เสี่ยวหลานมองดูลูกกลม ๆ แดง ๆ บนพื้นหญ้าอย่างเสียดาย พลางหวนนึกถึงคำกล่าวของท่านหมอประจำค่าย
'สมุนไพรบางอย่างแม้รักษาโรคได้ แต่หากกินเข้าไปอาจจะตายได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าจงเชื่อฟังข้า กินได้คือกินได้ ห้ามกินคือห้ามกิน ถ้าเจ้าไม่อยากตาย'
"หิว" เขายังคงพึมพำ
เสียงยวบยาบของผืนหญ้าใกล้ ๆ ตัวเขา ทำให้เสี่ยวหลานเงยหน้าขึ้นมอง และพบกับชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นส่งรอยยิ้มบางๆ มาให้
"เจ้าหิวรึ"
"อือ" เขารับคำแล้วก้มหน้ามองผลแดง ๆ อีกครั้ง สายลมอ่อน ๆ วูบไหวใกล้ ๆ ทำให้เสี่ยวหลานหันมอง
ชายหนุ่มรูปงามกำลังลอยล่องอยู่บนอากาศราวกับนกสีขาวตัวใหญ่บินไปเกาะบนกิ่งไม้ กระรอกที่อยู่บนนั้นต่างวิ่งหนีไปหลบซ่อน ไม่นานชายผู้นั้นก็โผร่อนลงมายืนข้างกายเขา
เหวินลู่ฟงย่อกายลงและส่งผลหยางเหมย[1]ที่เขาเก็บมาเต็มผ้าเช็ดหน้าให้เด็กที่พร่ำบ่นว่าหิว เด็กหนุ่มทำเพียงแต่จ้องเขานิ่ง สลับกับผลหยางเหมย
"หิวไม่ใช่รึ?" เด็กหนุ่มพยักหน้า "กินสิ" เขาบอกพร้อมทั้งวางผ้าเช็ดหน้าลงตรงหน้าเด็กผู้นั้น
"พิษ กินไม่ได้"
"ผลโลหิตนั่น" เขาชี้ไปที่ผลโลหิตบนพื้นหญ้า "กินไม่ได้ มันมีพิษ ส่วนผลหยางเหมยนี่" เหวินลู่ฟงหยิบผลหยางเหมยขึ้นมา "สิ่งนี้กินได้" จากนั้นเขาก็ส่งผลหยางเหมยเข้าปาก และกินให้เด็กหนุ่มดู
"หยางเหมย" เด็กหนุ่มทวนคำ แล้วหยิบผลหยางเหมยขึ้นมาลองดม ก่อนจะส่งเข้าไปเคี้ยว และเมื่อจะยื่นมือมาหยิบผลต่อไป กลับชะงักลง มองมาทางเขา "กิน"
"กินได้" เหวินลู่ฟงย้ำ แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า
"กิน" เด็กหนุ่มหยิบผลหยางเหมยส่งให้เขา
"ข้าไม่หิว เจ้ากินเถิด หากยังไม่อิ่ม ข้าจะขึ้นไปเก็บให้เจ้าใหม่"
"อืม" เด็กหนุ่มยิ้มรับ และหยิบผลหยางเหมยขึ้นมากินจนหมด ก่อนส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขา "หยางเหมย อีก"
เหวินลู่ฟงอดหัวเราะกับความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ เขารับผ้าเช็ดหน้าคืนกลับมาก่อนทะยานขึ้นไปบนต้นหยางเหมยเพื่อเก็บผลของมันให้กับเด็กหนุ่ม
เสี่ยวหลานมองดูชายรูปงามบินไปเกาะกิ่งนั้นที กิ่งนี้ที และร่อนลงมาพร้อมกับผลหยางเหมยที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวฉ่ำน้ำ นอกจากกินอิ่มแล้วยังดับกระหายอีกด้วย
เขารับผลหยางเหมยมาจากชายรูปงามและนั่งกินอย่างเพลิดเพลิน 'สิ่งที่ชายรูปงามให้เป็นสิ่งที่กินได้ ถ้าห้ามก็กินไม่ได้' เสี่ยวหลานพยายามจดจำ
"เจ้าเข้ามาอยู่ในป่านี้ได้อย่างไร"
เสี่ยวหลานชะงักไปกับคำถามพร้อมครุ่นคิด "เดินมา"
"เดินมาเพียงผู้เดียวอย่างนั้นรึ?"
