ค่ำคืนที่มืดมิด ไม่มีแม้กระทั่งดวงดาว เมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวบดบังแสงจันทร์ราวกับจะกลืนกิน ขอบฟ้าด้านหน้าปรากฏแสงสีแดงฉานตัดกับพื้นหลังสีดำ ควันไฟลอยตามลม กลิ่นคละคลุ้งเหม็นไหม้ผสมกลิ่นคาวเลือด
เสียงกระทบกันของโลหะยังคงมีให้ได้ยินไม่ขาดสาย ทหารสองฝ่ายยังคงโรมรันฆ่าฟันศัตรูตรงหน้า ทิ้งกองซากศพที่นองไปด้วยเลือดไว้ด้านหลัง กระทั่งทหารคนสุดท้ายล้มลง ฝนห่าใหญ่จึงได้โรยตัวลงมาราวกับจะชำระล้าง ยิ่งกลับทำให้เกิดภาพที่น่าหดหู่
ศพทหารสองแคว้นนอนกองทับถมกัน น้ำฝนที่เจิ่งนองมองราวกับทะเลเลือด ควันไฟค่อยๆ มอดลง หลงเหลือเพียงกลุ่มก้อนควันสายหนึ่งที่ล่องลอยอย่างอิสระไปรอบๆ สมรภูมิรบแห่งนี้ จนมาวนเวียนอยู่รอบๆ กองซากศพกลุ่มหนึ่ง ควันดำสายนั้นค่อยๆ ลอยวนต่ำลงและเหมือนจะสลายไปเมื่อสัมผัสถูกศพเหล่านั้น
กองพลลาดตระเวนของแคว้นโม่ค่อยๆ ย่างเข้ามาในสมรภูมิรบอย่างระแวดระวัง ทั้งหมดกระจายตัวเพื่อสำรวจหาผู้รอดชีวิตร่วมแคว้น หากเป็นฝ่ายตรงข้าม ทหารเหล่านี้ถูกสั่งให้สังหารทันที โดยไม่คิดจะเก็บไว้เป็นเชลยให้สิ้นเปลืองเสบียง
สำรวจโดยรอบอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่พบวี่แววผู้รอดชีวิต ทหารนายหนึ่งจึงวิ่งไปรายงานนายกองที่นั่งสั่งการบนหลังอาชาตัวใหญ่
"มีผู้รอดชีวิตหรือไม่"
"ไม่มีขอรับ"
"เก็บอาวุธที่ใช้การได้กลับค่าย!!"
นายกองสั่งการจบก็ชักม้ากลับโดยมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ทหารส่วนที่เหลืออยู่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
ทหารส่วนใหญ่ช่วยกันเก็บหอก ดาบ ธนูที่ใช้งานได้ เว้นเพียงทหารกลุ่มหนึ่งที่นอกจากเก็บอาวุธแล้วยังเที่ยวค้นตัวศพเหล่านั้น
บ้างเจอป้ายหยก บ้างเจอแหวนหยก บ้างเจอปิ่น สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของแทนใจจากคนที่บ้านให้กับพ่อ สามี พี่ชาย น้องชาย หรือแม้กระทั่งลูกชายไว้เป็นกำลังใจยามออกศึก ทหารกลุ่มเลือกเก็บเฉพาะของมีค่า แม้กระทั่งเบี้ยอัฐอันน้อยนิดที่ติดตัวมาก็ไม่เว้น
"เฮ้ย!!" เสียงทหารผู้หนึ่งที่กำลังค้นศพร้องอย่างตกใจ เมื่อเกิดความเคลื่อนไหวจากใต้ศพที่เขาค้นหาของมีค่าอยู่ ทำให้ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ กันหันมามอง
"อะไร เจ้าเจออะไร?" ทหารกลุ่มเดียวกันรีบปรี่เข้ามาใกล้ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
"ศพขยับได้"
"ศพที่ไหนจะขยับได้กัน ถ้าขยับได้ก็แสดงว่ายังไม่ตาย" พอสิ้นคำพูดนายทหารผู้นั้นก็เบิกตากว้างก่อนตะโกน "มีคนรอด"
ทหารสองสามนายที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งเข้ามาช่วยกันยกศพออกไป จนพบมือของใครบางคนขยับอยู่ภายใต้กองศพ กระทั่งทหารยกศพด้านบนออกเผยให้เห็นนายทหารผู้หนึ่งถูกลูกธนูปักบนร่างหลายดอก ร่างกายตั้งแต่ช่วงอกขึ้นไปถึงลำคอ และใบหน้าซีกหนึ่งถูกไฟคลอก หากแต่ยังมีลมหายใจ
ทหารที่เข้ามาช่วยต่างตกตะลึงกับสภาพผู้รอดชีวิตตรงหน้า ก่อนทหารนายหนึ่งจะรู้สึกตัว
"ไปเร็ว รีบพาเขากลับค่าย"
พลทหารสองนายวิ่งหามเปลเข้ามา ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ช่วยกันยกร่างที่ไร้สติขึ้นบนเปล ด้วยความเร่งรีบ ทำให้ทหารเหล่านั้นไม่ทันเห็นป้ายหยกเนื้อดีสลักอักษรคำว่าหยุนหล่นลงบนกองซากศพ
