหล็กกลม ๆ เท่าลูกเบสบอลออกมาจากกระเป๋า แล้วนาบไปบนศพของกิ้งก่าตรงบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นกลางหน้าอกของมัน จากนั้นฮิกก็กรีดมีดลงไปตรงจุดนั้น แล้วกระชากลูกเหล็กกลับอย่างแรง การกระทำนี้ทำให้มีบางสิ่งบางอย่างหลุดออกมาจากรอยกรีด มันมีลักษณะเป็นผลึกแก้วสีม่วงกลม ๆ ที่มีขนาดใหญ่พอพอกับลูกเหล็กในมือของฮิก เมื่อเสร็จแล้วฮิกก็เก็บทั้งผลึกแก้วและลูกเหล็กเข้ากระเป๋า ก่อนเดินนำทุกคนไปข้างหน้าต่อ
เดินกันมาได้สักพัก ฮิกก็พาทุกคนมาหยุดยืนตรงหน้าห้องแห่งหนึ่งที่มีประตูเป็นกระจกแบบบานเลื่อน ห้องข้างในมีตู้ทรงสี่เหลี่ยมหลายตู้มากมาย และในตู้เหล่านั้นก็มีวัตถุสี่เหลี่ยมแบน ๆ ใส่อยู่ด้านใน เมื่อคริสได้เห็นสิ่งของด้านในที่ยังอยู่ครบสมบูรณ์ก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาทันที จากนั้นคริสก็กระชากไหล่ฮิกอย่างแรงแล้วเอ่ยถามอย่างหัวเสีย
"นี่พาเรามาตึกที่ไม่เคยมีใครสำรวจใช่มั้ย นายรู้มั้ยตึกแบบนี้สำหรับพวกเรามันอันตรายขนาดไหน"
ฮิกพยายามพูดให้เพื่อนสงบลง
"ใจเย็นน่า วันก่อนฉันเห็นพวกนักล่ากลุ่มหนึ่งมาปะทะกับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่ครองพื้นที่แถวนี้อยู่ ถึงนักล่าพวกนั้นจะตายเรียบ แต่เจ้าตัวใหญ่นั่นก็บาดเจ็บพอตัว มันไม่โผล่มาออกมาเร็ว ๆ นี้แน่"
"เจ้าสัตว์ตัวใหญ่นั่นครองพื้นที่นอกตึกใช่มั้ย"
"ก็ใช่"
เมื่อได้คำตอบ คริสก็ถอนหายใจยาวแล้วเพิ่มความระมัดระวังตัว และมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง การที่สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ครองพื้นที่ด้านนอกตึกนั้น มักจะทำให้เหล่าสัตว์ตัวเล็กที่อ่อนแอจะเข้ามาอาศัยในตึกเพื่อใช้เป็นที่หลบซ่อน
ฮิกรู้ดีว่าข้างในนี้เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดมากมาย แต่ที่พวกมันต้องซ่อนนั้นก็เพราะว่าพวกมันอ่อนแอ แถมตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวันที่ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยแสงสว่างด้วย นั่นทำให้ฮิกตัดสินใจมาสำรวจที่นี่ในเวลานี้ แต่ด้วยรู้ดีว่าคริสเพื่อนของตนขี้ระแวง นั่นเลยทำให้ฮิกไม่ได้บอกความจริงเรื่องสถานที่ที่จะมาสำรวจ
"นี่ยังเช้าอยู่เลย นายจะกลัวอะไร"
คริสตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
"นายก็รู้ว่าสภาพอากาศที่นี่มันเปลี่ยนแปลงง่ายขนาดไหน"
แต่สุดท้ายเมื่อมาแล้วเขาก็ไม่อยากจะมาเสียเที่ยว คริสถอนหายใจอย่างแรง แล้วเริ่มลงมือหาทางเปิดประตู
"เอ่อ เอาก็เอา"
ในที่สุดคริสก็สามารถเปิดประตูได้ ก่อนจะพากันเข้าไปในห้อง แล้วกวาดเอาเจ้าแท่งสี่เหลี่ยมแบน ๆ ที่มีข้อความเขียนติดไว้ว่าฮาร์ทดิสยัดใส่ในกระเป๋า