"อืม"
"เจ้ากำลังจะไปที่ใด? "
"ไป ตงตง"
"ตงตงคือสถานที่ใด"
"ตงตง ก็คือ ตงตง"
"ตงตงมีลักษณะเป็นเช่นไร"
"ตงตง...ตัวเท่าพี่ใหญ่...ผมมีทั้งสีดำ สีขาว มีผมรอบปาก"
"ตงตงเป็นชายไว้หนวดเคราสินะ"
"หนวดเครา"
"หนวดเคราหรือที่เจ้าเข้าใจว่ามันเป็นผมรอบปาก"
"หนวดเครา หนวดเครา อืม หนวดเครา" เสี่ยวหลานครุ่นคิดและจดจำคำใหม่
"ข้ามีนามว่าเหวินลู่ฟง เป็นศิษย์สำนักกระเรียนทอง แล้วเจ้าล่ะมีนามว่าอะไร"
"เหวิน เหวินลู่…"
"เรียกข้าว่าลู่เกอก็ได้"
"ลู่...เกอ"
"ใช่ ลู่เกอ"
"ลู่เกอ" เสี่ยวหลานชี้ไปที่ชายรูปงาม ก่อนนี้มาที่ตนเอง "เสี่ยวหลาน" และมองไปรอบๆ กาย "ตงตง พี่ใหญ่" จากนั้นก็ชี้ไปที่ชายรูปงามสลับกับตนเอง "ลู่เกอ เสี่ยวหลาน ลู่เกอ เสี่ยวหลาน" จากนั้นก็หันไปสนใจหยางเหมยต่อ
"เจ้าอิ่มหรือไม่"
"อืม"
"เช่นนั้น ข้าดูบาดแผลให้เจ้าดีหรือไม่"
"ไม่ เจ็บ"
"ข้ารักษาให้ เจ้าจะได้หายเจ็บ"
"ลู่เกอ หมอ"
"ข้ามิใช่หมอ ข้ามียารักษาแผลภายนอกติดตัวเท่านั้น"
"อะ อืม" เสี่ยวหลานพยักหน้าอย่างลังเล แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายโรยผงขาว ๆ ลงบนแผลให้
"ดีขึ้นหรือไม่"
"อืม"
จากที่เหวินลู่ฟงได้พูดคุยกับเสี่ยวหลาน รู้เพียงว่าเด็กหนุ่มยังพอมีญาติพี่น้องบ้าง หากเขาคาดไม่ผิด ตงตงคงเป็นผู้ติดตามของเด็กหนุ่มเป็นแน่
เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มพลัดหลงกับผู้อื่นได้อย่างไร ด้วยคำพูดที่ไม่ค่อยเป็นประสาทำให้เขายากต่อการสืบหาว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มาจากที่ใด
ในตอนนี้เขาคงทำได้อย่างเดียว คือพาเสี่ยวหลานกลับไปยังสำนักกับเขาก่อน จากนั้นค่อยส่งคนไปสืบหาที่มาของเด็กหนุ่มผู้นี้
"เสี่ยวหลาน เจ้าเดินทางไปเมืองฉู่หยวนกับข้าก่อนดีหรือไม่" เหวินลู่ฟงตัดสินใจลองถามเด็กหนุ่ม
"ฉู่หยวน"
"ใช่ เมืองฉู่หยวน"
"ตงตง พี่ใหญ่"
"ไว้ถึงที่สำนักกระเรียนทองแล้ว ข้าจะส่งคนไปช่วยตามหาพี่ชายเจ้ากับตงตงดีหรือไม่"
"มีตงตง มีพี่ใหญ่ มีข้า มีของกินเยอะๆ มีเพียงข้า ไม่มีของกิน"
"ฮ่า ๆๆ แล้วมีข้าอยู่กับเจ้าละ"
"มีลู่เกอ มีข้า มีหยางเหมย"
"เจ้าไปอยู่กับข้าที่สำนักกระเรียนทอง เจ้าก็มีอาหารกิน"
"อืม" เสี่ยวหลานลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ
"เจ้าเดินทางไหวหรือไม่"
"ไหว"
"งั้นเราก็เดินทางกันเถิด นี่ก็สายมากแล้ว"
เสี่ยวหลานพยักหน้าแรง ๆ ก่อนลุกขึ้น และเดินตามลู่เกอไป คราแรกเขาเดินตามอีกฝ่ายไม่ทัน จนเหวินลู่ฟงสังเกตเห็น จึงลดฝีเท้าลง
การเดินทางของเหวินลู่ฟงช้ากว่ากำหนดเดิมอยู่มาก หากเขาให้วิชาตัวเบาคงเดินทางถึงหมู่บ้านกระบี่ภายในสองวัน จากนั้นจึงค่อยขี่ม้ากลับเข้าเมืองฉู่หยวน ใช้เวลาอีกสองวัน แต่นี่ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี เขายังไม่สามารถออกจากหุบเขาดอกเหมยได้เลย
"เราพักค้างแรมตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ" เมื่อเขามองหาที่พักเหมาะ ๆ ได้แล้วจึงหันไปบอกเสี่ยวหลาน อีกฝ่ายถึงกับทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้นทันทีจนเขาตกใจ
"เสี่ยวหลาน!!"