ชายหนุ่มร่างโปร่งบางในเครื่องแบบพลทหารชั้นผู้น้อย กำลังก้มตักน้ำอยู่ที่ริมน้ำ จนน้ำเต็มถังจึงหาบไปยังโรงครัวของค่ายทหารแห่งแคว้นโม่
ชายหนุ่มหาบน้ำมายังถังน้ำภายในโรงครัว ผ่านนายทหารหลายคนที่ทำหน้าที่ปรุงอาหารสำหรับคนทั้งค่าย เขาเปิดถังน้ำและเทน้ำที่หาบมาลงไป
"ไอ้ใบ้ หาบน้ำเสร็จแล้วไปขนฟืนมาเติมด้วย" ทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพ่อครัวตะโกนบอกเสียงดังแข่งกับเสียงเคาะกระทะในมือ
เจ้าใบ้ พยักหน้าแรงๆ ให้ จากนั้นก็หิ้วถังและไม้หาบออกจากโรงครัว ตรงไปยังห้องเก็บฟืน และนำฟืนกลับเข้ามาเติมในโรงครัว
"ไอ้ใบ้ เติมฟืนเสร็จแล้วก็ไปกินข้าว ข้าแบ่งส่วนของเจ้าไว้ให้แล้ว" หัวหน้าพ่อครัวเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวอย่างลวก ๆ ก่อนถอดผ้ากันเปื้อนออกวางกองรวมไว้บนโต๊ะที่มีสำรับอาหารอยู่ชุดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินออกจากโรงครัวไป
ไอ้ใบ้ขนฟืนเข้ามาเติมอีกสองสามรอบ จากนั้นจึงล้างไม้ล้างมือแล้วมานั่งกินข้าวในโรงครัวเพียงลำพัง เมื่อกินเสร็จก็นำถ้วยชามไปล้างแล้วเข้ามาหอบกองผ้ากันเปื้อนไปซักที่ริมแม่น้ำ เสร็จจากซักผ้า เจ้าใบ้ก็ลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ ก่อนเข้ากระโจมเพื่อนอนพักผ่อน
ตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งหายดี เขาก็ถูกส่งให้มาทำงานที่โรงครัว วันๆ เที่ยวหาบน้ำ ขนฟืน ล้างถ้วยชาม วนเวียนอยู่อย่างนี้ ด้วยเพราะเขาจำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร คนอื่นบอกว่าเขาพูดไม่ได้เลยเรียกไอ้ใบ้ ตนเองก็ไม่ใคร่จะเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นพูดมากนัก
ไอ้ใบ้ตื่นขึ้นมาก่อนท้องฟ้าจะเปลี่ยนสี เขารีบตรงไปที่โรงครัวจัดการตักน้ำจากถังเพื่อนำมาล้างถ้วยชามที่ทหารใช้เมื่อคืน ล้างเสร็จเมื่อฟ้าสางพอดี จากนั้นจึงเข้าไปยังห้องเก็บฟืนเพื่อหยิบถังน้ำกับไม้หาบแล้วเดินตรงไปยังแม่น้ำ
"ไอ้ใบ้ วันนี้ขบวนเสบียงจากเมืองหลวงจะมาถึง เจ้าหาบน้ำเสร็จแล้วก็รีบไปช่วยขนเสบียงด้วยเล่า" เสียงสั่งการดังมาจากในโรงครัว เขาจึงพยักหน้ารับ
ไอ้ใบ้หาบน้ำอยู่หลายรอบจนน้ำเต็มถังใบใหญ่ที่วางเรียงรายอยู่ด้านนอกโรงครัวซึ่งเป็นน้ำที่ใช้สำหรับล้างถ้วยชาม เขาเก็บเครื่องมือประจำตัวไว้ในห้องเก็บฟืนดังเดิมก่อนออกมายืนไม่รู้ทิศทางว่าต้องไปขนเสบียงที่ใด
ในโรงครัวยังคงวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเช้าให้บรรดาเหล่าทหาร จึงไม่มีใครสนใจเขา กระทั่งไอ้ใบ้เห็นชายร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งเดินแบกกระสอบบางอย่างไปไว้ที่กระโจมเก็บเสบียงแล้วเดินจากไป เขาจึงเร่งเดินตามจนมาถึงขบวนเสบียงที่มาจากเมืองหลวง จอดเทียบรอให้นายทหารตรวจสอบ
"พวกเจ้า ช่วยกันขนเสบียงนี้ไปไว้ด้านใน" นายทหารที่ตรวจสอบลงบันทึกเสบียงในเกวียนเล่มหนึ่งเอ่ยพร้อมชี้ไปยังพลทหารที่ยืนอยู่ใกล้ ให้ช่วยกันเข็นเกวียนเข้าไปยังด้านใน
เมื่อจดบันทึกครบทุกเกวียนแล้วนายทหารผู้นั้นก็ชี้มาที่เขาและชายร่างใหญ่ที่เขาเดินตามมาในตอนแรก "เจ้าและเจ้า ไปนำของบนหลังม้าไปส่งยังกระโจมท่านแม่ทัพ"
