Chereads / จิตมาร (心魔) / Chapter 4 - ตอนที่ 4

Chapter 4 - ตอนที่ 4

เช้าวันรุ่งขึ้น ยังหน้าค่ายทหารแคว้นโม่ ขบวนเดินทางขนาดเล็กกำลังเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไกล ด้วยการเดินทางจากชายแดนไปยังเมืองหลวงจำต้องใช้เวลากว่าค่อนเดือน โดยช่วงสี่ถึงห้าวันแรกตลอดเส้นทางจะพบเพียงป่ารกชัฏและเทือกเขาสูงชันเท่านั้น กว่าจะเข้าสู่เส้นทางที่พบจะพบหมู่บ้านหรือเมืองเล็ก ๆ ก็เข้าสู่วันที่หกแล้ว พอเข้าหมู่บ้านหรือตัวเมืองต่าง ๆ การพักแรมก็จะสะดวกสบายยิ่งขึ้น

หยุนจินเฉวียนเดินมาส่งเสี่ยวหลานที่รถม้าด้วยตัวเอง ตามติดมาด้วยเฉิงตงซึ่งรับหน้าที่ดูแลคุณชายน้อยตั้งแต่นี้เป็นต้นไปกระทั่งเดินทางส่งถึงจวนหยุนในเมืองหลวง

ด้วยอย่างไรหยุนจินเฉวียนก็มิอาจวางใจให้เฉิงตงดูแลเสี่ยวหลานแต่เพียงผู้เดียว เขาจึงได้สั่งให้ทหารคนสนิทอย่างซิหมิงคอยคุ้มกันขบวนเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงไปด้วยอีกผู้หนึ่งพร้อมด้วยทหารฝีมือดีราวสิบกว่าคนที่ท่านแม่ทัพส่งมาให้

"เสี่ยวหลาน ระหว่างเดินทาง เจ้าห้ามซุกซน จงเชื่อฟังเฉิงตงและซิหมิง เข้าใจหรือไม่"

"เข้าใจ"

"เฉิงตง ระหว่างทางดูแลคุณชายน้อยให้ดี" หยุนจินเฉวียนเอ่ยกำชับกับเฉินตงอีกครั้งหลังจากกล่าวกำชับมาหลายครั้งหลายครา

"ขอรับ ท่านรองแม่ทัพ"

"ซิหมิง เมื่อเจ้าเดินทางถึงจวน ให้นำสารฉบับนี้ส่งให้ท่านพ่อก่อน หลังจากท่านพ่ออ่านสารของข้าแล้วเจ้าค่อยพาเสี่ยวหลานเข้าจวน ป้องกันมิให้ให้แม่ใหญ่และจิงลี่ตื่นตกใจ"

"ขอรับคุณชาย" ซิหมิงกล่าวพลางรับสารฉบับนั้นมาเก็บไว้ในอกเสื้อของตน

เมื่อได้เวลาออกเดินทางเฉิงตงจึงพาคุณชายน้อยขึ้นไปบนรถม้า โดยที่ตนทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบังเหียน ด้านหน้ามีทหารขี่ม้านำไปสี่คน ที่เหลือขี่ม้าตามหลัง ส่วนซิหมิงคอยขี่ม้าขนาบอยู่ข้างๆ รถม้า

เสี่ยวหลานมองดูสองข้างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเกาะขอบหน้าต่าง ยื่นหน้ามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งทนไม่ไหว คลานไปหาเฉิงตงที่คุมรถม้าอยู่

"ตงตง"

"ขอรับ"

"นั่น อะไร" เขาชี้ไปที่ข้างทาง

"ไก่ป่าขอรับ"

"ไก่ ไก่"

"ไก่ป่า"

"ไก่ ป่า ไก่ ป่า"

"ขอรับ"

"นั่น ๆ" เสี่ยวหลานชี้ไปที่ตัวอะไรสักอย่างที่วิ่งหายเขาไปในป่า เมื่อมันได้ยินเสียงรถม้าควบผ่าน

"กวาง"

"กวง"

"ไม่ใช่ขอรับ กวาง"

"กะ กะ วาง"

"กวาง"

เสี่ยวหลานใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะพูดคำว่ากวางได้อย่างถูกต้อง และตลอดการเดินทางจนถึงกระทั่งพักกินอาหารเที่ยง เสี่ยวหลานชี้นั่นนี่ให้เฉิงตงสอนพูดอยู่ตลอดเวลา จนซิหมิงต้องเป็นฝ่ายคอยส่งถุงหนังบรรจุน้ำให้ทั้งสองดื่มแก้กระหาย