"อืม" เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง กรอบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาจึงนั่งลงข้างๆ ก่อนใช้ชายแขนเสื้อซับเหงื่อให้
"เจ้าคงเหนื่อยมาก เดินต่อไม่ไหวเหตุใดจึงไม่บอกข้า"
"..." 'บอกได้รึ'
"เฮ้อ…" เมื่อไม่ได้คำตอบ เหวินลู่ฟงจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนพยุงเด็กหนุ่มไปนั่งบนขอนไม้ใกล้ "เจ้านั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าไปหาอะไรมาให้กิน"
"อืม"
เมื่อลู่เกอเดินหายไปในป่า เสี่ยวหลานก็ได้แต่มองไปรอบ ๆ กาย ที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ ท้องฟ้าสีส้มค่อยๆ แปลเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ดวงจันทร์ส่องแสงนวลบนท้องฟ้า บดบังแสงของดวงดาว
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างพอให้เขามองสิ่งที่อยู่รอบกาย เสี่ยวหลานถอดรองเท้าของตนออกทั้งสองข้าง เผยให้เห็นแผลพุพองที่เกิดจากการเดินเป็นเวลานาน
เมื่อครั้นที่เขาทำงานกับเฉิงตง ต้องหาบน้ำวันละหลายรอบ แต่ไม่เคยเดินมากมายขนาดนี้ แผลที่ฝ่าเท้านั้น เจ็บแสบกว่าแผลจากรอยขีดข่วนตามร่างกายอยู่มาก
เขายืดขาตรงไปข้างหน้า ยกปลายเท้าลอยขึ้น ลมอ่อนๆ พัดผ่านแผลพุพองนั้น ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนวางขาเหยียดตรงลงบนหญ้าเย็นๆ
"เจ็บ" เขาพึมพำ
เหวินลู่ฟงรู้สึกผิดไม่น้อยเมื่อคิดถึงสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของเสี่ยวหลาน ใบหน้าซีดเซียว โหนกแก้มขึ้นสีระเรื่อเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มกรอบหน้า เห็นแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
เขาหลงกับรูปลักษณ์ภายนอกของเด็กหนุ่มวัยสิบหก สิบเจ็ดปี จนลืมไปว่าภายในตัวของเสี่ยวหลานนั้น ไม่ประสาราวกับเด็กเล็กๆ
เหวินลู่ฟงจับไก่ป่าได้ตัวหนึ่ง จากนั้นเขาก็หาลำไผ่ไว้สำหรับตักน้ำ เมื่อได้สิ่งของที่ต้องการแล้วเขาจึงเดินกลับไปหาเสี่ยวหลาน
เสี่ยวหลานเห็นลู่เกอเดินกลับมาพร้อมไก่ป่าในมือ เขาจำเจ้าสัตว์ตัวนี้ได้ เขามองสำรวจที่ตัวลู่เกอ แต่กลับไม่เห็นของกิน
"ลู่เกอ หยางเหมย"
"เจ้าอยากกินผลหยางเหมยอย่างนั้นรึ?"
"ของกิน"
"เจ้าหิว?"