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังเก็บของลงกระเป๋า ก็เกิดเสียงบางอย่างที่ดังสนั่นหวั่นไหวมาจากฟากฟ้า ซึ่งนั่นก็คือเสียงฟ้าร้อง และเมื่อมีฟ้าร้องก็ย่อมจะต้องมีเมฆฝน และเมฆฝนก็จักนำมาซึ่งความมืด ความมืดที่จะนำมาซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว
คริสหันไปมองตามเสียงนั้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
"แย่แล้ว ไอ้หนู สะพายกระเป๋าแล้ววิ่งเลย"
ชีฟไม่รอช้ารีบสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งออกไปคนแรก จากนั้นอีกสองคนก็วิ่งตามออกมา ทั้งหมดพากันวิ่งไปยังบันไดหนีไฟและลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นแต่เมื่อทั้งสามพากันออกมาที่โถงทางเดิน
คริสที่วิ่งนำอยู่หน้าสุดส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดวิ่ง แล้วเอื้อมมือไปล้วงหยิบระเบิดออกมาหนึ่งลูก จากนั้นหันไปบอกอีกสองคน
"ใส่แว่นซะ" คริสใช้อีกมือที่ว่างดึงแว่นกันแสงที่ห้อยไว้ข้างเอวขึ้นมาใส่ แล้วขว้างระเบิดออกไปตรงหน้า และเมื่อระเบิดทำงาน แสงสว่างเจิดจ้าก็ถูกปลดปล่อยออกมา เผยตัวตนบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างหน้า
วานรสี่ตัวเอามือปิดตาของมันอย่างทรมาน แสงจากระเบิดแสงทำให้ตาของพวกมันบอดชั่วคราวทันที คริสและฮิกไม่รอช้าสาดกระสุนใส่ก่อนที่พวกมันจะหายไป
วานรล่องหน คือสัตว์ประหลาดที่คริสกำลังกลัว แม้พวกมันจะดูอ่อนแอด้วยขนาดตัวที่เท่ากับเด็กวัยเดียวกับชีฟ แต่ด้วยขนและผิวหนังของพวกมันที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ที่ถ้าหากไม่มีแสงสว่างที่มากพอแล้วละก็ จะไม่มีสิ่งใดมองเห็นพวกมันได้ราวกับว่าพวกมันล่องหนยังไงยังงั้น
วานรสี่ตัวถูกสังหารอย่างรวดเร็ว แต่เสียงฝีเท้าและฝุ่นคลุ้งอยู่ข้างหน้า นั่นก็ทำให้พวกเขารู้ว่ามันยังเหลืออีกหลายตัว
คริสตะโกน
"กลับขึ้นไปชั้นสอง เราจะหาทางออกอื่นกัน"
คริสรีบวิ่งนำไปทันที ก่อนจะหันไปถามฮิกที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ
"นายมีระเบิดแสงกี่ลูก"
"สามลูก"
คริสคลำระเบิดที่ห้อยอยู่ที่เอวซ้าย ซึ่งก็พบว่ามันเหลืออยู่แค่สองลูก เมื่อพวกเขาวิ่งเข้ามาในโถงทางเดินชั้นสอง คริสก็ตัดสินใจโยนอีกลูกไปด้านหลัง เพื่อทำให้พวกวานรมันช้าลงบ้าง
ฮิกที่เห็นทางตันอยู่ข้างหน้า ก็หันไปถามเพื่อนถึงแผนต่อไป
"เอาไงคริส"
คริสมองตรงไปข้างหน้า
"นั่น เราจะกระโดดลงไป"