เจ้าใบ้มองไปยังม้าตัวใหญ่ที่ยืนเรียงกันสองสามตัว บนหลังม้ามีห่อผ้าพาดไว้ เขาจึงเดินเข้าไปคว้าห่อผ้าเหล่านั้นมาทั้งหมด
"ไม่คิดว่าตัวเจ้าเล็กนิดเดียวกลับมีกำลังวังชามากมาย" ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาฉวยห่อผ้าไปจากเขาบางส่วน "มา ข้าช่วยเจ้า"
เจ้าใบ้พยักหน้าให้ก่อนเดินตรงไปยังกระโจมท่านแม่ทัพ โดยมีชายร่างใหญ่เดินตาม เขาเคยช่วยยกสำรับไปให้ท่านแม่ทัพที่กระโจมอยู่หลายครั้ง จึงจำได้อย่างแม่นยำว่าต้องเดินไปยังทิศทางใด
เมื่อเดินมาถึงเขาก็พบทหารยามเฝ้าอยู่หน้ากระโจมเหมือนทุกครั้ง จึงเดินตรงเข้าไปหาทหารยามเหล่านั้น แต่กลับถูกชายร่างใหญ่รั้งเอาไว้
"นี่กระโจมพักของท่านแม่ทัพรึ? "
'กระโจมพัก?' ไอ้ใบ้ขบคิดตามก่อนพยักหน้า ด้วยตั้งแต่เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาและอยู่ในค่ายแห่งนี้มาเป็นแรมเดือน ก็เห็นท่านแม่ทัพเพียรเข้าออกที่กระโจมนี้ เช่นนั้นแล้วจะเป็นกระโจมอื่นไปได้อย่างไรกัน
ไอ้ใบ้เดินเข้าไปหาทหารยาม โดยมีชายร่างใหญ่เดินตามมาไม่ห่าง เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าทหารยามผู้นั้น เขาจึงยื่นห่อผ้าไปทางหน้ากระโจม
"เจ้ามาทำไม จะเข้าไปหาท่านแม่ทัพรึ?" ทหารยามถาม เขาจึงพยักหน้า "ไอ้ใบ้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้านึกจะอยากมาก็มาได้" ไอ้ใบ้รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
"พี่ชาย ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกข้าเพียงแต่นำสัมภาระนี้มาให้ท่านแม่ทัพตามคำสั่งเท่านั้น" ชายร่างใหญ่พูดขึ้น เขาจึงพยักหน้าแรงๆ
"เจ้าเป็นใคร เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นหน้า"
"ข้ามาพร้อมกับขบวนเสบียงของท่านรองแม่ทัพ"
"ข้างนอกมีเรื่องอะไรกัน" เสียงทรงอำนาจดังออกมาจากในกระโจม ทหารยามที่คุยกับเขาจึงพยักหน้าให้ทหารอีกคนเข้าไปรายงานภายในกระโจม ไม่นานทหารผู้นั้นก็กลับออกมา
"พวกเจ้าเข้าไปได้"
ไอ้ใบ้พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในกระโจม เขาเดินเลี่ยงมาทางด้านข้างผ่านด้านหลังของเก้าอี้ที่วางเรียงเป็นแถว แล้ววางห่อผ้าลงบนตั่ง
ครั้งนี้ชายร่างใหญ่กลับไม่ตามเขามาติดๆ หากแต่ค่อยๆ เดินพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ เขาจึงมองตาม
ท่านแม่ทัพนั่งอยู่บนตั่งกลางกระโจม ฝั่งตรงข้ามกับที่เขายืนอยู่ มีเก้าอี้วางเรียงกันอีกแถวมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่
ไอ้ใบ้แค่มองผ่านจากนั้นก็เดินไปหาชายร่างใหญ่ก่อนคว้าห่อผ้ามาวางรวมบนตั่ง เขาอยากรีบกลับไปทำงานที่โรงครัวที่ยังมีอีกมากมาย
"เจ้าสืบความแน่ชัดแล้วอย่างนั้นรึ ว่าเสี่ยวหลานลอบติดตามข้ามา"
"ข้าแน่ใจ ถึงได้อาสามาส่งเสบียงให้กับท่านที่นี่ เพื่อจะมาลากเจ้าตัวดีกลับจวน"
ไอ้ใบ้ทำงานตามคำสั่งเสร็จก็เดินออกจากกระโจม หากผู้ที่มาด้วยกลับไม่เดินตามมาอย่างคราแรก เขาจึงหันกลับไปดึงชายร่างใหญ่ให้เดินตามออกมา
"โอ๊ย!!" เสียงที่รอดผ่านลำคอออกมาเป็นครั้งแรก ทำให้ไอ้ใบ้ตกใจยิ่งกว่าถูกชายร่างใหญ่จับบิดแขนกดลงที่พื้นกระโจมเสียอีก เขามิได้เป็นใบ้!!