"หิว" เขาพยักหน้า
"กระหายน้ำหรือไม่"
"อืม" เขาพยักหน้าอีกครั้ง ลู่เกอจึงส่งกระบอกไม้ไผ่ให้ ในนั้นมีย้ำอยู่เต็มกระบอก เขาจึงรับมาดื่ม
"รอข้าสักประเดี๋ยว แล้วเจ้าจะได้กิน"
"กิน หยางเหมย"
"ไม่ใช่หยางเหมย ไก่ย่าง"
"ไก่ป่า" เสี่ยวหลานชี้ไปที่ไก่ป่า ที่นอนคอพับคออ่อนอยู่บนพื้นหญ้า
"ถูกต้อง นี่คือไก่ป่า หากปรุงสุกแล้วสามารถกินได้"
"กินได้"
"เจ้าต้องรอก่อน"
"อืม รอ" เสี่ยวหลานพยักหน้าแล้วนั่งรอตามคำสั่ง
เขาเห็นลู่เกอเดินไปเก็บกิ่งไม้เล็กๆ มากองรวมกัน จากนั้นก็ก่อไฟ อากาศยามค่ำคืนช่างหนาวเย็น เมื่อมีไออุ่นจากกองไฟ เสี่ยวหลานจึงคลานเข้าไปนั่งใกล้ ๆ
ไม่นานนักลู่เกอก็นำไก่ย่างร้อนๆ ส่วนกลิ่นหอมๆ มาให้เขารับไว้ ไก่ตัวอ้วนถูกแบ่งออกไปเล็กน้อยเท่านั้น
เสี่ยวหลานเห็นลู่เกอกินเนื้อไก่ เขาจึงทำตาม "กินได้" จากนั้นเขาก็ลงมือกิน
"เสี่ยวหลาน"
"อืม" เขาเงยหน้าขึ้นจากเนื้อไก่ขึ้นมองลู่เกอ
"หากเจ้าเจอกระดูกในเนื้อไก่ สิ่งนั้นกินไม่ได้ เจ้าต้องทิ้งมันไป"
เสี่ยวหลานเห็นแท่งสีขาว ๆ ในมือลู่เกอ ก่อนจะดึงแท่งสีขาวเล็กๆ คล้ายๆ กันออกจากเนื้อไก่
"นี่ กินไม่ได้"
"ถูกต้อง กระดูก กินไม่ได้"
"กระดูก กินไม่ได้"
"ถูกต้อง"
"อืม" เสี่ยวหลานแทะเนื้อไก่ต่อไป เมื่อพบกระดูกก็ดึงออกมา "กระดูก กินไม่ได้" และทิ้งลงพื้น "กระดูก" เขาดึงกระดูกออกจากปากเมื่อหลงกินเข้าไป
"เสี่ยวหลาน เวลากิน เจ้าไม่ควรพูด ประเดี๋ยวกระดูกติดคอ เข้าใจหรือไม่"
"เข้าใจ ไม่พูด กิน"
เหวินลู่ฟงนั่งดูเสี่ยวหลานกินไก่ท่าทางเอร็ดอร่อย และเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี ดูแล้วเสี่ยวหลานเป็นเด็กเฉลียวฉลาด เหมือนไม่เคยออกมาสู่โลกภายนอกมาก่อน ไม่รู้ว่าตลอดมา เด็กหนุ่มเติบโตมาเช่นไร
แก้มและมุมปากของเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยคราบน้ำมันจากไก่ย่าง เด็กหนุ่มดูจะไม่ใส่ใจมันสักนิดเมื่อกินเสร็จ เขาจึงเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำมันออกให้
"น่าเสียดายนักที่ใบหน้าเจ้าเป็นเยี่ยงนี้"
จากที่มองดู รอยแผลบนใบหน้าของเสี่ยวหลานไม่น่าจะมีมาตั้งแต่กำเนิด แต่อาจจะเกิดจากความไม่รู้ประสาของเจ้าตัวมากกว่า ทำให้เกิดบาดแผลอัปลักษณ์เช่นนี้
[1] หยางเหมย (楊梅 : Chinese Bayberry) เอี่ยบ๊วย หรือยัมเบอรี่ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ในประเทศญี่ปุ่น เรียก ยามาโมโม