ฮิกมองบานกระจกตรงหน้า จากนั้นสนับสนุนเพื่อนด้วยการกราดยิงใส่จนกระจกแตกเป็นเสี่ยง ๆ การวิ่งไปด้วยพร้อมเล็งปืนไปด้วย บวกกับพื้นตึกเก่า ๆ ที่ขรุขระ ทำให้ฮิกสะดุดล้มกลิ้งไปกับพื้น สายกระเป๋าสะพายก็ขาดเพราะน้ำหนักบรรจุที่มากเกินไป
คริสขว้างระเบิดแสงลูกสุดท้ายทันที แล้วชุดฮิกให้ลุกขึ้นวิ่งต่อ ด้วยความรีบร้อนทำให้ฮิกคว้ากระเป๋าไม่ทัน ชีฟที่วิ่งเลยกระเป๋าที่หล่นอยู่เพียงเล็กน้อย จึงคิดที่จะหันกลับไปเก็บกระเป๋าใบนั้น
ฮิกที่หันกลับมาเห็นแม้จะเสียดายของข้างในแค่ไหน แต่ก็รีบหันกลับไปตะโกนห้ามทันที
"ไม่ต้องแล้วชีฟ"
แต่เหมือนจะสายไปเมื่อชีฟเข้าถึงกระเป๋าเรียบร้อย พื้นตึกที่ทรุดโทรมใกล้พังเต็มที เมื่อเจอแรงกระแทกจากกระเป๋าบวกกับแรงสะกิดอีกเล็กน้อยจากการพยายามยกเป๋าหนัก ๆ ขึ้นมาของชีฟ พื้นที่ผุพังก็ถล่มลงไป
คริสและฮิกใจหล่นวูบ
"ชีฟ!!!"
แต่ก็จำใจต้องวิ่งต่อไปเมื่อฝุ่นตามพื้นได้บ่งบอกว่าเหล่าวานรกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
สองนักล่าตัดสินใจวิ่งสุดฝีเท้าโดยทิ้งชีฟไว้ด้านหลัง และในที่สุดพวกเขาก็วิ่งมาจนถึงสุดขอบและตัดสินใจกระโดดลงไป
ชีฟร่วงตกลงมาอย่างแรง โชคดีที่เศษพื้นอาคารใต้เท้าที่ชีฟยืนอยู่ยังคงเกาะติดกันเป็นแผ่นใหญ่ นั่นทำให้ชีฟไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย แต่เหมือนโชคร้ายจะยังไม่หมด เศษพื้นอาคารก้อนเท่าลูกฟุตบอลล่วงตามลงมาและกระแทกเข้าใส่หน้าอกของชีฟอย่างจัง ความจุกที่ได้รับทำเอาแทบจะหายใจไม่ออก ร่างกายเล็ก ๆ ได้แต่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนซากอาคารที่พังลงมา ชีฟเอามือทุบหน้าอกหลายครั้ง ก่อนจะพยายามสูดหายใจเข้าออกแรง ๆ จนกระทั่งหลอดลมที่ถูกกดทับกลับมาขยายอีกครั้ง การกระทำนี้ทำให้ชีฟมึนหัวจนเห็นภาพหลอนเป็นแสงดาวระยิบระยับเต็มไปหมด ชีฟสะบัดหัวหลายครั้งเพื่อไล่ภาพหลอนออกไป ก่อนจะขยับเสื้อแรง ๆ เมื่อตอนนี้เขานั้นรู้สึกร้อนในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเริ่มรู้สึกเย็นลงชีฟก็รีบควานหากระเป๋าของฮิก ด้วยจำได้ว่ามันมีปืนกลเบาห้อยติดอยู่ โชคดีที่ยังพอมีแสงอยู่บ้าง ทำให้ชีฟสามารถคว้าปืนกลมาถือไว้ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เคยใช้มันมาก่อน แต่ชีฟก็เรียนรู้ที่จะปลดเซฟปืนจากภาพจำที่เคยเห็นมา
เสียงฝีเท้าเบา ๆ มาพร้อมกับความรู้สึกที่ทำให้ชีฟต้องเสียวสันหลังวาบ เขาหันไปยังทิศทางที่มาของความรู้สึกนั้น ก่อนจะเห็นว่ามันว่างเปล่า แต่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง เขาก็สาดกระสุนออกไปทันที เลือดสด ๆ ไหลหยดลงพื้น จุดหยดของเลือดขยับเข้าใกล้ชีฟเรื่อย ๆ ก่อนหยุดลง ซึ่งอาจจะหมายความได้ว่าเจ้าของหยดเลือดนี้บาดเจ็บสาหัสเกินกว่าที่จะเคลื่อนไหว หรือสิ้นใจไปแล้ว