เสี่ยวหลานมองหมั่นโถวกับเนื้อแห้งในมือ ก่อนค่อย ๆ กัดกินอย่างช้า ๆ

"สี่ห้าวันที่ยังไม่พ้นหุบเขา คุณชายน้อยอดทนกินอาหารเหล่านี้ไปก่อนนะขอรับ ไว้เข้าเมืองแล้วข้าจะจัดหาอาหารอร่อยๆ ให้ท่านกิน" เฉิงตงที่พอจะคุ้นเคยกับคุณชายน้อยเอ่ยขึ้น เพราะรู้ว่าคุณชายชื่นชอบการกินอาหารอย่างยิ่ง

"มีตงตง มีพี่ใหญ่ มีข้า มีอาหารเต็มโต๊ะ"

เฉินตงเข้าใจได้ทันทีว่าคุณชายน้อยหมายความว่าอย่างไร

หลังจกาทั้งคนและม้าพักผ่อนกระทั่งคลายความเหน็ดเหนื่อย ซิหมิงจึงเดินเข้าไปหาคุณชายน้อยเพื่อแจ้งว่าพวกเขากำลังจะเดินทางต่อ

"คุณชายน้อยขอรับ พร้อมเดินทางแล้วขอรับ"

"ไม่ คุณชายน้อย ไม่" ซิหมิงได้ยินถึงกับผงะ พลันคิดไปว่าคุณชายน้อยช่างดื้อดึงนัก พักผ่อนเกือบครึ่งชั่วยาม[1]แล้วยังมิยินยอมที่จะออกเดินทางต่อ

"ขุนพลซิ ท่านอย่าได้เข้าใจคุณชายน้อยผิดไป" เฉิงตงเห็นท่าทีของอีกฝ่ายจึวรีบกล่าวอธิบาย "คุณชายน้อยเพียงไม่ชอบให้เรียกขานเช่นนั้น"

"อ้อ! เช่นนั้น ข้าควรเรียกขานคุณชายน้อยว่าอย่างหรือพี่เฉิงตง"

"ท่านต้องเรียกคุณชายว่า เสี่ยวหลาน"

"ข้าไม่บังอาจ" ซิหมิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก

"เรายังต้องเดินทางอีกหลายวัน ท่านคงต้องทำใจแล้วล่ะ" เฉิงตงตบบ่าขุนพลหนุ่มอย่างให้กำลังใจ "เสี่ยวหลาน เราเดินทางต่อกันเถิด"

เสี่ยวหลานพยักหน้าและลุกขึ้นเดินตามเฉิงตงกับซิหมิง "ไปต่อ"

"ขอรับ" เฉิงตงพาเสี่ยวหลานกลับขึ้นรถม้า โดยมีซิหมิงเดินตามหลัง

ช่วงเย็นของการค้างแรมในป่าคืนหนึ่ง ทหารบางส่วนออกไปล่าสัตว์ เพื่อนำมาเป็นอาหารให้กับคุณชายน้อย ที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจเนื้อแห้งนัก เฉิงตงกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร ทำให้เสี่ยวหลานอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว เขาเห็นม้าถูกผูกไว้ที่ต้นไม้ ปล่อยให้มันแทะเล็มหญ้าอ่อนไปเรื่อยๆ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ

เฉิงตงออกไปตักน้ำที่ลำธารกับทหารผู้หนึ่งใกล้ๆ จุดที่พวกเขาพักทำให้เสี่ยวหลานเดินออกห่างจากรถม้าที่ใช้หลับนอนมาหลายคืน โดยมิมีผู้ใดทันสังเกตเห็น

เสี่ยวหลานยืนมองดูม้าตัวใหญ่กำลังแทะเล็มหญ้าโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เขาจึงยกมือขึ้นลูบลำคอของมันครั้งสองครั้ง เจ้าม้าตัวโตก็ยังคงนิ่งเฉย เสี่ยวหลานปลดสายบังเหียนออกแล้วพยายามป่ายปีนขึ้นไปบนหลังม้า

"ฮี้ๆ ..."

เจ้าม้าที่กินอาหารของมันอยู่ดี ๆ พลันตื่นตกใจเมื่อมีคนปีนขึ้นมาบนหลังของมันอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้มันวิ่งเตลิดออกไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง

"คุณชายน้อย!!"