"เจ้าเป็นใคร!!" เสียงของคนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ถามพร้อมชักกระบี่ออกมาเตรียมพร้อม
เสียงความเคลื่อนไหวภายในกระโจมทำให้ทหารยามข้างนอกพากันเข้ามาหลายคน
"คนผู้นี้บอกว่าติดตามท่านมาจากเมืองหลวง" ทหารยามผู้หนึ่งบอก
"เจ้าลอบเข้ามาในค่ายแห่งนี้มีจุดประสงค์อะไร" ท่านแม่ทัพยังคงนั่งอยู่บนตั่ง ถามออกมาด้วยเสียงทรงอำนาจ
"เพราะเจ้า ทำให้ข้าเสียแผน" ชายร่างใหญ่กัดฟันพูดอย่างแค้นเคืองก่อนที่เขาจะถูกลากให้ลุกขึ้นพร้อมทั้งมีดสั้นที่จ่ออยู่บนลำคอที่ปรากฏแผลเป็นน่ารังเกียจ
"เสี่ยวหลาน?"
ไอ้ใบ้ได้กลิ่นหอมหวานแผ่กำจายมาจากชายร่างใหญ่ ยิ่งสูดดมก็ยิ่งรู้สึกสดชื่น อาการเมื่อยล้าจากการทำงานดูจะค่อย ๆ ทุเลาลง แม้แต่ไหล่ที่ถูกจับกดลงกับพื้นเมื่อครู่ยังอาการดีขึ้น
เขามัวแต่เคลิบเคลิ้มอยู่กับกลิ่นหอมหวาน จึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งรอบข้าง เพียงแต่ก้าวตามแรงลากของชายร่างใหญ่ออกไปยังกระโจม มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อเสียงโลหะกระทบกัน
มีดสั้นที่กำลังจะจ้วงแทงมาทางเขาถูกสกัดไว้ด้วยกระบี่ พร้อมกับแรงที่ดึงร่างของเขาให้ออกห่างจากชายร่างใหญ่ เพียงพริบตาชายคนนั้นก็พลันหายไป
"เสี่ยวหลาน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?"
ไอ้ใบ้มองชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนหันไปมองหาชายร่างใหญ่ที่หนีหายไปไกล แต่กลิ่นหอมหวานยังคงมีอยู่จาง ๆ เขากระหายอยากจะสูดกลิ่นเช่นนี้ยิ่งนิ่งนัก
"เสียวหลาน" ชายตรงหน้าขยับมาใกล้ตรึงไหล่ของเขาไว้ จับพลิกหน้าพลิกหลังสำรวจดู "เหตุใดเจ้าจึงมอมแมมเยี่ยงนี้" ชายผู้นั้นยังคงสำรวจร่างกายของเขาจนกระทั่งชะงัก เมื่อมือข้างหนึ่งเกลี่ยปัดผมที่ปรกหน้าเขาไว้ซีกหนึ่ง "กะ เกิด เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า"
ไอ้ใบ้มองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจก่อนส่ายหน้าแรงๆ ด้านหน้ากระโจมมีท่านแม่ทัพยืนมองมาที่พวกเขา ทหารยามมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
'เกิดสิ่งใดขึ้น?' เขาเหลียวมองรอบกายด้วยความฉงนสงสัย