ความรู้สึกนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งในทิศทางอื่น ชีฟก็รีบหันไปและกราดยิงทันที หยดเลือดปรากฏออกมาอีกครั้ง คราวนี้จุดหยดของเลือดไม่มีการขยับเขยื้อน นั่นหมายความว่าเจ้าสิ่งนั้นถูกหยุดด้วยการยิงเพียงชุดเดียว
และความรู้สึกแบบเดิมก็ปรากฏขึ้นมาอีก แม้กระสุนที่บรรจุไว้จะยังคงเหลืออยู่ แต่ชีฟก็รีบคลำหาแม็กกระสุนอันอื่นสำรองไว้ทันที เมื่อความรู้สึกแบบเดิมมันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
สองนักล่ากลับมาที่รถด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง พวกเขาถูกชะตากับเด็กคนนี้และคิดที่จะฝึกให้เป็นนักล่าที่แข็งแกร่งยามเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้น คริสขึ้นไปนอนท้ายกระบะด้วยอาการหมดแรง โชคดีที่เจ้าพวกวานรนั้นเกรงกลัวเจ้าถิ่นที่อยู่ข้างนอก พวกมันจึงไม่กล้าตามพวกเขาออกมา
ปัง!ปัง!ปัง! เสียงปืนกลเบาดังรัวไม่ขาดสายในทิศทางที่สองนักล่าจากมา คริสหันกลับไปมองที่ตึก เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แต่มันไม่ได้ดังมาจากชั้นหนึ่งแต่กลับดังมาจากชั้นใต้ดินของตัวตึก
"ฮิก เมื่อกี้เสียงปืนใช่มั้ย"
ฮิกตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและรอยยิ้ม
"ยัยหัวแดงฆ่านายแน่นอน"
เสียงปืนนั้นเป็นสัญญาณที่ดีว่าเจ้าหนูที่พวกเขาพามา อาจจะยังมีชีวิตอยู่
คริสหยิบปืนบนหลังรถแล้วโยนให้เพื่อน
"ไปช่วยไอ้หนูนั่นกัน"
ใช้เวลาไม่นานนักล่าทั้งสองก็หาทางเข้าใต้ดินจนเจอ ซึ่งทางเข้านี้มีลักษณะเป็นทางลาดชันลงไป ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าข้างล่างนี้เป็นโรงจอดรถ พื้นที่โล่ง ๆ แบบนี้พวกเขาน่าจะหาตัวชีฟได้ไม่ยาก
แต่เหมือนพวกเขาจะไม่ต้องลำบากลงไปข้างล่างแล้ว เมื่อร่างที่ดูเล็กและบอบบางกำลังเดินออกมาจากเงามืด พร้อมกับลากกระเป๋าใบหนึ่งมาด้วย
ชีฟเงยหน้ามองนักล่าทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างบน พร้อมกับหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือด แต่ส่วนมากนั้นไม่ใช่เลือดของเขา แต่เป็นเลือดจากสัตว์ประหลาดที่พึ่งถูกเขาสังหารไป
คริสและฮิกแม้จะดีใจที่เด็กในการดูแลของพวกเขายังไม่ตาย แต่การรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์นี้ก็ทำให้พวกเขาต้องหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
แน่นอนว่าวานรล่องหนนั้นฆ่าไม่ยากหากอยู่ในที่แจ้ง แต่กลับกันถ้ามันอยู่ในที่ที่แสงสว่างส่องไม่ถึง การล่องหนของพวกมันก็ทำให้พวกมันถูกจัดอยู่ในสิบสัตว์ประหลาดที่ฆ่านักล่ามือใหม่ได้มากที่สุด