ทหารที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันตกใจเป็นอย่างมาก ต่างพากันทิ้งงานในมือและวิ่งไปที่ม้าที่ผูกไว้ ก่อนจะพยายามควบม้าตามไปให้ทัน

เสี่ยวหลานก้มตัวกอดคอม้าไว้แน่น กลิ่นหอมประหลาดแผ่กำจายออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ลอยตามลมเข้ามาปะทะใบหน้า เขาจึงพยายามยืดตัวเพื่อมองหาที่มา

แม้กลิ่นหอมนี้จะไม่เย้ายวนเท่ากับที่เขาเคยได้กลิ่นจากเฉิงตงหรือหยุนจินเฉวียน แต่เมื่อสูดเข้าไปแล้วกลับให้ความสดชื่นไม่น้อย

เสี่ยวหลานกำขนตรงแผงคอม้าไว้แน่น จากนั้นก็ยืดตัวตรง เพ่งมองไปข้างหน้า ม้าตัวนี้วิ่งเตลิดเข้ามาในป่าลึกที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น กลิ่นหอมประหลาดค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับม้าที่ค่อยๆ ลดฝีเท้าลง

'กลิ่นมาจากไหน' เขาเหลียวมองไปรอบกาย 'หรือจะอยู่ด้านหลัง' เสี่ยวหลานหันกลับไปตามทางที่ผ่านมาทันที แต่ไม่พบเห็นสิ่งใด เขาพยายามกระตุกขนม้าสองสามทีหวังให้ม้าหยุด มันกลับสะบัดหัวและพยายามสลัดเขาลง

"ฮี้ๆ ..."

เสี่ยวหลานได้กลิ่นหอมประหลาดอีกครั้ง หากยังไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็พลัดตกจากหลังม้า อีกทั้งกลิ้งลงไปตามเนินเขา กระทั่งไปกระทบถูกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

"เจ็บ" เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบา แต่ยังมีสติ ร่างกายเขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้เพราะกลิ้งตกลงมาไกล

เสี่ยวหลานมองไปรอบกาย ได้ยินเพียงเสียงใบไม้ไหว เสียงแมลงและสัตว์กลางคืนร้องอยู่ไกล ๆ ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทาง

'หิว ถ้าหลับแล้วจะได้ไม่หิว'

เมื่อแสงอาทิตย์พ้นขอบฟ้า ความอบอุ่นเข้าอาบไล้ผืนป่า เรียกให้คนที่นอนตากน้ำค้างทั้งคืนตื่นขึ้นมา

เสี่ยวหลานลืมตาขึ้นพยายามขยับตัวที่ปวดระบมจนสามารถลุกเดินได้ ตามร่างกายมิได้มีบาดแผลอะไรนอกจากรอยขีดข่วนที่เกิดจากกิ่งไม้และก้อนหิน อาภรณ์ชุดงามฉีกขาดบางแห่งอีกทั้งยังเลอะเทอะมอมแมม

เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ทิศทาง มองสำรวจไปรอบกายอย่างสนใจ แต่ไม่มีใครให้คำตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้

"ตงตง" เขาร้องเรียก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ จึงได้แต่มุ่งหน้าเดินต่อไป

"หิว มีเพียงข้า ไม่มีของกิน" เขาพึมพำก่อนเดินต่อไปเรื่อยๆ จนตะวันตรงหัว ร่างกายเริ่มอ่อนแรง และกระหายน้ำ

เสี่ยวหลานนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ระหว่างคิดหาทางอยู่นั้น เขารู้สึกมีอะไรตกลงมากระทบศีรษะ จึงแหงนมองบนต้นไม้

สัตว์ตัวน้อย หางฟูๆ สองสามตัวกระโดดไปมาบนกิ่งไม้ เจ้าตัวนี้ "กระรอก" เสี่ยวหลานจำได้ว่าเฉิงตงเรียกสัตว์ตัวน้อยเหล่านี้อย่างไร

กระรอกน้อยกำลังกระโดดไปมาบนกิ่งไม้ พอเจอลูกกลม ๆ แดง ๆ มันก็หยุดและหยิบมากัดกิน

"กิน"

เสี่ยวหลานเห็นกระรอกกินลูกกลมๆ บนต้นไม้ จึงลุกขึ้นยืน และพยายามเอื้อมมือไปคว้าเจ้าลูกแดง ๆ ที่อยู่ตามกิ่งไม้ แต่เอื้อมเท่าไรก็เอื้อมไม่ถึง แม้จะพยายามกระโดดคว้าแล้วก็ตาม

เขานั่งลงที่โคนต้นไม้ดังเดิมอย่างหมดแรง เมื่อมองลงไปบนพื้นหญ้า เขาเห็นลูกกลม ๆ แดง ๆ ที่ถูกกระรอกกัดแทะหล่นเกลื่อนพื้น พลันสายตาของเขาพบเห็นเจ้าลูกแดง ๆ สองสามลูกที่ปะปนอยู่ ยังไม่ถูกกัดกิน จึงหยิบขึ้นมา

ลูกกลม ๆ แดง ๆ ผิวมันวาวผิดกับลูกอื่น ขนาดเท่าจอกชา เขาจึงลองดมดูแต่กลับไร้กลิ่น เมื่อมองเทียบกับลูกที่ถูกกระรอกกัดกินนั้น ก็ต่างกันไม่มาก เสี่ยวหลานจึงตัดสินใจกินมันเข้าไป

ยังไม่ทันส่งลูกแดง ๆ เข้าปาก เขากลับถูกหินปาใส่ เจ้าลูกนั้นกลิ้งตกลงไปบนผืนหญ้า เสี่ยวหลานจึงหันไปมองตามทิศทางของหิน

ชายรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าสะอาดหมดจด สวมอาภรณ์สีขาวขลิบฟ้า ลวดลายนกขายาว ๆ ปากยาว ๆ ปักด้วยด้ายสีฟ้าอ่อนและสีเทา ด้านหลังสะพายบางสิ่งรูปทรงยาวๆ พันไว้ด้วยผ้าสีขาว

เสี่ยวหลานจ้องมองชายคนนั้น ที่ยืนมองเขานิ่งๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอะไร เขาจึงเอื้อมไปคว้าเจ้าลูกกลม ๆ แดง ๆ ที่หล่นลงพื้นลูกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

กลับเป็นเฉกเช่นเดิม ชายคนนั้นขว้างหินใส่เขาอีกครั้ง เสี่ยวหลานจึงลุกขึ้นด้วยความโมโห

"สิ่งนั้นกินไม่ได้"

"ทำไม"

"มันมีพิษ"

"มีพะ พิษ" เสี่ยวหลานพยายามออกเสียงตาม "พิษ กินไม่ได้"

ชายรูปงามพยักหน้าน้อย ๆ ทำให้เขานั่งลงที่โคนต้นไม่ดังเดิมด้วยท่าทางห่อเหี่ยว 'กระรอกกินได้ แต่ข้ากินไม่ได้' เสี่ยวหลานดึงทึ้งต้นหญ้ารอบ ๆ กายอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

"หิว" เขาพึมพำเสียงอ่อย

เหวินลู่ฟงที่เพิ่งออกจากการกักตนเพื่อฝึกวิชาภายในหุบเขาดอกเหมย เมื่อผ่านค่ายกลอำพรางทางเข้าหุบเขาออกมา เขากลับได้ยินเสียงร้องเรียก 'ตงตง' จึงได้เดินตามเสียงนั้นมา

จากนั้นเขาก็ได้พบเด็กหนุ่มอายุราวสิบหก สิบเจ็ดปี ใบหน้างดงาม สวมใส่อาภรณ์เนื้อดี หากแต่มอมแมม กำลังนั่งจ้องมองผลโลหิตอยู่ใต้ต้นหยางเหมย เมื่อเห็นเด็กคนนั้นกำลังจะกินผลโลหิตเขาจึงเข้าขัดขวาง

เด็กหนุ่มหันมามองทางเขา ทำให้ได้เห็นใบหน้าชัดเจน เสี้ยวหน้าด้านหนึ่งมีรอยปื้นแดง คล้ายถูกน้ำร้อนลวก ทำให้ใบหน้างดงามนั้นแลอัปลักษณ์ไปทันที

หากสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเหวินลู่ฟง คงจะเป็นดวงตาของเด็กคนนั้นที่ใสบริสุทธิ์ราวกับหยาดน้ำค้าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอมแดงงดงามยิ่งนัก

เหวินลู่ฟงเผลอไผลจนเกือบจะปล่อยให้เด็กหนุ่มส่งผลโลหิตเข้าปากอีกคราเขาจึงรีบเดินเข้าไปขัดขวางและกล่าวห้าม

เด็กหนุ่มทำตัวราวกับคนโง่งมและนั่งลงบนพื้นหญ้าอีกทั้งยังดึงทึ้งใบหญ้ารอบ ๆ กาย พึมพำอะไรบางอย่าง

"หิว"

คำที่ได้ยินนั้นทำให้เหวินลู่ฟงอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ เด็กหนุ่มอายุขนาดนี้มิมีผู้ใดคอยอบรมสั่งสอนหรืออย่างไร จึงได้ทำตัวราวกับผ่านโลกมาเพียงไม่กี่ขวบปี

[1] 1 ชั่วบาม = 2 ชั่วโมง